Skip to content

สู่วิถีอสุรา 422

ตอนที่ 422 ป่าไม้

ภายในป่าไม้ประหลาดแห่งนี้ เดิมทีตามความคิดเห็นของเด็กสาว ซูหมิงน่าจะทำลายต้นไม้ทั้งหมดตลอดทาง และเดินออกจากป่านี้ให้เร็วที่สุดถึงจะถูก ทว่าการกระทำของซูหมิงกลับทำให้นางไม่เข้าใจ

ทุกก้าวของซูหมิงระมัดระวังยิ่งนัก ส่วนใหญ่เขาจะเดินอยู่ในส่วนที่มีต้นไม้ไม่หนาแน่น จึงทำให้ความเร็วช้าลงไม่น้อย

ทว่าเด็กสาวไม่กล้าบอก ในใจยังสงสัยในขั้นพลังของซูหมิง เพียงแต่ซูหมิงในความทรงจำนาง ท่าทางตอนอีกฝ่ายผมแดงฝังลึกอยู่ในใจนางมากที่สุด ฉะนั้นแม้สงสัย ก็ยังนึกเสมอว่าการตัดสินใจของท่านปู่ไม่น่าจะผิดพลาด

จนกระทั่งพวกเขาเดินอยู่ในป่าครบหนึ่งวัน บนท้องฟ้ามีสายรุ้งยาวหลายเส้นลากผ่าน พลังอำนาจน่าตะลึงยิ่งนัก จุดที่ผ่านชั้นเมฆล้วนถูกฉีกแยกออก ภายในสายรุ้งเหล่านั้นมีคนอยู่ห้าคน

ในนั้นสี่คนเป็นเด็กหนุ่มเด็กสาว ส่วนคนหน้าสุดเป็นชายวัยกลางคนใบหน้าหล่อเหลา บุคคลนี้มีสีหน้าไร้ความรู้สึก แผ่กลิ่นอายพลังของผู้แข็งแกร่งทั้งตัว ตอนที่ผ่านป่าไม้ประหลาด เขาก้มหน้ามองข้างล่างแวบหนึ่งเหมือนเห็นพวกซูหมิงทั้งสาม หลังจากกวาดสายตามองแล้วก็ไม่สนใจอีก พาเด็กหนุ่มเด็กสาวด้านหลังบินจากไป

เมื่อเห็นทุกอย่างแล้วในใจเด็กสาวร้อนรน มองซูหมิงแวบหนึ่ง ลังเลอยู่นานก็ยังเลือกเงียบ

มีแค่เด็กหนุ่มที่คิดต่างจากเด็กสาว เขารู้สึกว่าแบบนี้ดีแล้ว เป็นการหลีกเลี่ยงปัญหาที่ดีที่สุด อีกทั้งเขายังรู้สึกว่าห้าคนที่บินผ่านบนท้องฟ้าพยายามทำตัวให้เด่นไปหน่อย ในโลกเก้าหยินที่เต็มไปด้วยอันตรายนี้ การบินอย่างเปิดเผยเช่นนั้น สุดท้ายแล้วมิใช่เรื่องดีอะไร

เมื่อค่ำคืนแรกในป่าทึบของทั้งสามมาถึง บนท้องฟ้าปรากฏดวงจันทร์เก้าดวง การปรากฏของจันทร์เก้าดวงนี้ทำให้ซูหมิงหรี่ม่านตาลง

แสงจันทร์นุ่มนวลจากดวงจันทร์ทั้งเก้าสาดส่องผืนดิน พร่างพรมกลายเป็นแสงหิ่งห้อยบนพื้น ยังผลให้ท้องฟ้านุ่มนวลขึ้นไม่น้อย ชั้นเมฆตลบเหมือนจะสลายไปกลางค่ำคืน

“พักผ่อน!” ซูหมิงหยุดเท้าตรงจุดที่โดยรอบไม่มีต้นไม้ประหลาดมากนัก แล้วกล่าวเรียบๆ พูดจบก็นั่งขัดสมาธิกับพื้น ละสายตามาจากดวงจันทร์บนท้องฟ้า หลับตาทำสมาธิ

เด็กสาวจำใจยิ่งนัก นางรู้สึกว่าควรจะเดินต่อถึงจะถูก น่าจะรีบไปให้ถึงเมืองเชมันให้เร็วที่สุด กระทั่งนางยังรู้สึกว่าควรจะบินไป ไม่ใช่เดินอยู่อย่างนี้ หากเดินไป ระยะทางสามแสนลี้ก็ไม่รู้ว่าจะถึงเมื่อไร

“หลันหลัน เจ้าดื่มน้ำหรือไม่” ช่วงที่เด็กสาวรู้สึกจำใจนั้น เด็กหนุ่มเดินมาอยู่ข้างๆ แล้วหยิบถุงหนังส่งให้นาง

“อาหู่ ถ้าพวกเราเดินไปอย่างนี้ อีกนานเท่าไรกว่าจะถึงเมืองเชมัน” เด็กสาวรับถุงหนังมาดื่มอึกหนึ่งก่อนบ่นพึมพำ

“ข้าคิดว่า….ไม่ว่าพวกเราจะเดินอีกนานเท่าไร ขอแค่รับรองได้ว่าปลอดภัยก็พอ” เด็กหนุ่มนามอาหู่เกาศีรษะยิ้มกล่าว

“ปลอดภัย เจ้าก็คิดถึงแต่เรื่องปลอดภัย ตอนอยู่ในเผ่าเจ้าก็เป็นอย่างนี้ นี่เป็นสิ่งที่คนอ่อนแอเขาทำกัน เจ้าเข้าใจหรือไม่! อีกอย่างข้าก็ไม่เห็นรู้สึกว่าไม่ปลอดภัยอะไร ควรจะบินบนท้องฟ้าถึงจะถูก จะได้ออกไปจากป่าประหลาดนี่เร็วๆ…” เด็กสาวถลึงตามองอย่างไม่พอใจ เห็นได้ชัดว่านำความกลัดกลุ้มในยามกลางวันมาลงที่เด็กหนุ่ม

เด็กหนุ่มขานรับหลายทีและไม่กล้าพูดอีก ชัดเจนว่าหวาดกลัวเด็กสาวนัก ผ่านไปพักหนึ่งเขาก็หยิบอาหารบางส่วนมาจากในอกเสื้อ แล้ววางไว้ตรงหน้านาง

“รู้จักแต่กิน!” เด็กสาวพูดกับเขาอีกหลายประโยค เห็นท่าทางของเด็กหนุ่มแล้วก็มองตาค้อน ก่อนจะไม่สนใจอีก

ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น ดูเหมือนสงบนิ่ง ทว่าความจริงแล้วในใจเขาตื่นตัวยิ่งนัก ในยามกลางวันเขาแผ่ขยายจิตสัมผัสเล็กน้อย ในระยะหนึ่งหมื่นลี้ล้วนเป็นป่าไม้ประหลาดทั้งหมด

อีกทั้งเขายังรู้สึกเลาๆ ว่าขณะเดินเหมือนมีสายตาจำนวนมากกำลังมองพวกเขา ทว่าเมื่อเทียบสายตาไร้รูปเหล่านี้แล้ว ซูหมิงตรวจพบว่ามีสายตาแบบนี้มากกว่าบนท้องฟ้า โดยเฉพาะในเมฆดำ

กระทั่งตอนที่ซูหมิงขยายจิตสัมผัสไป เขารู้สึกตื่นตกใจอยู่รางๆ ฉะนั้นจึงไม่เลือกบิน โดยเฉพาะในยามกลางวัน เมื่อเห็นห้าคนนั้นบินผ่านบนท้องฟ้า ซูหมิงรู้สึกทันใดว่าสายตาไร้รูปบนฟ้ากำลังมองห้าคนนั้นอย่างกระหาย เขาจึงลบความคิดที่จะบินบนท้องฟ้าไปทั้งหมด

ต่อให้เดินในป่าเขา ตลอดทางดูเหมือนไม่มีอะไร แต่เส้นทางเหล่านี้เป็นทางที่มีสายตาจ้องมองน้อยที่สุดหลังจากแผ่ขยายจิตสัมผัสดูแล้ว

มีแค่แบบนี้เท่านั้นเขาถึงจะค่อนข้างสบายใจ

ทว่าเรื่องเหล่านี้เด็กหนุ่มเด็กสาวไม่รู้ ถึงซูหมิงจะอ่านความจำใจและความคิดของเด็กสาวออก แต่ก็ไม่จำเป็นต้องอธิบาย

ขณะนั่งฌาน ซูหมิงลืมตาขึ้นเล็กน้อย มองดวงจันทร์เก้าดวงบนท้องฟ้าอีกครั้ง นัยน์ตาขยับประกายบางๆ

‘ดวงจันทร์เก้าดวง…ไม่รู้ว่าถ้าใช้วิชาหมานเพลิงโลหิตแผดเผาที่นี่แล้ว…ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร’ ซูหมิงไม่ผลีผลาม ความคิดนี้วูบเข้ามาในหัวเขาแวบเดียวแล้วก็หายไป

หนึ่งคืนเงียบสงัดผ่านไป เมื่อยามรุ่งอรุณมาถึง ซูหมิงยืนขึ้น พาเด็กหนุ่มเด็กสาวเดินหน้าต่อไป เส้นทางที่พวกเขาเดินวันนี้ ในความคิดของเด็กสาวก็ยิ่งไม่เข้าใจไปใหญ่ เพราะมีหลายครั้งที่เหมือนจะเดินอ้อมไกล มีสิ่งเดียวที่เหมือนกันคือทุกจุดที่พวกเขาผ่านล้วนมีต้นไม้ค่อนข้างน้อย กระทั่งบางแห่งไม่มีต้นไม้เลย

หากไม่มีการเปรียบเทียบ บางทีเด็กสาวอาจทนไม่ไหว ทว่าเมื่อยามโพล้เพล้ของวันที่สองใกล้จะมาถึง มีเสียงระเบิดดังสนั่นอยู่ไกลๆ

ตอนที่เสียงโครมครามนี้ดังแว่วเข้ามา ซูหมิงหยุดฝีเท้าหันหน้าไปมอง สายตาทะลวงผ่านป่าทึบ เห็นว่าห่างไปหนึ่งร้อยจั้งมีชายร่างกำยำเปลือยกายท่อนบนผู้หนึ่งกำลังเดินหน้าด้วยรอยยิ้มเยาะ มือขวาเขาถือขวานยักษ์ จุดที่ผ่านต้นไม้ล้วนแตกกระจาย เหลือไว้เพียงของเหลวสีเขียวจำนวนมาก

ด้านหลังชายร่างกำยำเป็นเด็กหนุ่มสองคน ยามนี้มีใบหน้าตื่นเต้น กำลังตามหลังเขาไปติดๆ เหยียบของเหลวสีเขียวเดินผ่านไปอย่างรวดเร็ว

บนบ่าชายร่างกำยำมีเด็กสาวนั่งอยู่คนหนึ่ง เด็กสาวคนนี้อายุราวสิบห้าสิบหกปี แกว่งขาไปมา มีสีหน้าลำพองใจ

ชั่วขณะที่พวกซูหมิงทั้งสามมองไป แม้ห่างกันร้อยจั้ง มีต้นไม้ขวางอยู่ส่วนหนึ่ง ทว่าก็ยังเห็นกันและกันได้ เด็กสาวที่นั่งบนบ่าชายร่างกำยำกล่าวขึ้นพร้อมกับเสียงหัวเราะ

“ตรงนั้นเป็นสหายของเผ่าใด? พวกเราเป็นคนเผ่าผืนนาสงบ พวกเจ้าล่ะ?”

หลันหลันมองเด็กสาวที่นั่งบนบ่าชายร่างกำยำด้วยความอิจฉา โดยเฉพาะกลิ่นอายพลังจากทั่วร่างชายผู้นั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นเชมันนักสู้ระดับกลาง ครั้นเห็นไม้ประหลาดแตกกระจายภายใต้ขวานของชายร่างกำยำ เห็นคนกลุ่มนี้เดินทางเร็วกว่าตนหลายเท่า ก็อดไม่พอใจซูหมิงอยู่ลึกๆ ไม่ได้

“พวกเราเป็นชาวเผ่าโคขาว ข้าชื่อหลันหลัน” เด็กสาวพลันกล่าว ซูหมิงข้างกายขมวดคิ้ว เด็กหนุ่มเดินเข้ามาดึงแขนเสื้อหลันหลันเอาไว้

“ท่านปู่บอกว่าก่อนสำเร็จการฝึกดูดวิญญาณ ไม่ให้พวกเราใกล้ชิดกับเผ่าอื่นมากเกินไป…” อาหู่กล่าวเสียงเบา

“เผ่าโคขาว ไม่เห็นจะเคยได้ยิน ดูแล้วคงจะเป็นเผ่าเล็กกระมัง พวกเจ้าเดินห่างเช่นนั้น หรือว่ากลัวต้นไม้พวกนี้? เอาแบบนี้เถอะ ข้าอนุญาตให้พวกเจ้าตามอยู่ด้านหลังได้” เด็กสาวบนบ่าชายร่างกำยำยิ้ม น้ำเสียงติดจะหยิ่งทะนง

กล่าวจบ ยังไม่ทันที่หลันหลันจะตอบ นางก็ให้ชายร่างกำยำเปิดทางต่อ แล้วห้อเหยียดจากไปพร้อมกับเด็กหนุ่มสองคนด้านหลังอย่างรวดเร็ว หนึ่งในเด็กหนุ่มสองคนนั้น พอทะยานไปไกลแล้วยังหันกลับมามองพวกซูหมิงแวบหนึ่งด้วยสีหน้าเหยียดหยามเล็กน้อย

“ไปกันเถอะ” ซูหมิงยังคงมีสีหน้าสงบนิ่ง ยามนี้ละสายตากลับ หมุนตัวใช้ปฏิกิริยาจิตสัมผัสนำทางต่อไป

เมื่อครู่นี้เขารู้สึกถึงสายตาไร้รูปในป่าทึบที่มองชายร่างกำยำในพริบตาอย่างชัดเจน ชายร่างกำยำผู้นี้เหมือนกับเปลวเพลิงในค่ำคืน ดึงดูดทุกสิ่งในความมืด

“ตะ…แต่เหตุใดพวกเราต้องเดินอยู่ตรงนี้อีก ตรงนั้นถูกเปิดทางแล้ว เหตุใดถึงไม่ไปตรงนั้นเล่า!” เด็กสาวหลันหลันทนมาสองวันแล้ว ยามนี้จึงทนไม่ไหวอีก

“อีกอย่างคนอื่นๆ เขาบินกัน มันเร็วกว่าตั้งเยอะ ต่อให้ไม่บินบนท้องฟ้าก็วิ่งในป่าทึบได้ แบบนี้จะได้ออกจากป่าประหลาดนี่เร็วๆ และจะได้ถึงเมืองเชมันเร็วๆ ด้วย หากพวกเราไปถึงเร็วก็จะเป็นที่สนใจของคนจำนวนมาก แบบนี้จะมีประโยชน์กับเผ่าโคขาวเช่นกัน”

เด็กสาวกล่าวอย่างร้อนรน ช่วงที่กล่าวซูหมิงเดินหน้าต่อไป ไม่หันกลับมามองประหนึ่งไม่ได้ยิน อีกทั้งสีหน้ายังไม่มีคลื่นอารมณ์ใด

เด็กหนุ่มมีสีหน้าขมขื่น มองซูหมิงที่เดินอยู่ไกลๆ แล้วก็มองหลันหลัน

“หลันหลัน ท่านปู่เลือกให้ผู้อาวุโสปกป้องพวกเรา ข้าคิดว่า….การตัดสินใจของผู้อาวุโสจะต้องมีเหตุผลแน่….”

“เจ้าหุบปาก!” เดิมทีเด็กสาวก็อารมณ์ไม่ดีที่ซูหมิงไม่สนใจนางอยู่แล้ว คราวนี้จึงระบายโทสะใส่เด็กหนุ่ม เด็กหนุ่มขานรับอีกหลายที ปล่อยให้เด็กสาวระบายอารมณ์อยู่อย่างนั้น ทั้งยังกล่าวโน้มน้าวเสียงเบา

สุดท้ายเด็กสาวก็ตามหลังซูหมิงไปอย่างจนปัญญาพร้อมกับเด็กหนุ่ม

เวลาค่อยๆ ผ่านไป พริบตาเดียวก็สี่วัน ในสี่วันนี้เด็กสาวเห็นคนบินผ่านบนท้องฟ้าหลายครั้ง จึงเริ่มสงสัยในขั้นพลังของซูหมิง

เพียงแต่นางไม่รู้ตัวว่าบนเส้นทางที่พวกนางผ่านเมื่อวาน

มีต้นไม้ใหญ่หลายต้นนูนออกมาเป็นใบหน้าคน ใบหน้าเหล่านั้นเจ็บปวด เพียงมองแวบแรกก็คงยากจะมองออก เพราะใบหน้าเหล่านี้มีสีเหมือนกับต้นไม้ จนอาจจะคิดว่าเป็นลายของตัวต้นไม้เอง

ลักษณะของใบหน้าเหล่านั้น หากสังเกตดีๆ จะมีชายร่างกำยำหนึ่ง เด็กสาวหนึ่ง และยังมีเด็กหนุ่มอีกสอง…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version