ตอนที่ 423 สหายเก่า
‘ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดท่านปู่ถึงเลือกเขา ขี้ขลาดเหมือนอาหู่ไม่มีผิด ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเดินอยู่ในป่าตั้งสิบวัน!’
ผ่านไปอีกห้าวัน ซูหมิงพาเด็กหนุ่มและเด็กสาวเดินออกจากป่าทึบ ตลอดทางพวกเขาไม่เจออันตรายใดๆ เลย โดยเฉพาะสองสามวันสุดท้าย ซูหมิงเร่งความเร็วขึ้นไม่น้อย ทำให้เด็กสาวหายโกรธไปบ้าง ทว่าก็ยังโกรธอยู่
‘ที่นี่ไม่เห็นมีอันตรายอะไรเลย เสียเวลาสิบวันเปล่าๆ คนที่แซงหน้าพวกเราไปตอนนี้คงจะถึงเมืองเชมันแล้ว แต่พวกเราเพิ่งเดินมาได้แค่นี้’ ในใจเด็กสาวโมโหยิ่งนัก โดยเฉพาะการเฉยเมยต่อทุกสิ่งของซูหมิง ยิ่งทำให้นางรู้สึกว่าระบายความโกรธไม่ออก พยายามข่มเอาไว้อย่างยากลำบาก
เมื่อเป็นเช่นนั้นเด็กหนุ่มจึงเป็นเครื่องระบายอารมณ์ของนาง หลายวันมานี้มักจะถูกด่าทอตลอด ทว่าใบหน้าเด็กหนุ่มกลับไม่เคยไม่พอใจ ทุกครั้งจะพูดดีๆ และปลอบใจนาง
จนกระทั่งเดินออกมาจากป่าทึบ ตรงหน้าเป็นที่ราบไร้พรมแดน เด็กสาวไม่รู้แม้แต่น้อยว่าในป่าทึบด้านหลังนางมีศพคนอยู่ไม่น้อย ศพเหล่านั้นถูกแทงด้วยกิ่งไม้จำนวนมาก แล้วสูบของเหลวในร่างกายไปเพื่อบำรุงต้นไม้
ศพเหล่านั้นแห้งเหี่ยว เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของต้นไม้…
ซูหมิงหันกลับไปมองป่าประหลาดแวบหนึ่งด้วยสีหน้าเรียบเฉย ตลอดทางนี้เขาตรวจพบศพที่ไม่รู้ว่าถูกต้นไม้สูบได้อย่างไรเหล่านั้นจำนวนมาก
‘โลกเก้าหยิน นี่เป็นเขตที่เผ่าเชมันควบคุมได้ยังอันตรายขนาดนี้…..เพียงแต่เผ่าเชมันครอบครองที่นี่มาหลายปี น่าจะเข้าใจอันตรายในพื้นที่หนึ่งล้านลี้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดคนที่เข้ามาที่นี่ถึงได้ยังโง่เขลาแบบนี้?’ ซูหมิงไม่เข้าใจเรื่องนี้เล็กน้อย
เผ่าโคขาวไม่เข้าใจอันตรายของที่นี่ก็ยังพอว่า ถึงอย่างไรเผ่าโคขาวแทบจะตัดขาดจากโลก ตั้งอยู่ในถิ่นกันดาร ยากจะรับรู้ข้อมูลที่นี่ ทว่าเผ่าอื่นๆ ไม่น่าจะเป็นเหมือนเผ่าโคขาว…
ขณะซูหมิงขบคิด พลันหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ก่อนมองไปยังป่าทึบ มีเสียงดังซ่าๆ เข้ามา จากนั้นชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินออกมาด้วยความเหนื่อยล้า
ด้านหลังเขาเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่ง เด็กหนุ่มใบหน้าซีดขาว แขนขวาเหี่ยวแห้ง!
ชายวัยกลางคนผู้นี้ซูหมิงเคยเห็นมาครั้งหนึ่งเมื่อสิบวันก่อน เขาคือคนที่มีใบหน้าเย็นชาบนท้องฟ้า พาเด็กหนุ่มสี่คนกับเด็กสาวหนึ่งคนบินผ่านไป!
ไม่เพียงแค่ซูหมิงที่จำชายวัยกลางคนผู้นี้ได้ อาหู่กับหลันหลันข้างกายเขาก็จำได้ในแวบแรก อาหู่หรี่ม่านตาลง ส่วนหลันหลันตะลึงงัน
ชายวัยกลางคนเห็นพวกซูหมิงสามคนก็มีสีหน้าประหลาดใจ เห็นได้ชัดว่าเขาจำซูหมิงได้ เหมือนนึกขึ้นได้ว่าเคยเห็นสามคนนี้อยู่ในป่าประหลาดเมื่อสิบวันก่อน
ตอนนั้นในใจเขาสงบนิ่ง ไม่ค่อยสนใจคนที่ไม่สำคัญเท่าไรนัก เหตุที่เขาสนใจสามคนนี้ก็เพราะว่าอีกฝ่ายเดินในป่าทึบ อีกทั้งมิได้ห้อวิ่ง เรื่องแปลกๆ แบบนี้ทำให้เขามองแวบหนึ่ง ทว่าก็แค่แวบเดียวเท่านั้น
ตอนนี้หลังจากเห็นซูหมิงแล้ว ชายวัยกลางคนตื่นตะลึงในใจ นัยน์ตาฉายแววตกใจ เขาเห็นว่าบนตัวซูหมิงไม่มีบาดแผลใดๆ เลย หากเพียงเท่านี้คงไม่เท่าไร เพราะอีกฝ่ายได้รับหน้าที่ให้มาคุ้มกันรุ่นเยาว์เหมือนกับตน แต่ว่า…..
เด็กหนุ่มเด็กสาวข้างกายอีกฝ่ายกลับไม่เป็นอะไรเลยเช่นกัน ชายวัยกลางคนยิ่งตื่นตะลึง
ยามนี้เขารู้ถึงความน่ากลัวและประหลาดในป่าทึบเป็นอย่างดี พูดได้ว่าเขาเกือบตายมาแล้ว กระทั่งยังใช้ของวิเศษช่วยชีวิตกับอภินิหารถึงพาหนึ่งคนออกมาถึงตรงนี้ได้ ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น เด็กหนุ่มคนนี้ก็เสียแขนขวาไป
และเพราะรู้ถึงความน่ากลัวของป่าทึบ ช่วงที่เขาเห็นสภาพของพวกซูหมิงถึงได้ตื่นตะลึง
อีกทั้งเขายังพลันนึกถึงภาพที่อีกฝ่ายเดินเท้าเมื่อสิบวันก่อน
หากยามนี้ไม่พบซูหมิง เขาคงไม่คิดอะไรมาก แต่ตอนนี้เขาพลันนึกถึงเมื่อหลายวันก่อน หลังจากตนเจอภยันตรายแล้ว ตอนหนีก็พบว่าในป่าทึบนี้ยิ่งวิ่งเร็วเท่าไร จะยิ่งอันตรายเท่านั้น กลับกัน ถ้าเดินแบบธรรมดาอันตรายจะลดน้อยลงมากกว่าครึ่ง สาเหตุที่เขาพาคนหนีออกมาจากป่าทึบได้ นอกจากอภินิหารแล้ว สาเหตุส่วนใหญ่มาจากตรงนี้!
นึกถึงว่าอีกฝ่ายเดินเป็นเวลาสิบวัน ชายวัยกลางคนยิ่งตื่นตกใจ ในเวลาเดียวกันก็ยังเกิดความยำเกรงซูหมิง เขาไม่มีทางเชื่อว่าอีกฝ่ายแค่โชคดี เรื่องแบบนี้ไม่เกี่ยวกับโชค!
“ข้าหนานกงเหิน สภาพตอนนี้เทียบกับเมื่อสิบวันก่อน ช่างน่าหัวเราะยิ่งนัก” หนานกงเหินยิ้มเจื่อน ประสานมือคารวะซูหมิง ท่าทางเกรงใจมาก
“ไม่มีอะไรน่าหัวเราะหรอก ข้าโม่ซู” ซูหมิงประสานมือคารวะกลับ ก่อนถามอีกหนึ่งคำถามด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
“ข้าจำได้ว่าตอนนั้นสหายหนานกงบินผ่านบนท้องฟ้า เหตุใดตอนนี้ถึงเดินออกมาจากป่าทึบ?”
“สหายโม่รู้ไม่เห็นต้องแสร้งถาม เหตุการณ์พิลึกในป่าทึบนั้นข้ารับมือไม่ทัน ตอนนั้นเห็นสหายโม่เดินอยู่ก็ยังแปลกใจ ยามนี้ดูแล้วสหายโม่น่าจะรู้อยู่ก่อนแล้ว” หนานกงเหินส่ายศีรษะพลางหัวเราะแห้งๆ
“แซ่โม่เพียงรู้สึกว่าป่ามันแปลกๆ ที่เดินออกมาได้ก็แค่โชคดีเท่านั้น หากเปลี่ยนตำแหน่งกับสหายหนานกง เกรงว่าคงยากจะเดินออกมา” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ
“สหายโม่ไม่ต้องถ่อมตัว….” หนานกงเหินส่ายศีรษะ ทว่ากลับรู้สึกดีกับซูหมิงเล็กน้อย
“แล้วสหายโม่มาคุ้มกันให้เผ่าใดรึ?” หนานกงเหินมองหลันหลันกับอาหู่ข้างซูหมิงแวบหนึ่ง ก่อนถามหนึ่งประโยค
“เป็นเผ่าเล็กในถิ่นกันดาร สหายหนานกงคงไม่เคยได้ยิน” ซูหมิงยิ้ม เลี่ยงหัวข้อสนทนา
“พวกเราเป็นชาวเผ่าโคขาว!” ทว่าเมื่อเด็กสาวเห็นชายวัยกลางคนแล้วก็มีสีหน้าฮึกเหิม รีบกล่าวขึ้น
ซูหมิงขมวดคิ้ว หนานกงเหินอึ้งงัน ไม่นานก็หัวเราะและไม่สนใจเด็กสาวคนนั้นอีก เขาถามแบบนี้เพราะเป็นมารยาทเท่านั้น ไม่ได้อยากฟังคำตอบซูหมิงอยู่แล้ว การที่เด็กสาวกล่าวเช่นนี้ ในความคิดเขาพอมองออกเล็กน้อยว่าระหว่างซูหมิงกับเผ่าโคขาวเหมือนจะมีปัญหาอะไรบางอย่าง
“สหายโม่ เป้าหมายของพวกเราน่าจะเป็นเมืองเชมัน ตอนนี้ยังอีกไกล เรามารวมกลุ่มกันดีหรือไม่ จะได้ดูแลซึ่งกันและกันด้วย” หนานกงเหินลังเลครู่หนึ่ง หลังจากมองซูหมิงแวบหนึ่งแล้วก็ประสานมือคารวะ พลางกล่าวอย่างเกรงใจ
ซูหมิงไม่ตอบในทันที แต่มองเด็กสาวด้วยความเย็นชาแวบหนึ่ง จากความเย็นชาและการตักเตือนในแววตา เด็กสาวย่อมรู้ว่าการกระทำเมื่อครู่บุ่มบ่ามไป
เมื่อเห็นซูหมิงมองมาอย่างเย็นชาแล้วก็รีบก้มหน้าลง
ส่วนเด็กหนุ่มก็มองซูหมิงอย่างจริงใจ
‘ถ้ามีครั้งหน้าอีก ข้าจะไม่ปกป้องเจ้าอีก สัญญาระหว่างข้ากับจ้าวเชมันเผ่าของเจ้าคืออย่างน้อยต้องสำเร็จหนึ่งคน’ น้ำเสียงซูหมิงดังก้องในความคิดเด็กสาว วิธีการสื่อสารแบบนี้สร้างความตะลึงให้นาง
เมื่อจัดการกับเด็กสาวเสร็จ ซูหมิงก็มีสีหน้าลังเลใจ ผ่านไปครู่หนึ่งถึงพยักหน้าให้หนานกงเหินที่กำลังรออยู่
หนานกงเหินพลันมีสีหน้ายินดี หัวเราะเสียงดัง
“มีสหายโม่ไปด้วย พูดจริงๆ เลยว่าข้ารู้สึกอุ่นใจ มิเช่นนั้นแล้วก็ไม่รู้จริงๆ ว่าทางข้างหน้าจะเกิดเหตุการณ์แบบในป่าทึบหรือไม่ เรื่องนี้แปลกยิ่งนัก ในแผ่นไม้บันทึกที่วิหารเชมันมอบให้ไม่ได้กล่าวถึงความน่ากลัวของป่านี้ อีกทั้งข้ายังจำได้ว่าครั้งแรกที่ข้ามานี่ ก็มีสหายเดินผ่านป่านี้เหมือนกัน แต่กลับไม่พบอันตรายใดๆ…”
“ข้าขอดูแผ่นไม้บันทึกของสหายหนานกงได้หรือไม่ ข้าไม่เข้าใจความประหลาดของที่นี่จริงๆ” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ ที่เขายอมร่วมเดินทางด้วยก็เพราะไม่คุ้นชินที่นี่ อีกทั้งเหตุการณ์ในป่าทึบยังน่ากลัว
หนานกงเหินมองเด็กหนุ่มเด็กสาวข้างกายซูหมิงแวบหนึ่ง เหมือนจะเข้าใจ จึงยิ้มแล้วหยิบแผ่นไม้บันทึกจากอกเสื้อส่งให้ซูหมิง
พอซูหมิงรับมาแล้วก็ขยายจิตสัมผัส ด้านบนมีแผนที่ฉบับสมบูรณ์ แผนที่นี้ปกคลุมในระยะหนึ่งล้านลี้ ตรงกลางคือเมืองแห่งหนึ่ง อาณาเขตของที่นี่อยู่ในแผนที่แล้ว
นี่คือสิ่งที่ซูหมิงต้องการ เขาจำเอาไว้หมดแล้ว ขณะกำลังจะส่งคือหนานกงเหินนั้นเอง
“เอาไปเถอะสหายโม่ ข้ายังมีอีกชุดหนึ่ง” หนานกงเกินยิ้มพลางกล่าว
“เช่นนั้นก็ขอบคุณมาก” ซูหมิงยิ้มแล้วประสานมือคารวะหนานกงเหิน ก่อนทั้งสองคนบินขึ้นทะยานไกลออกไป แผ่นดินตรงนี้ ซูหมิงไม่พบดวงตากำลังจ้องมองขณะบินอีก ฉะนั้นจึงไม่เลือกเดินเท้า
ส่วนเด็กหนุ่มเด็กสาวสามคนก็ได้รับอภินิหารจากซูหมิงกับหนานกงเหิน ถูกยกลอยขึ้นตามมาด้านหลัง
ขณะห้าคนห้อเหยียด ซูหมิงแผ่ขยายจิตสัมผัสตรวจสอบโดยรอบอย่างระมัดระวัง หนานกงเหินถูมือขวาตรงระหว่างคิ้ว ทันใดนั้นปรากฏดวงตาสีม่วงขึ้นดวงหนึ่งตรงระหว่างคิ้ว หลังจากดวงตานั้นกะพริบเจ็ดครั้ง ก็พลันมีวิญญาณหลายตนลอยมาจากในตัวเขาแล้วบินไปมารอบๆ ปกคลุมในระยะหลายพันจั้ง
เห็นได้ชัดว่าหนานกงเหินเป็นผู้สื่อวิญญาณ
เด็กหนุ่มเด็กสาวสามคนด้านหลังซูหมิงกับหนานกงเหิน ยามนี้เงียบขรึม เด็กหนุ่มที่เสียแขนขวาไปมีสีหน้าแน่วแน่ เพียงแค่ขมวดคิ้วเป็นบางครั้ง เหมือนจะเจ็บปวดตรงนั้น
อาหู่ก็มองเงาแผ่นหลังซูหมิงราวกับกำลังขบคิด
ส่วนหลันหลัน พอเห็นหนานกงเหินที่นางคิดว่าแข็งแกร่งเกรงใจซูหมิงเช่นนี้ ในใจจึงเกิดความสงสัย แต่ที่มากกว่าคือ นางยังคิดว่าที่ซูหมิงพาพวกนางออกมาจากป่าได้เป็นเพราะโชคช่วย
ทุกคนห้อเหยียดต่อไปอีกหลายวัน ถึงอย่างไรก็พาเด็กสามคนมาด้วยจึงใช้ความเร็วได้ไม่มากนัก วันนี้ ขณะพวกเขากำลังบินอยู่ พลันมีเรือยักษ์พุ่งผ่านก้อนเมฆลอยเข้ามาจากอีกทางหนึ่ง
บนเรือนั้นมีคนอยู่เจ็ดแปดคน บ้างก็นั่งขัดสมาธิอยู่ บ้างก็ยืนมองตรงขอบ บ้างก็พูดคุยกัน ในนั้นตรงมุมหนึ่งมีสตรีผู้หนึ่ง นางมีใบหน้าธรรมดาดูไม่เด่นตาอะไร มีเพียงดวงตาที่สงบนิ่งและสุกใสยิ่งนัก นางสวมเสื้อคลุมขาวทั้งตัว ยามนี้ขมวดคิ้ว ไม่รู้ว่ากำลังคิดอะไรอยู่ ช่วงที่กวาดสายตามาเจอซูหมิง นางพลันเบิกตากว้าง ทว่าไม่นานก็กลายเป็นสงสัย ทั้งยังมีใบหน้าขมขื่น
‘แม้เขาจะอยู่ในเผ่าเชมัน ทว่าก็ไม่มีทางมานี่ได้แน่…..ซูหมิง เจ้าอยู่ที่ใดกันแน่…..’ นางถอนหายใจเบา ขบคิดอยู่ในใจ