ตอนที่ 436 แม่ทัพสงครามหยิน
หนานกงเหินอยู่บนยอดภูเขาชั้นที่สี่กลางท้องฟ้า มีสีหน้าลังเลใจอยู่ใต้รูปปั้นยักษ์สูงสามสิบจั้ง และเปล่งแสงเงินทึบทั้งตัว
กลิ่นอายพลังของรูปปั้นนี้มากเกินกว่าของยอดเขาที่หนึ่ง ร่างกายไม่เพียงแข็งแกร่งกำยำกว่ามาก อีกทั้งยังเต็มไปด้วยความรู้สึกน่าสะพรึง มีบาดแผลจำนวนมากบนตัว สะท้อนให้เห็นความเก่าแก่โบราณ
รูปปั้นนี้ถือขวานสงครามยักษ์ ขวานนี้มีขนาดสิบกว่าจั้ง แผ่พลังชั่วร้ายมาจากในตัว ทำให้หนานกงเหินไม่กล้าเข้าใกล้มากไป
‘วิญญาณเก้าหยินทองแดงทึบนี้แข็งแกร่งที่สุดในยอดเขาที่สี่ มีน้อยคนนักที่จะเช่ามันได้ ตามที่ข้ารู้มา หลายปีมานี้เขาออกไปเพียงแปดครั้งเท่านั้น!
หลังจากถึงชั้นห้าก็จะเป็นวิญญาณเก้าหยินเงินขาว แม้มันจะแกร่งกว่าทองแดงทึบ ทว่าก็เป็นเพียงระดับต้นสุดของชั้นห้าเท่านั้น แกร่งพอๆ กับวิญญาณเก้าหยินอันดับหนึ่งในบรรดาทองแดงทึบ…ทว่ารูปปั้นของชั้นสี่นี้ ราคามัน….ไร้เหตุผลเกินไป นี่มันแพงกว่าชั้นห้าเสียอีก!’ หนานกงเหินลังเลใจยิ่งนัก แผนเดิมก่อนมาที่นี่คือชั้นห้า แต่ตอนนี้พอเห็นรูปปั้นทองแดงทึบตอนนี้แล้วกลับยากจะตัดสินใจ
ขณะลังเล หนานกงเหินมองลงไปยังแผ่นดินของยอดเขาด้านล่าง จากตรงนี้เขาเห็นเขาชั้นสาม ชั้นสอง และชั้นหนึ่งได้รางๆ
‘ช่างเถอะ ข้าไปดูชั้นห้าก่อนดีกว่า แล้วค่อยตัดสินใจอีกที!’ หนานกงเหินกัดฟัน ออกจากรูปปั้นนี้อย่างจำใจจาก ก่อนเดินหน้าขึ้นไปยังยอดเขาด้านบน
“เฮ้อ ขั้นพลังกับทุนทรัพย์มันต่างกัน ตอนนี้ข้าลังเลว่าจะเลือกชั้นสี่หรือชั้นห้าดี ทว่าโม่ซู ดูแล้วอย่างมากสุดก็เซ่นไหว้ได้เพียงวิญญาณเก้าหยินของยอดเขาชั้นสอง ถึงอย่างไรหากไม่เตรียมตัวมาให้ดีก็ยากจะเซ่นไหว้ของชั้นสามได้” หนานกงเหินพึมพำ ในใจนึกลำพองใจเล็กน้อย และใช้ความลำพองใจนี้มาลบความกลัดกลุ้มเมื่อครู่
“รอข้าเช่าวิญญาณเก้าหยินก่อน อย่างน้อยที่สุดระยะห่างระหว่างข้ากับเขาจะต้องกลับตาลปัตรกัน!” หนานกงเหินยิ้มน้อยๆ อารมณ์ดีขึ้นมาก
ยามนี้บนยอดเขาชั้นสอง ซูหมิงกำลังเดินอยู่บนขั้นบันไดด้วยสีหน้าสงบนิ่ง รูปปั้นบนชั้นสองนี้น้อยกว่าชั้นหนึ่งเล็กน้อย มีราวๆ หนึ่งร้อยกว่าตัว เกราะบนตัวรูปปั้นสมบูรณ์มากขึ้น อีกทั้งอาวุธยังมากกว่าเล็กน้อย นอกจากนี้แล้ว แรงกดดันจากรูปปั้นที่เบาสุดยังรุนแรงกว่าชั้นหนึ่งเล็กน้อย ดูแล้วถึงแม้ไม่ถึงขั้นวิญญาณหมานตอนกลาง ทว่าก็ประมาณจุดสูงสุดของวิญญาณหมานตอนต้น
ชาวเผ่าเชมันบนภูเขาชั้นสองมีไม่ถึงสิบคน อีกทั้งส่วนใหญ่ยังมีสีหน้าทะมึน เดินไปเดินมาอยู่ข้างๆ รูปปั้น ราวกับกำลังลังเลว่าจะเลือกอะไรดี
ซูหมิงเลือกแบบสุ่มๆ มารูปหนึ่ง เมื่อกดมือขวาไว้ครู่หนึ่งก็ยกมือขึ้น นัยน์ตาขยับประกาย
‘ผลึกเชมันระดับสูงห้าพันต่อหนึ่งวัน…หนึ่งเดือนหนึ่งแสนห้าหมื่น หากอยู่ที่นี่หลายเดือนจะต้องใช้ผลึกเชมันหลายแสน ราคาแบบนี้ชนเผ่าเล็กแม้แต่คิดยังไม่กล้า ต่อให้เป็นเผ่ากลางยังต้องกัดฟัน โอสถชำระล้างก็มากขึ้นอีกเล็กน้อย ทุกเจ็ดวันจะต้องการสามเม็ด’ ซูหมิงนึกถึงเหมืองผลึกเชมันเล็กที่เผ่าโคขาวกับเผ่ากระเรียนดำแย่งกัน ทั้งเหมืองรวมแล้วมีผนึกไม่ถึงสองหมื่นด้วยซ้ำ อีกทั้งในด้านคุณภาพน่าจะต่ำกว่า ต่อให้ขุดมาไว้ที่นี่ทั้งหมด จะเช่าวิญญาณเก้าหยินได้สี่วันหรือไม่ก็ไม่รู้
‘มิน่า คนที่เปิดหินพนันได้ดอกเก้าอเวจีถึงไม่มาเช่าวิญญาณเก้าหยิน ราคาแบบนี้…มันมากเกินไปจริงๆ! เปลี่ยนคำพูดใหม่ โอสถชำระล้างจะต้องมีค่าหลายหมื่นผลึกเชมัน อีกทั้งเม็ดเดียวยังมีราคาสูง ทว่าหากนำออกมาสามเม็ด มูลค่าของมันจะต้องพุ่งทะยานขึ้นแน่’ ซูหมิงใจสั่นไหว ก่อนเดินหน้าขึ้นสู่ยอดเขาที่สอง
ซูหมิงไม่หยุดระหว่างทาง แต่หลังจากตรงมาถึงยอดเขาแล้วก็เหยียบเข้าไปในอาคมเคลื่อนย้าย อาคมเคลื่อนย้ายพลันขยับแสงวิบวับ เงาร่างซูหมิงค่อยๆ หายไปข้างใน ก่อนมาปรากฏตัวอยู่บนยอดเขาชั้นสามที่อยู่สูงกว่า
รูปปั้นในชั้นสามนี้มีไม่ถึงหนึ่งร้อยรูป ราวๆ แปดเก้าสิบรูปเท่านั้น เสื้อเกราะแทบจะคลุมมิดทั้งตัว ดูสมบูรณ์แบบเป็นส่วนใหญ่ ความสูงก็ราวๆ ยี่สิบจั้ง เหมือนภูเขาเล็ก แรงกดดันที่ปล่อยมาทำให้ซูหมิงหายใจกระชั้น
ในความรู้สึกของซูหมิง ความรุนแรงของแรงกดดันมากเกินกว่าเถี่ยมู่ กระทั่งแข็งแกร่งกว่าศพพิษของขั้นวิญญาณหมานตอนต้นที่เขาเจออีกไม่น้อย
‘หรือว่า…ที่นี่จะเทียบเท่าขั้นวิญญาณหมานตอนกลาง? หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ บนภูเขาที่สี่คงจะเป็นจุดสูงสุดวิญญาณหมานตอนกลาง ชั้นที่ห้าก็จะเป็น…ขั้นวิญญาณหมานตอนปลาย?
เมื่อเป็นเช่นนั้น เขาลูกที่หก เขาลูกที่เจ็ด ไปจนถึงเขาลูกที่เก้า…จะมีขั้นพลังระดับใด!’ ซูหมิงเดินอยู่บนภูเขาลูกสาม ตรงนี้หากไม่นับรวมเขา จะมีชาวเชมันหกคนยืนแยกกันอยู่ข้างรูปปั้น ราวกับกำลังสื่อสารกับรูปปั้นอยู่ ตอนที่ซูหมิงเดินออกจากเขาชั้นที่สามห่างไปไม่ถึงสิบจั้ง ภูเขาพลันสั่นสะเทือน ซูหมิงเห็นรูปปั้นยักษ์รูปหนึ่งพลันมีชีวิต หลังจากลืมตาแล้วก็เงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า
เสียงคำรามนั้นสะเทือนฟ้าดิน ทำให้มวลอากาศโดยรอบบิดเบี้ยว จากนั้นรูปปั้นนั้นก็บินขึ้น แกว่งง้าวยาวในมือ กลิ่นอายพลังจากตัวเขาทำให้ซูหมิงรู้สึกถึงแรงกดดันรุนแรง
หลังจากรูปปั้นนั้นบินขึ้น ก็ยังมีบุรุษรูปร่างผอมสูง ไว้ผมยาว สวมเสื้อคลุมฟ้า บินขึ้นมายืนบนบ่าของรูปปั้นพร้อมกับเสียงหัวเราะลากยาว รูปปั้นเหมือนไม่สนใจแม้แต่น้อย กลายเป็นสายรุ้งยาวพาบุรุษคนนั้นลงไปยังด้านล่าง
ในใจซูหมิงเฝ้ารอคอยมากยิ่งขึ้น สาวเท้าไวๆ มาถึงยอดเขาชั้นสามแล้วก็หายเข้าไปในอาคมเคลื่อนย้าย หลายคนที่เหลืออยู่บนเขาลูกที่สามล้วนเห็น มีสามคนเงยหน้าขึ้นมามองด้วยสีหน้าปกติ
ถึงอย่างไรก็ยังมีคนที่รู้อยู่แล้วว่าตนมีของเซ่นไหว้น้อย แต่ก็ยังอยากขึ้นไปดูชั้นที่สูงกว่าอีก คนแบบนี้พวกเขาเห็นมาเยอะแล้ว
ตอนที่ซูหมิงมาปรากฏตัวอยู่บนยอดเขาชั้นสี่ หนานกงเหินบนชั้นห้ากำลังมองรูปปั้นสูงสี่สิบจั้ง ทุกส่วนไม่ใช่สีดำอีก แต่เป็นสีขาวหิมะตรงใบหน้า เกราะบนตัวรูปปั้นนี้มีอักขระแน่นอยู่บ้าง ดูงดงามไม่ธรรมดา
จากภายนอกก็รู้แล้วว่ารูปปั้นนี้เหนือว่ารูปปั้นนั้นบนชั้นสี่ไม่น้อย
‘หนึ่งวันสองหมื่นห้าพันผลึกเชมัน อีกทั้งอย่างน้อยต้องจ่ายทีเดียวเก้าสิบวัน…บางทีนี่อาจเป็นของหายากยิ่งในโลกเก้าหยิน…ราคานี้ยังเกินเหตุไปเล็กน้อย ทว่าก็ยังถูกกว่ารูปปั้นชั้นสี่รูปนั้นมาก รูปปั้นบนชั้นสี่นั่นต้องการผลึกเชมันสามหมื่นต่อวัน! อีกทั้งยังต้องจ่ายอย่างน้อยหนึ่งร้อยแปดสิบวัน’ หนานกงเหินเมินเฉยต่อความต้องการอื่นๆ ของเทวรูป สำหรับเขาแล้วผลึกเชมันคือจุดสำคัญ
ขณะกำลังพิจารณาอยู่ เขาก็สังเกตเห็นแสงจากอาคมเคลื่อนย้ายบนภูเขาลูกสาม จึงหันกลับไปมองแวบหนึ่ง ก่อนจะไม่สนใจอีก เดินไปยังรูปปั้นต่อไป เขาอยากหาราคาที่ถูกสุด อีกทั้งยังต้องมีพลังพอใช้ได้
‘น่าเสียดาย วิญญาณเก้าหยินพวกนี้หยิ่งยโสมากขึ้นเรื่อยๆ ราคาก็แพงเสียเหลือเกิน หากต่อราคากับมัน ก็จะไม่มีเสียงใดๆ ตอบ เหมือนถูกเมินเฉยไปเลย’ หนานกงเหินส่ายศีรษะ
บนเขาลูกสี่ หากรวมซูหมิงเข้าไปด้วยจะมีทั้งหมดสามคนกำลังเลือกวิญญาณเก้าหยิน หนึ่งในนั้นอยู่อีกด้านหนึ่งของภูเขา และยังมีอีกคนยืนทำหน้าลังเลใจอยู่ข้างรูปปั้นสามสิบกว่าจั้งที่ก่อนหน้านี้หนานกงเหินยืนลังเลอยู่ ทั้งตัวมันเต็มไปด้วยรอยแผล มีสีเงินทึบ
เขาเป็นชายชราผู้หนึ่ง มีขั้นพลังราวๆ จุดสูงสุดของเชมันระดับกลาง ห่างจากเชมันระดับสูงเพียงก้าวเดียว เขามองรูปปั้นแล้วถอนหายใจ
ซูหมิงเดินอยู่บนเขาลูกที่สี่ มองรูปปั้นที่สูงกว่าเขาลูกที่สามไม่น้อย รูปปั้นในนี้จำนวนน้อยกว่า มีไม่ถึงห้าสิบรูป
ซูหมิงเดินมาจนถึงกลางเขา สายตาเขาพลันถูกรูปปั้นที่มีรอยแผลทั้งตัวดึงดูดเข้าไป รูปปั้นนี้คือรูปที่หนานกงเหินสนใจ และเป็นสาเหตุที่ชายชราถอนหายใจในตอนนี้
ซูหมิงเดินเข้าไปใกล้รูปปั้นนี้ มองอย่างสงบนิ่ง โดยรอบรูปปั้นนี้ว่างเปล่า ไม่มีรูปปั้นอื่นๆ เขายืนอยู่เพียงลำพังตรงนั้น มีร่องรอยบนเกราะทั้งตัว เห็นได้ว่าทั้งชีวิตนี้เขาสังหารมาเยอะเพียงใด พลังชั่วร้ายจากในขวานสงครามทำให้ซูหมิงหรี่ม่านตาลง
ชายชรามองซูหมิงแวบหนึ่งแล้วไม่สนใจอีก แต่ยังคงลังเลมากขึ้น
หลังจากซูหมิงเข้ามาใกล้ก็ยกมือขวาขึ้นกดบนรูปปั้น ช่วงที่สัมผัส มีเสียงแหบพร่าดังก้องในความคิดซูหมิง
“สามหมื่นผลึกเชมันต่อวัน หากจะให้ข้าคุ้มกัน ต้องเซ่นไหว้ผลึกเชมันครั้งเดียวหนึ่งร้อยแปดสิบวัน ถ้ายอมรับ จากนี้อันตรายห้ามเกินกว่าความสามารถของข้า” เสียงนี้ดังเพียงประโยคเดียว กล่าวจบก็กลายเป็นเสียงสะท้อนหายไป
ซูหมิงอึ้งงัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเจอวิญญาณเก้าหยินเปิดราคาให้ บอกเพียงว่าต้องการผลึกเชมันเท่าไร ทว่าไม่ได้ต้องการจำพวกเม็ดโอสถ
ขณะซูหมิงอึ้งงัน ชายชราข้างกายเหมือนตัดสินใจได้ เขาขบคิดอยู่นานมาก ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นราคาที่สูงนัก หนึ่งวันสามหมื่น หนึ่งร้อยแปดสิบวันก็ห้าล้านกว่าแล้ว สำหรับชนเผ่าเขานี่เป็นราคาที่สูงอย่างยิ่ง ย่อมไม่ใช้โดยง่าย
หลังจากตัดสินใจได้แล้ว ชายชราใช้มือขวากดรูปปั้นโดยไม่สนใจซูหมิงแม้แต่น้อย ราวกับสื่อสารกับวิญญาณเก้าหยิน ครู่ต่อมาดวงตารูปปั้นพลันขยับประกาย ทั้งตัวปลดปล่อยกลิ่นอายพลังแกร่งกล้า กลิ่นอายพลังนี้หมุนวนปานน้ำวน ทำให้ตัวเขาฟื้นคืนชีพอย่างรวดเร็ว
“ข้าเป็นแม่ทัพหมายเลขหนึ่ง เจ้าเลือกข้าย่อมดีกว่าเลือกสหายของข้าบนชั้นห้ามาก”
เสียงอื้ออึงดังมาจากปากรูปปั้น นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหมิงเห็นรูปปั้นเปิดปากพูด นัยน์ตาพลันเป็นประกายวาววับ
ขณะชายชรากำลังดีใจ ซูหมิงพลันส่งกระแสจิตเข้าไปในรูปปั้นที่กำลังฟื้นคืนชีพ
“ถ้าเป็นโอสถชำระล้าง ท่านคิดเท่าไร?”