Skip to content

สู่วิถีอสุรา 435

ตอนที่ 435 วิญญาณหยิน

ขณะหนานกงเหินเหยียบเข้าไปในน้ำวนมายา ยังหันกลับมามองแวบหนึ่ง แม้ลึกๆ ในใจเขาจะยอมรับความจริงที่ว่าโม่ซูแข็งแกร่งเทียบเท่าเชมันระดับปลาย และก็รู้สึกว่าตนไม่อาจเทียบอีกฝ่าย ทว่าในด้านการเซ่นไหว้เช่าวิญญาณเก้าหยิน ตนจะต้องเหนือกว่าอีกฝ่ายมากแน่

ถึงอย่างไรเขาก็มาโลกเก้าหยินหลายครั้ง โดยเฉพาะครั้งนี้ ภัยพิบัติแดนรกร้างบูรพาใกล้จะมาถึง บางทีนี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายของเขา

ฉะนั้นก่อนมาที่นี่ เขาจึงใช้เวลาและสติปัญญาอย่างเต็มที่เพื่อความเข้าใจในวิญญาณเก้าหยิน เตรียมของเซ่นไหว้สำหรับเช่าวิญญาณเก้าหยินชั้นห้ามา เขามีความมั่นใจว่าต่อให้ไม่อาจเช่าวิญญาณเก้าหยินชั้นห้า เช่นนั้นก็เป็นชั้นสี่ ชั้นนี้เขามีความมั่นใจเต็บสิบ

ดังนั้นหลังจากเข้ามาชั้นหนึ่งแล้ว เขาจึงเดินเข้าไปอีกสามประตูใหญ่อย่างไม่ลังเล ไปยังชั้นสี่ของวิญญาณเก้าหยิน

‘แม้โม่ซูจะแข็งแกร่ง ทว่าหากข้าเช่าวิญญาณเก้าหยินชั้นห้าหรือชั้นสี่ก็จะเทียบเท่ากับเขา หรือ…อาจแซงหน้าเขา!’ หนานกงเหินมั่นใจ

ข้ามเรื่องของหนานกงเหินไปก่อน หลังจากเงาร่างซูหมิงหายเข้าไปในน้ำวนนอกวิหารใหญ่ ตอนปรากฏตัว เขากวาดสายตามองไปรอบๆ และตื่นตะลึงในใจเพราะภาพที่เห็น

มันเป็นมิติที่มีหมอกขมุกขมัวอยู่โดยรอบ มิตินี้ใหญ่เท่าไรตาเนื้อมองไม่เห็น โดยรอบเงียบสงบยิ่งนัก นอกจากยอดเขายักษ์ลูกหนึ่งตรงหน้าแล้ว โดยรอบล้วนกว้างโล่ง

ภูเขาลูกนี้สูงเสียดเมฆ ดูมหัศจรรย์ยิ่งนัก ทั้งยังมีแรงกดดันถาโถมลงมา หากเพียงเท่านี้คงยังไม่ทำให้ซูหมิงตื่นตะลึง สิ่งที่ทำให้เขาหายใจกระชั้นถี่เล็กน้อยจริงๆ คือบนยอดเขาสูงใหญ่มีรูปปั้นอยู่จำนวนมาก

ทุกรูปปั้นล้วนเป็นคนสูง สวมเสื้อเกราะธรรมดา บนศีรษะสวมหมวกปกปิดใบหน้า เผยผมเปีย ดูแล้วหยาบกร้านยิ่งนัก ทั้งยังแผ่กลิ่นอายพลังรุนแรง

นั่นคือกลิ่นอายพลังของผู้แข็งแกร่ง!

ในมือพวกเขาถืออาวุธที่ต่างกัน บ้างเป็นทวนยาว บ้างเป็นดาบโค้ง บ้างเป็นขวานใหญ่ แต่ละชนิดต่างกัน และยังมีคนถือเกราะยักษ์ด้วย

รูปปั้นทั้งเทือกเขานี้มีไม่ต่ำกว่าหลายร้อยรูป พวกเขายืนอยู่ในตำแหน่งที่ต่างกันอย่างสงบนิ่ง

บริเวณนี้นอกจากซูหมิงแล้วยังมีชาวเผ่าเชมันอีกหลายสิบคน คนเหล่านี้ล้วนสงบนิ่ง ไม่รบกวนซึ่งกันและกัน มีหลายคนเดินไปเดินมาราวกับกำลังเลือกรูปปั้น และมีบางส่วนยืนอยู่ข้างรูปปั้น วางมือขวาไว้ด้านบนเหมือนกำลังสัมผัสอะไรบางอย่าง

การมาของซูหมิงไม่ได้ดึงดูดความสนใจของใคร

ผ่านไปครู่หนึ่งแล้ว นัยน์ตาซูหมิงวูบไหวเบาๆ เขาเงยหน้าขึ้นมองด้านบน บนยอดเขายังมีอีกยอดเขาสูง ภูเขาลูกที่สองนี้ลอยอยู่กลางอากาศ เปล่งแสงอ่อนและยังดูเลือนรางเล็กน้อย

เห็นรางๆ ว่า บนยอดเขาที่สองนั้นก็มีรูปปั้นไม่น้อยเช่นกัน….

ทว่ามองขึ้นไปอีก ซูหมิงจะเห็นยอดเขาที่สาม ยอดเขาที่สี่ ยอดเขาที่ห้า…..จนกระทั่งมองเห็นไม่ชัด

ความสูงของที่นี่ยากจะบรรยาย ท้องฟ้าสูงประดุจไร้พรมแดน ทำให้ระหว่างยอดเขาของที่นี่สูงมาก

‘หนานกงเหินบอกว่าที่นี่มีเก้าชั้น ยิ่งขึ้นไปสูง วิญญาณเก้าหยินจะยิ่งแข็งแกร่ง ตอนนี้เก้าชั้นที่ว่าคงจะเป็นยอดเขาพวกนั้น…..เมื่อเป็นเช่นนี้ ยอดเขาก็น่าจะมีเก้าลูก’ ซูหมิงเงยหน้ามองพักหนึ่ง ก่อนละสายตากลับจากยอดเขาตรงหน้า

ภูเขาลูกนี้มีทางขั้นบันไดหนึ่งเส้น เลี้ยวลดคดเคี้ยวไปจนถึงยอดเขา ตรงกลางยังมีทางแยกอีกกลายทาง ทุกจุดที่ทางแยกพาไปล้วนเป็นรูปปั้น ด้วยทางแยกทั้งหมดและทางหลักนี้ จะทำให้คนเดินไปถึงรูปปั้นได้ทั้งหมดของภูเขา

ใต้บันไดยอดเขายังมีรูปปั้นอีกสองรูป รูปปั้นสองรูปนี้ดูดีกว่าบนเขาเล็กน้อย สวมเกราะบนตัวมากกว่า มือถือทวนยาวสองด้าม ตรงปลายทวนชี้ลงดิน มีขนาดยาวสองจั้งกว่า อยู่ห่างจากพื้นหนึ่งจั้ง จะขึ้นเขานี้ก็ต้องผ่านปลายทวนไป

ซูหมิงเดินเข้ามาใกล้รูปปั้นสองรูปนี้ หลังจากกวาดสายตามองแล้วก็เดินผ่านปลายทวนไปและเหยียบบนขั้นบันไดข้างทางแยกแรก เขาไม่เดินต่อ แต่เดินไปยังทางแยกด้านขวา แล้วยืนอยู่ข้างรูปปั้นแรก

มันเป็นรูปปั้นมองเห็นใบหน้าไม่ชัด มือถือขวานใหญ่ ส่วนสูงใกล้เคียงกับซูหมิง มีกลิ่นอายพลังโบราณกระจายมาจากในตัวรูปปั้น ทั้งยังมีพลังของผู้แข็งแกร่งโอบล้อมอยู่บางๆ

เมื่อขบคิดครู่หนึ่งแล้ว ซูหมิงก็ยกมือขวาขึ้นทำตามคนอื่นๆ ขณะกำลังจะวางบนรูปปั้น ทั้งภูเขาพลันสั่นสะเทือน ภายใต้การสั่นสะเทือนนี้ มีแสงเด่นชัดเปล่งมาจากทางแยกหนึ่งตรงกลางภูเขา ผู้คนจำนวนมากบนภูเขาล้วนมองเข้าไป

ซูหมิงเพ่งสายตามอง เขาเห็นว่าจุดที่มาของแสงเป็นรูปปั้นหนึ่ง รูปปั้นนั้นเปล่งแสงหมื่นจั้ง ร่างกายมันเกิดระลอกคลื่นบิดเบี้ยว ค่อยๆ เกิดความรู้สึกเหมือนน้ำแข็งละลาย ไม่อยากเชื่อว่ารูปปั้นนั้นจะมีชีวิตขึ้นมา!

เกราะบนตัวเขาเปล่งแสงดำ เขาค่อยๆ เงยศีรษะสวมหมวกขึ้น ตรงดวงตามีแสงสีดำวิบวับ

ตรงหน้ารูปปั้นเป็นสตรีเผ่าเชมันยืนอยู่คนหนึ่ง ยามนี้นางดูตื่นเต้นยิ่งนัก หลังจากประสานมือคารวะรูปปั้นแล้ว รูปปั้นนั้นเหยียบเท้าขวาหนึ่งก้าว ตัวพลันลอยขึ้นสูง ดาบโค้งในมือชี้ไปยังสตรีเผ่าเชมัน

สตรีผู้นั้นรีบบินขึ้นแล้วยืนอยู่ข้างรูปปั้นมีชีวิต นัยน์ตารูปปั้นขยับประกายหลายที ก่อนหดตัวกลายเป็นแสงดำบินมาทางนาง สุดท้ายก็อยู่บนหลังมือขวานาง กลายเป็นสัญลักษณ์สีทอง

สตรีเชมันมีสีหน้าตื่นเต้น ไม่อยู่ที่นี่อีก รีบหมุนตัวตรงไปยังประตูน้ำวนอันเป็นทางออกใต้ภูเขา จนกระทั่งนางจากไปแล้ว แรงสั่นสะเทือนของภูเขาถึงสงบนิ่ง ก่อนผู้คนต่างพากันละสายตาซับซ้อนและอิจฉากลับไป ในภูเขาจึงค่อยๆ สงบลง

ซูหมิงมองไปทางสตรีพลางสูดลมหายใจเข้าลึก พลันหันหน้ามองรูปปั้นข้างกาย นัยน์ตาเฝ้ารอคอย เมื่อครู่นี้เขารู้สึกถึงกลิ่นอายพลังที่แข็งแกร่งเทียบเท่ากับเถี่ยมู่จากรูปปั้นที่มีชีวิตตนนั้นอย่างเด่นชัด ภายนอกกลิ่นอายพลังนี้ รูปปั้นนั้นจะต้องเป็นเชมันระดับปลายแน่นอน สำหรับเผ่าหมานแล้ว มีพลังเทียบเท่าขั้นวิญญาณหมาน!

‘ที่แท้นี่ก็คือวิญญาณเก้าหยิน…แต่หนานกงเหินเคยบอกว่าวิญญาณเก้าหยินออกจากโลกนี้ไม่ได้ หากมิใช่เช่นนั้น วิญญาณเก้าหยินมากมายขนาดนี้…ไม่ว่าเผ่าเชมันหรือเผ่าหมาน ใครจะรับมือไหว!’ ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ตื่นตะลึงในใจ

‘โลกเก้าหยินมีความลับอะไรกันแน่ มีศพของจู๋จิ่วอิน มีสุสานผู้สื่อวิญญาณ และมีแท่นบวงสรวงของจิตพยากรณ์……นี่เพียงแค่ในระยะหนึ่งล้านลี้เท่านั้น ส่วนข้างนอก….จะต้องมีสิ่งน่ามหัศจรรย์อีกเยอะแน่…โลกเก้าหยินคืออะไรกันแน่ เป็นโบราณสถานอย่างนั้นรึ…..’ ซูหมิงขบคิดชั่วครู่ มองรูปปั้นตรงหน้าแล้วใช้มือขวากดลงไปด้านบน

ช่วงที่มือสัมผัสกับรูปปั้น เขารู้สึกถึงระลอกคลื่นในความคิดอย่างชัดเจน จากนั้นมีเสียงเรียบๆ ดังก้อง

“ข้าต้องการของเซ่นไหว้สองอย่าง หนึ่งคือหินกำเนิดหนึ่งพันก้อนทุกวันหรือก็คือผลึกเชมัน เรียกอีกอย่างว่าหินหมาน และยังมีชื่อเรียกอีกคือหินวิญญาณ จะต้องเป็นระดับสูงเท่านั้น ไม่เอาเศษหิน

สองคือ โอสถชำระล้างทุกเจ็ดวัน”

เสียงนั้นดังกังวานในความคิดซูหมิง สุดท้ายค่อยๆ จางหายไป ซูหมิงยกมือขวาอยู่ แววตาเหมือนสงบนิ่ง ทว่าในใจกลับเกิดคลื่นลูกใหญ่

‘โอสถชำระล้าง!’ ซูหมิงหายใจกระชั้นถี่ ผ่านไปครู่หนึ่งจึงจะสงบลง ก่อนเงยหน้ามองรูปปั้นตรงหน้า นัยน์ตาค่อยๆ ฉายแววสับสน

โอสถชำระล้างเป็นโอสถชนิดแรกในมิติพิลึก เม็ดโอสถนี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน หลังจากหลอมโอสถชิงวิญญาณแล้ว ถึงได้รู้ว่าในเผ่าเชมันมีวิธีหลอมแบบนี้อยู่ เหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับเผ่าเชมันเล็กน้อย…..

กระทั่งโอสถชิงวิญญาณยังถูกเรียกว่าหินดูดวิญญาณ เป็นสิ่งที่ผู้ดูดวิญญาณระดับสิ้นสุดต้องใช้พลังอย่างมากกว่าจะหลอมมันได้ อีกทั้งซูหมิงยังเชื่อมั่นว่า วิธีการหลอมโอสถชิงวิญญาณของเชมันระดับสิ้นสุดยังต่างกับของตน

‘เชมันผู้ดูดวิญญาณมาจากโลกเก้าหยิน เช่นนั้น…..วิธีการหลอมโอสถชิงวิญญาณของเชมันระดับสูงสุดจะมาจากที่นี่ด้วย…ถ้าเป็นอย่างนั้น วิชาการหลอมโอสถของข้า หรือว่า…จะมาจากที่นี่!’ ซูหมิงตะลึงในใจ เขายังคงไม่รู้ประวัติของเศษหินสีดำ กระทั่งยังคาดเดาได้ว่าสิ่งนี้ไม่น่าจะเป็นส่วนหนึ่งของแผนตี้เทียน

ซูหมิงจ้องรูปปั้นอยู่นาน ก่อนขยับมายังอีกหนึ่งรูปปั้นหนึ่ง หลังจากกดไปแล้ว มีเสียงดังมาในความคิดอีกครั้ง ความต้องการของเสียงนั้น นอกจากข้อแรกต่างกันแล้ว ข้อสองกลับเป็นโอสถชำระล้างเหมือนกัน

จนกระทั่งซูหมิงลองมาสิบกว่าครั้ง เขาจึงพบว่ารูปปั้นทั้งหมดของภูเขานี้น่าจะเหมือนกัน ข้อแรกต่างกัน ทว่าข้อสองเหมือนกัน

‘ความต้องการข้อแรกของแต่ละรูปปั้นต่างกัน อีกทั้งบางอันยังหายากด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น หนานกงเหินพูดความจริง วิญญาณเก้าหยินเป็นผู้ปกครองดั้งเดิมของที่นี่ และเคยช่วยเผ่าเชมันตั้งรกราก…

เช่นนั้นรูปปั้นเหล่านี้ก็มีชีวิตเหมือนกับข้า พวกเขา…ล้วนยังมีชีวิตอยู่! เพียงทำตามความต้องการของพวกเขา พวกเขาก็จะกลายเป็นองครักษ์…ถ้าเป็นเช่นนี้ บางทีตอนพวกเขาช่วยเผ่าเชมันตั้งรกรากที่นี่ เผ่าเชมันจะต้องจ่ายไปอย่างมหาศาลแน่นอน!

ทว่าพวกเขาเป็นใครกันแน่…’ ซูหมิงถอยไปหลายก้าว ตอนที่สังเกตรูปปั้นก็มีสองตนมีชีวิตลอยขึ้นฟ้า จากนั้นถูกคนพาตัวไป

ซูหมิงมีสีหน้าไม่แน่ใจ ผ่านไปครู่หนึ่งแล้วจึงเงยหน้าขึ้นมองยอดเขาลูกที่สอง ลูกที่สาม และลูกที่สี่ ไปจนถึงท้องฟ้าขมุกขมัว

“เช่นนั้นเลิกสนใจเบื้องหลังของวิญญาณเก้าหยินตรงนี้ก่อน บางทีข้าอาจจะเช่า….องครักษ์ที่แกร่งกว่าตรงนี้ได้!” นัยน์ตาซูหมิงเปล่งประกาย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version