Skip to content

สู่วิถีอสุรา 434

ตอนที่ 434 โครงกระดูกวิญญาณปีศาจ

คนที่ตื่นเต้นที่สุดคือหลันหลัน นางมองซูหมิงด้วยแววตาฮึกเหิม ยามนี้ร่างซูหมิงในสายตานางคือ องครักษ์ที่แกร่งที่สุดในโลกนี้

ส่วนอาหู่ยิ่งแล้วใหญ่ เขามีสีหน้าฮึกเหิมและเลื่อมใส เหมือนกับผู้แข็งแกร่งทุกคนในวัยเยาว์ที่จะมีเงาของผู้แข็งแกร่งอีกคนอยู่ในใจ ในใจอาหู่ตอนนี้ ซูหมิงก็เป็นคนที่เขาอยากเอาเป็นแบบอย่าง

ฉี่ตงก็เช่นกัน เขามองซูหมิง เห็นอีกฝ่ายต่อสู้กับเชมันระดับปลาย ความตื่นตะลึงและฮึกเหิมอยู่ในใจเขาพักหนึ่งก็ยังไม่หายไป

‘สักวันหนึ่งข้าจะต้องแข็งแกร่งเช่นนี้ ข้าจะให้เผ่าแดนบูรพาต้องชดใช้คืนให้ข้าหลายเท่า!’ ฉี่ตงกัดฟันกำหมัดแน่น แววตาแน่วแน่

ภายใต้สายตาของผู้คนโดยรอบ ซูหมิงเก็บศพพิษ ร่างแยก รวมถึงแมลงเปลือกแข็งสีดำและทุกอย่าง ก่อนบินลงมายังผืนดิน

“สหายโม่…เจ้าปิดบังข้าไว้ลึกจริงๆ จนถึงตอนนี้ข้าเพิ่งรู้ว่าเจ้ามีพลังขนาดนั้น เมื่อครู่ข้ายังคิดอยู่เลยว่าจะช่วยเจ้าอย่างไร…” หนานกงเหินยิ้มแห้ง เดินเข้ามาประสานมือคารวะซูหมิง

“แค่โชคดีเท่านั้น ผู้อาวุโสเถี่ยมู่ยังไม่ใช้พลังทั้งหมด มิเช่นนั้นแล้ว ข้าเองก็คงยืนหยัดไม่ไหว” ซูหมิงส่ายศีรษะพลางกล่าว

“สหายโม่อย่าถ่อมตนเลย….ช่างเถอะ เจ้าก็เป็นเช่นนี้ตลอด แต่การต่อสู้ครั้งนี้สหายโม่จะต้องมีชื่อเสียงโด่งดังในเมืองเชมันแน่ ถือว่าเป็นเรื่องดี ถึงอย่างไรโลกเก้าหยินก็ตัดขาดจากโลกภายนอก ทุกอย่างต้องดูที่ศักยภาพของตัวเอง มีเพียงผู้แข็งแกร่งเท่านั้นถึงจะยืนอย่างมั่นคง อีกทั้งยังได้รับการเคารพจากคนอื่นๆ” ขณะหนานกงเหินกล่าว ก็มีองครักษ์ของวิหารเทพเชมันตรงเข้ามาจากไกลๆ ขบวนหนึ่ง คนเหล่านี้มีขั้นพลังไม่ธรรมดา ล้วนเป็นเชมันระดับกลางทั้งสิ้น ยามนี้มาถึงแล้วก็สลายกลุ่มคนไป

ทว่ากลับไม่มีใครมาไต่ถามซูหมิง เพียงแค่ตอนที่เดินผ่านจะประสานมือคารวะเขาด้วยสีหน้าเกรงใจอย่างยิ่ง

ความจริงพวกเขามาถึงตั้งนานแล้ว ทว่าพวกเขาจะไปยุ่งกับการต่อสู้ของเชมันระดับปลายได้อย่างไร จึงได้แต่หยุดอยู่ไกลๆ รอซูหมิงถูกสังหารแล้วค่อยเข้ามาจัดการลานต่อสู้

หากแต่เหตุการณ์ต่อๆ มากลับทำให้พวกเขาตื่นตะลึง จนกระทั่งชาวเผ่าแดนบูรพาจากไป พวกเขาเปี่ยมล้นด้วยความยำเกรงต่อซูหมิง ผู้แข็งแกร่ง…ไม่ว่าจะไปที่ใดก็ล้วนเป็นที่เคารพ!

หลังจากกลุ่มคนโดยรอบสลายตัวไปแล้ว ซูหมิงกับหนานกงเหินก็กลับมาถึงโรงเตี๊ยมอันสงบสุข ระหว่างทางซูหมิงกวาดสายตามองหนานกงซาน เห็นว่านางขมวดคิ้วตลอด เหมือนลังเลอะไรบางอย่าง เมื่อขบคิดในใจเล็กน้อยจึงได้เข้าใจ

หนานกงซานดูเป็นคนที่มีอารมณ์ซับซ้อนยิ่งนัก นางรู้ถึงความแข็งแกร่งของหงหลัว ไม่มีทางไปแก้แค้นเด็ดขาด ทำได้เพียงขมขื่นในใจมาโดยตลอด บางทีนางอาจเห็นความคุ้นเคยและน่าสงสัยในตัวซูหมิง ทว่าแม้ขั้นพลังซูหมิงจะไม่ธรรมดา อีกทั้งยังประมือกับเถี่ยมู่ได้ แต่ในสายตาหนานกงซาน หากซูหมิงเป็นบุคคลนั้นจริง การต่อสู้จะไม่ใช่อย่างนี้…

ฉะนั้นความสงสัยในตัวซูหมิงจึงกลายเป็นลังเลใจ ความจริงแล้วในใจนางไม่สงสัยในตัวซูหมิงอีกแล้ว

ซูหมิงขบคิดชั่วครู่ก็เดาได้มากกว่าครึ่ง การต่อสู้ในครั้งนี้มีผลช่วยในเรื่องนี้ด้วย จึงทำให้ลดปัญหาไปเล็กน้อย

ค่ำคืนนี้ เด็กหนุ่มเด็กสาวสามคนตื่นเต้นจนกว่าจะเข้านอนได้ก็ดึกมาก สำหรับพวกเขาแล้ว เรื่องราวที่เกิดขึ้นในวันนี้จะไม่มีวันถูกลืมเลือนไปชั่วชีวิต

หนานกงเหินมีไมตรีต่อซูหมิงมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด พอยามรุ่งอรุณวันที่สองมาถึง ก็มาเรียกซูหมิงให้ไปวิหารเทพเชมันด้วยกันเพื่อเช่าวิญญาณเก้าหยิน

“คาดว่างานพนันสมบัติครั้งใหญ่จะจัดขึ้นในอีกหนึ่งเดือนให้หลังนี้ ถึงตอนนั้นชาวเผ่าส่วนใหญ่จะมาถึงกัน ส่วนคนที่ยังไม่มาก็น่าจะไม่ได้มาแล้ว

แม้บอกว่าอีกหนึ่งเดือน แต่ข้าว่าสหายโม่น่าจะไม่เคยเช่าวิญญาณเก้าหยินมาก่อน ถึงมันจะสิ้นเปลืองเงินทองเล็กน้อย แต่ก็มีเวลาหนึ่งเดือนในการทำความคุ้นเคย หลังจากนี้มันจะมีส่วนช่วยอย่างมากทีเดียว

งานพนันสมบัติจะจัดขึ้นสองถึงสามวัน เมื่อสิ้นสุดแล้วทุกคนจะสลายตัวไป และพาเด็กหนุ่มสาวในเผ่าไปเปิดการฝึกฝนของตัวเอง ถึงตอนนั้นพวกเราก็ต้องแยกย้ายกันแล้ว” ระหว่างเดินทางไปยังวิหารย่อยของวิหารเทพเชมันในโลกนี้ หนานกงเหินยิ้มพลางกล่าวขึ้น

“ในหนึ่งเดือนนี้สหายโม่เดินสำรวจรอบเมืองเชมันได้ ถึงอย่างไรที่นี่ก็เป็นโลกเก้าหยิน มีของที่โลกภายนอกไม่มีอีกเยอะ อีกทั้งเพราะงานพนันสมบัติครั้งใหญ่ จึงมีของหายากวางขายที่นี่ด้วย” หนานกงเหินกล่าวกับซูหมิงไปพลาง ยิ้มทักทายคนรู้จักระหว่างทางไปพลาง

หนานกงเหินแสดงให้เห็นว่าเขามีสหายเยอะเพียงใดอีกครั้ง

ตลอดเส้นทาง ซูหมิงเห็นอย่างน้อยหลายสิบคนที่ดูรู้จักกับหนานกงเหินเป็นอย่างดี อีกทั้งในคนเหล่านั้น ส่วนใหญ่พอทักทายกับหนานกงเหินแล้วก็จะมองตน ซูหมิงเห็นความยำเกรงที่ซ่อนอยู่ในสายตาเหล่านั้นด้วย

“การต่อสู้ของสหายโม่โด่งดังแล้ว เป็นเชมันระดับกลางทว่าไม่พ่ายเชมันระดับปลาย เรื่องนี้ดูจากสายตาคนอื่นก็รู้แล้ว” หนานกงเหินยิ้มพลางกล่าว

ขณะซูหมิงกำลังจะเอ่ย หนานกงเหินรีบกล่าวขึ้นประโยคหนึ่ง

“สหายโม่ไม่ต้องถ่อมตัว…”

ซูหมิงยิ้ม ไม่กล่าวอะไรต่ออีก

ทั้งสองคนเดินมาไม่นานก็มาถึงตรงใจกลางเมืองเชมัน อยู่นอกวิหารยักษ์แห่งหนึ่ง วิหารนี้เต็มไปด้วยความรู้สึกยิ่งใหญ่ มีขั้นบันไดทอดยาวหนึ่งพันจั้ง โดยรอบมีองครักษ์วิหารเทพเชมันจำนวนมาก เพียงแต่ว่าชาวเผ่าเชมันในนี้ล้วนเงียบสงบ เข้าออกกันโดยไม่หยุดนานนัก

ด้านหลังวิหารใหญ่เป็นมวลอากาศที่บิดเบี้ยวเหมือนมีน้ำวนอยู่ตรงนั้น และกำลังหมุนวนอย่างเงียบเชียบ ให้ความรู้สึกว่าในนั้นยังมีอีกโลกหนึ่งอยู่

ส่วนตำแหน่งไกลกว่านั้นเป็นเสาหินยักษ์สูงตระหง่านต้นหนึ่ง บนเสาหินมีตราสัญลักษณ์จำนวนมากขยับแสงลึกลับ ส่วนที่สูงกว่านั้นเป็นศีรษะคนยักษ์คล้ายต้นไม้แห้งเหี่ยวที่ซูหมิงเห็นตอนอยู่นอกเมือง

เมื่อเดินเข้ามาใกล้ ซูหมิงรู้สึกถึงแรงกดดันที่ปกคลุมฟ้าดินอย่างชัดเจน แม้ตรงนี้ยังไม่ใช่ใจกลางเมืองเชมัน ทว่าก็เป็นสถานที่สำคัญ

“ก่อนหน้าที่ข้าจะมาในครั้งนี้ได้เตรียมของเซ่นไหว้อย่างดีมาแล้ว น่าจะเปิดวิญญาณเก้าหยินชั้นที่ห้าได้” ตอนที่หนานกงเหินพาซูหมิงเหยียบบนขั้นบันไดก็กล่าวพึมพำเบาๆ

ซูหมิงได้ยินแล้วนัยน์ตาวูบไหว แต่ก็ไม่ได้ถามอย่างละเอียด ทั้งสองคนเดินขึ้นบันไดไป จนมาอยู่หน้าประตูวิหารใหญ่ ซูหมิงถึงพลันหรี่ม่านตาลง

เขาเห็นว่าตรงหน้าประตูใหญ่มีน้ำวนทรงวงรียักษ์ลอยอยู่สูงจากพื้นเจ็ดชุ่น น้ำวนนี้ประดุจประตู ตอนที่มองไปในความคิดซูหมิงนึกถึงประตูความว่างเปล่า

‘ที่นี่…หรือว่าจะเป็นประตูแห่งมายา?’ หลังซูหมิงพิจารณาอย่างละเอียดแล้ว ก็เบนสายตาจากประตูน้ำวนไปยังวิหารใหญ่ด้านหลัง

ยามนี้ประตูวิหารเปิดอยู่ ภายในกว้างโล่ง มีโครงกระดูกตั้งอยู่ตรงใจกลางหนึ่งโครง ขาถูกโซ่ล่ามเอาไว้ นั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิ โครงกระดูกนี้มีขนาดเหมือนคนปกติ ตรงศีรษะ ระหว่างหน้ากากมีรอยแยกแนวตั้ง จากลักษณะรอยแยกเหมือนว่าตอนมีชีวิตจะมีตาที่สามอยู่

โดยรอบโครงกระดูกมีผืนหญ้าเป็นวงกลมยักษ์แปดจุด ยามนี้มีสองคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านบน หนึ่งเป็นบุรุษสวมเสื้อคลุมม่วง ผมยาวมัดไว้ด้วยเส้นสีแดง บนเสื้อคลุมยาวสีม่วงมีเส้นสีทองขยับวิบวับ

สองมือเขาซ้อนกันเป็นจีบ ให้ความรู้สึกร่วงโรยเล็กน้อย แต่ใบหน้ากลับเป็นวัยกลางคนอย่างชัดเจน จึงให้ความรู้สึกแปลกพิลึก

ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นชายชราดูธรรมดามาก สวมเสื้อผ้าเนื้อหยาบ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยย่น ดูเศร้าและขมขื่นยิ่งนัก ตอนนี้หลับตาราวกับกำลังขบคิด

ไม่มีความรู้สึกถึงกลิ่นอายพลังแผ่กระจายออกจากในวิหารใหญ่แม้แต่น้อย ดุจโลกในวิหารกับข้างนอกเป็นคนละส่วนกัน เห็นว่ามีอยู่ ทว่ากลับถูกแยกออกไป

“ตรงนั้นพวกเราเข้าไปไม่ได้….เอ้อ บางทีสหายโม่อาจทำได้ ตรงนั้นมีเพียงเชมันระดับปลายเท่านั้นถึงจะสามารถเข้าไปเพื่อตระหนักรู้ถึงโครงกระดูกข้างหน้า…

ผู้อาวุโสชราข้างกระดูกคนนั้นคือเฉินหวน เชมันระดับปลายจากเผ่าเจ๋อตง ส่วนผู้อาวุโสเสื้อคลุมม่วงอีกท่านหนึ่งคือผู้อาวุโสของวิหารเทพเชมัน นามของเขามีเพียงชื่อเดียวคือมู่” หนานกงเหินกล่าวอธิบาย

“กระดูกนั้นคือ?” ซูหมิงมองโครงกระดูกที่ถูกล่ามโซ่ในวิหารแล้วถามเรียบๆ

“ประวัติของโครงกระดูกนี้ ข้ารู้เพียงว่าเขาเป็นวิญญาณปีศาจเก้าหยินที่ถูกสังหารตอนที่แดนแห่งนี้ถูกบุกเบิก…เล่าลือกันว่าเผ่าเชมันต้องเสียหายอย่างใหญ่หลวงเพื่อสังหารเขา…” หนานกงเหินลังเลครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวเสียงเบา

“เอาละ สหายโม่ เจ้ากับข้าอย่าเพิ่งแยกกันดีกว่า ถ้าเข้าไปในน้ำวนนี้ก็จะไปโผล่ในห้องโถงเก้าหยิน ข้าคิดว่าจะเลือกวิญญาณเก้าหยินของชั้นที่ห้า

สมบัติธรรมดาอย่างพวกผลึกเชมันจะเลือกได้เพียงวิญญาณเก้าหยินของชั้นที่หนึ่ง ส่วนรายละเอียด หลังจากเข้าไปแล้วจะรู้เอง สหายโม่จัดการตามกำลังได้เลย เลือกเวลาที่จะอยู่ในโลกเก้าหยินด้วย หลังจากเสร็จแล้วข้าจะรออยู่ข้างนอก”

หนานกงเหินประสานมือคารวะซูหมิง แล้วหมุนตัวเดินหายเข้าไปในน้ำวน

ซูหมิงพิจารณาน้ำวนครู่หนึ่ง ขณะกำลังจะเข้าไป น้ำวนพลันขยับแสง และมีเงาร่างคนเดินออกมา ขณะเดียวกันก็มีพลังอ่อนนุ่มกระจายออก ผลักให้ซูหมิงถอยไปหลายก้าว เงาคนในน้ำวนนั้นสมจริงขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับเดินออกมา

เขาเป็นชายหนุ่มสูงเพรียวทว่าซูบผอม มีสีหน้าเย็นชา ถักผมเปียเล็กๆ จำนวนมาก สวมเสื้อคลุมสีดำ

ช่วงที่เห็นบุคคลนี้ นัยน์ตาซูหมิงวูบไหว ยิ้มมุมปากใต้หน้ากาก

เมื่อคนผู้นี้เดินออกมาก็มองซูหมิงแล้วละสายตากลับทันใด ขณะกำลังจะไปพลันหยุดชะงัก จากนั้นหันกลับมามองซูหมิงอย่างละเอียดอีกครั้ง ก่อนหมุนตัวเดินจากไปด้วยสีหน้าปกติ

ซูหมิงก้าวเท้าเดินเข้าไปในน้ำวนอย่างไม่ลังเลอีก แสงในน้ำวนขยับวูบวาบ ทั้งตัวเขาหายวับเข้าไปในนั้น

หลังจากซูหมิงเข้าไปแล้ว ชายหนุ่มที่เพิ่งเดินออกมาเมื่อครู่หันกลับมามองจากบนขั้นบันได สีหน้าดูลังเล

“หรือว่าข้าเคยเห็นเขา…..” ชายหนุ่มคนนั้นยกมือขวาขึ้นกดตรงระหว่างคิ้ว หลังจากยืนอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น ทว่านัยน์ตายังคงเต็มไปด้วยความฉงน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version