ตอนที่ 438 ตาดี
รูปปั้นของหนานกงเหินเปล่งแสงเด่นชัด ขณะร่างฟื้นคืนชีพอย่างรวดเร็ว มือขวาซูหมิงก็วางบนรูปปั้นสูงยี่สิบกว่าจั้งแล้ว
หนานกงเหินเห็นซูหมิงทำเช่นนี้ก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก
ในความคิดเขา ซูหมิงคงอยากดูราคาสักหน่อย ต่อให้รูปปั้นนี้ราคาไม่สูง ทว่าก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะเซ่นไหว้เอาไปได้
‘ข้าเดินมารอบหนึ่งแล้ว มีเพียงรูปปั้นนี้ที่ราคาสูงสุด ราคาของวิญญาณเก้าหยินส่วนใหญ่ต้องตั้งตามศักยภาพของตน เขากล้าตั้งราคาขนาดนี้ ข้าก็กล้าให้! ดูท่าเขาจะต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในชั้นห้าแน่!’
แม้บอกว่าในใจหนานกงเหินเจ็บปวดนักกับผลึกเชมันที่ใช้ไป ทว่าเขาเชื่อในการตัดสินใจของตนมากกว่า ยามนี้มองรูปปั้นที่ดูไม่ธรรมดาอย่างยิ่งเปล่งแสงหมื่นจั้ง มองมันค่อยๆ ฟื้นคืนชีพ มองประกายแสงจากดวงตา ลมหายใจเขาพลันกระชั้นขึ้นอย่างอดไม่ได้
ผ่านไปครู่หนึ่ง หลังจากรูปปั้นสี่สิบกว่าจั้งนี้ฟื้นคืนชีพทั้งหมด ก็พลันควงหอกยาวในมือแล้วเคาะไปบนพื้นหนึ่งครั้ง ขณะเดียวกันก็ลอยขึ้นมายืนอยู่บนท้องฟ้า บนใบหน้ากระดูกเห็นเพียงดวงตาวาววับ ก้มหน้ามองหนานกงเหินแวบหนึ่ง
สายตานั้นแปลกไปเล็กน้อย ราวกับมีความซับซ้อน ปลงอนิจจัง และประหลาดใจเป็นต้น…
“ข้าจะปฏิบัติตามสัญญาระหว่างเผ่าข้ากับเผ่าเชมัน ยินยอมรับใช้เจ้า จนกระทั่งเจ้าไม่มีของเซ่นไหว้ตามความต้องการ” วิญญาณเก้าหยินบนท้องฟ้าค่อยๆ กล่าว เสียงเขาดังก้องโดยรอบ เกิดเป็นเสียงสะท้อนหึ่งๆ ฟังดูแล้วไม่ธรรมดานัก
ขณะหนานกงเหินกำลังบินขึ้นไปอย่างตื่นเต้น
ด้านข้างกายเขายามนี้รูปปั้นที่ซูหมิงกดมือขวาลงไปเปล่งแสง แสงนี้มืดหม่นยิ่งนัก ทว่าร่างกายกลับฟื้นคืนชีพอย่างรวดเร็ว นัยน์ตาค่อยๆ เผยความรู้สึกผ่านโลกมาอย่างโชกโชน
หนานกงเหินอึ้งงันไปครู่หนึ่ง พลันเบิกตากว้าง
“มะ…โม่ซู เจ้าเช่าเขารึ?” หนานกงเหินสูดลมหายใจเข้า มีสีหน้าเหลือเชื่อ พอเห็นซูหมิงพยักหน้าให้แล้ว หนานกงเหินพลันมีสีหน้าประหลาด อ้าปากเหมือนจะกล่าวอะไรบางอย่าง แต่ก็ยังลังเลใจ มองซูหมิงด้วยความเห็นใจแวบหนึ่ง
ในด้านทุนทรัพย์ของซูหมิง แม้หนานกงเหินยากจะยอมรับเล็กน้อย ทว่าความจริงอยู่ตรงหน้านี้แล้ว ดูท่าโม่ซูคงจะมีกลอุบายหรือวิธีที่คนอื่นไม่รู้อยู่
แต่การเลือกของซูหมิงกลับทำให้หนานกงเหินรู้สึกว่า…ไม่คุ้มค่าเล็กน้อย บางทีอาจพูดได้ว่าไม่คุ้มเอามากๆ
“เฮ้อ สหายโม่…เจ้าน่าจะคุยกับข้าก่อน วิญญาณเก้าหยินที่นี่มีหลายตนเลยที่…ช่างเถอะ ในเมื่อเจ้าเลือกแล้วข้าก็จะไม่พูดอีก” หนานกงเหินส่ายศีรษะพลางยิ้มเฝื่อน รู้สึกเห็นใจมากยิ่งขึ้น
สีหน้าใต้หน้ากากของซูหมิงดูประหลาดใจ เขาเห็นหนานกงเหินมองตนด้วยความเห็นใจ นัยน์ตาเขาก็ฉายแววคล้ายๆ กัน
ยามนี้รูปปั้นยี่สิบจั้งข้างซูหมิงฟื้นคืนชีพโดยสมบูรณ์แล้ว
เขาขยับตัวเล็กน้อย มีเสียงกรุบๆ ดังมาจากในตัว ท่าทางเหมือนไม่ค่อยจะไหว นี่ยิ่งทำให้หนานกงเหินเห็นใจซูหมิง
โดยเฉพาะขณะวิญญาณเก้าหยินตนนี้ขยับตัว จนกระทั่งตัวค่อยๆ หดเล็กลงเหมือนคนธรรมดาแล้ว ส่วนหลังก็นูนออกมา เห็นได้ชัดว่าเป็นวิญญาณเก้าหยินตาแก่หลังค่อม แม้เกราะบนตัวเป็นสีเงิน ทว่าก็มัวหมองยิ่งนัก สวมอยู่บนตัวแล้วให้ความรู้สึกสกปรกมอมแมมอยู่บ้าง
เห็นดังนั้น หนานกงเหินแอบถอนหายใจ ในความรู้สึกเขา ปัญหาของซูหมิงไม่ได้อยู่ที่สายตาแล้ว แต่มันเกี่ยวกับเรื่องสติปัญญา
“เจ้าหนู เจ้าเลือกข้าถือเป็นโชคดีของเจ้า ช่างเถอะ เห็นแก่โอสถชิงวิญญาณ ข้าจะปกป้องเจ้าตลอดทาง ทว่าพวกเราต้องตกลงกันก่อน ข้าจะไม่คิดเป็นรายวันกับเจ้าก็ได้ แต่ข้าเมื่อลงมือสามครั้ง เจ้าต้องให้โอสถชิงวิญญาณหนึ่งเม็ด” เสียงชายชราดังก้องในความคิดซูหมิง เขามองชายชราหลังค่อมตรงหน้า แม้บุคคลนี้สวมหมวก สวมเกราะ ทว่าลักษณะแบบนี้ดูประหลาดยิ่งนัก
ซูหมิงกลับประสานมือคารวะด้วยความเคารพอย่างสูง
“เอาตามความต้องการของผู้อาวุโสเลย ข้าจะพยายามทำให้ท่านพอใจอย่างเต็มที่”
ชายชราพอใจกับความนอบน้อมของซูหมิงมาก เขาถอดหมวกออกแล้วเหน็บไว้ใต้รักแร้ เผยให้เห็นใบหน้าที่ดูเป็นเอกลักษณ์อย่างยิ่ง
ผิวหนังสีน้ำตาลปานผิวไม้ เส้มผมยาวสีเงิน ดูเด่นตาเป็นพิเศษภายใต้การขับเน้นของสีผิว หลังจากเห็นใบหน้าชายชราแล้ว ซูหมิงหรี่ม่านตาลง รูปร่างหน้าตาของคนผู้นี้คล้ายกับศีรษะยักษ์บนเสาหินสูงตระหง่านในเมืองเชมันมาก เห็นได้ชัดว่าพวกเขาอาจเป็นเผ่าเดียวกัน!
ชายชรามีรอยย่นเต็มใบหน้า ดวงตาไร้ประกาย หลังจากหาววอดแล้วก็กวาดสายตามองหนานกงเหิน ก่อนยิ้มมุมปากน้อยๆ
ในความรู้สึกซูหมิง รอยยิ้มนั้นมีความรู้สึกชั่วร้ายเล็กน้อย
“น้องชายท่านนี้ไม่ธรรมดา เลือกผู้แข็งแกร่งที่สุดบนยอดเขาลูกนี้ของเผ่าข้า ไม่เลวๆ สายตาดี!” ชายชราแสยะยิ้ม น้ำเสียงแหบแห้ง
หนานกงเหินเห็นใจซูหมิงมากขึ้นอีกไม่น้อย ขณะกำลังจะกล่าวอะไรบางอย่างก็พลันเบิกตากว้าง เขาเห็นชายชราเงยหน้าขึ้นมองวิญญาณเก้าหยินที่ตนเซ่นไหว้เช่ามา แล้วกล่าวประโยคหนึ่งที่ทำให้เขาตะลึงงัน
“เจ้าเสี่ยวฮัน ส่วนแบ่งของข้าเล่า!” ชายชราถลึงตามองวิญญาณเก้าหยินบนอากาศของหนานกงเหิน ยามนี้วิญญาณเก้าหยินที่มีนามว่าซู่ฮันหยิบแสงผลึกกลุ่มหนึ่งมาจากอกเสื้ออย่างว่าง่าย แล้วมอบให้ชายชราด้วยความนอบน้อม
ชายชราเขย่ากลุ่มแสงในมือ พยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนรีบเก็บเข้าไปในอกเสื้อ และยังไม่ลืมหันกลับมากล่าวประจบหนานกงเหินที่ยังคงตะลึงงันอยู่
“เจ้าหนุ่ม เจ้ามีสายตาดีมากจริงๆ วางใจเถอะ หากเจ้าเด็กฮันมันดื้อ จากนี้ข้าจะสั่งสอนเขาให้เอง เจ้าวางใจได้เต็มที่เลย หากเป็นชาวเผ่าที่ข้าแนะนำให้ ไม่เคยมีปัญหาแน่นอน!”
“เอ่อ…พวกเราไปกันเลยหรือไม่? ข้าไม่ได้ออกไปข้างนอกมานานมากแล้ว ไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนไปมากเท่าไร” ชายชราหันมามองซูหมิงแล้วกล่าวอย่างเร่งรัด
ยามนี้ซูหมิงมองหนานกงเหินอย่างเห็นใจแวบหนึ่ง ก่อนกระแอมหนึ่งทีแล้วเดินหน้าไป ชายชราเอามือไพล่หลัง เดินโยกไปโยกมาตามหลัง ทั้งยังฮัมเพลง ท่าทางดูลำพองใจยิ่งนัก
ผ่านไปพักหนึ่งกว่าหนานกงเหินจะได้สติกลับมา เขามองชายชราที่เดินไกลออกไป ทั้งยังมองวิญญาณเก้าหยินนามซู่ฮัน พลันรู้สึกว่าความยิ่งใหญ่ไม่ธรรมดาที่ตนมองเห็นเมื่อครู่นี้ เหมือนมีความรู้สึกทื่อๆ อยู่ด้วยเล็กน้อย…และยังมีความรู้สึกทึ่มอีกนิดหน่อย….
ในความคิดเขาผุดภาพการขอแบ่งผลประโยชน์ของชายชราอยู่ตลอด และยังมีคำพูดกล่าวชมตน เขาตัวสั่นเทา ตบศีรษะตัวเองอย่างแรงทีหนึ่ง ก่อนจะหัวเราะแห้งๆ
‘นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้ยินว่า…วิญญาณเก้าหยินก็หลอกคนเป็นด้วย!’
หนานกงเหินจึงหัวเราะแห้งๆ พร้อมกับนึกเสียใจและกลัดกลุ้มตลอดทางไปเช่นนี้ เขาพาวิญญาณเก้าหยินที่กลายเป็นตราสัญลักษณ์บนหลังมือออกไปจากที่นี่ผ่านน้ำวนมายาพร้อมกับซูหมิง…รวมทั้งชายชราที่ทำให้เขากัดฟันกรอดทว่าไม่กล้าล่วงเกิน
ช่วงที่เดินออกมา ชายชราเงยหน้าขึ้นมองศีรษะยักษ์บนเสาหินสูงตระหง่าน นัยน์ตาฉายแววซับซ้อนและคะนึงคิด ความซับซ้อนนี้หายไปอย่างรวดเร็ว เขาละสายตากลับ มองไปยังโครงกระดูกที่ถูกผูกด้วยโซ่ในวิหารใหญ่หลังประตูน้ำวน
ยามเห็นโครงกระดูกนั้น ชายชราถอนหายใจ
“เจ้าหนู ข้าอยากไปพบสหายเก่าสักหน่อย ขอแค่เจ้าอยู่ในเมืองข้าจะสัมผัสได้ ตอนเจ้าออกไปข้าจะปรากฏตัว หากอยากให้ข้าลงมือก็ให้เรียกนามที่ข้าบอกเจ้า ข้าจะลงมือทันที!” ชายชรากล่าวเรียบๆ แล้วเดินหน้าหนึ่งก้าว เงาร่างพลันหายไป
จนกระทั่งชายชราจากไปแล้ว หนานกงเหินจึงประสานมือคารวะซูหมิงพร้อมกับรอยยิ้มเจื่อน
“สหายโม่ เฮ้อ….ไม่พูดดีกว่า ข้าจะกลับไปสงบใจสื่อสารกับวิญญาณเก้าหยินของข้าที่โรงเตี๊ยม รอจนงานพนันสมบัติครั้งใหญ่เริ่มขึ้นก่อนค่อยออกมาอีกที เจ้าจะกลับไปกับข้าหรือว่าจะเดินเล่นในเมืองเชมัน?”
ซูหมิงเห็นใจหนานกงเหินยิ่งนัก ขณะกำลังจะกล่าว นัยน์ตาพลันขยับประกาย มองบุคคลหนึ่งที่กำลังมองตนอยู่ด้านล่างบันไดวิหารใหญ่
“สหายหนานกงกลับไปก่อน แซ่โม่จะเดินเล่นที่นี่สักหน่อย” ซูหมิงประสานมือคารวะหนานกงเหิน
หนานกงเหินที่กลัดกลุ้มยิ่งนักอยู่แล้วก็ไม่มีกระจิตกระใจจะพูดอะไรอีก เขาส่ายศีรษะแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว…
หลังจากหนานกงเหินไป ซูหมิงมองคนที่ยืนมองตนอยู่ด้านล่างบันได มุมปากภายใต้หน้ากากเผยรอยยิ้มบาง ขณะเดินไปตามขั้นบันไดทีละก้าว
เมื่อซูหมิงเข้าใกล้คนที่สังเกตเห็นตนเรื่อยๆ ชายหนุ่มผู้สวมเสื้อคลุมดำทั้งตัว ใบหน้าซูบผอม มีผมเปียเล็กๆ จำนวนมาก ก็หรี่ม่านตาลงแวบหนึ่ง ทว่ากลับยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น
จนกระทั่งซูหมิงเดินลงบันไดยาวมาและยืนอยู่ตรงหน้าคนผู้นี้ ชายหนุ่มพลันหัวเราะ ผ่อนคลายม่านตาลง มองซูหมิงและประสานมือคารวะ
“พบเจอสหายเก่าในแดนแปลกตาถือเป็นเรื่องดีในชีวิต ก่อนหน้านี้ข้ายังสงสัยเลยว่าเหตุใดถึงรู้สึกคุ้นตาเจ้า ตอนนี้มานึกๆ ดูแล้ว สหายซู จากตอนที่แยกกันมาจนถึงตอนนี้ ยังคงมีท่วงท่าอันสง่างามเหมือนเดิม” ชายหนุ่มยิ้มพลางกล่าว
เขาก็คือจิตพยากรณ์ผู้มีเบื้องหลังลึกลับทั้งยังเหมือนชาวเผ่าเชมันที่ซูหมิงพบขณะเดินทางไปยังเมืองหมอกนภา…อูตัว!
“สหายซูไม่ต้องอธิบาย เรื่องนี้แซ่อูมั่นใจมาก เจ้ากับข้าไม่ใช่คนอื่นคนไกล ข้าสามารถรอเจ้าอยู่ที่นี่ อีกทั้งยังบอกฐานะเจ้าได้ ไม่ใช่คนต่ำทรามแบบนั้น มิเช่นนั้นแล้วคงไม่ต้องทำเช่นนี้
สหายซูปิดได้แนบเนียนจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นอายพลังหรือความรู้สึก มองไม่เห็นเงื่อนงำอะไรเลย ต่อให้ข้าใช้วิชาจิตพยากรณ์ตรวจสอบก็ยังไม่ได้คำตอบ
ทว่าข้าอูตัวมีพรสวรรค์ที่คนอื่นไม่มีตั้งแต่เยาว์วัย ข้าไวต่อกลิ่นมาก สหายซูเปลี่ยนทุกอย่างได้ แต่กลิ่นอายจากในร่างกายกลับต่างออกไป” อูตัวกล่าวพลางยิ้มบางๆ คำพูดจริงใจมาก
“ข้าโม่ซู” ซูหมิงมองอูตัว
“ข้าจงอี้ สหายโม่ เจอกันครั้งแรก เราไปหาที่นั่งกันดีหรือไม่? ดูแล้วสหายโม่คงจะมาเพื่องานพนันครั้งใหญ่ เรื่องนี้แซ่จงรู้มาไม่น้อย บางทีเจ้ากับข้าอาจร่วมมือกันได้…”
อูตัวกล่าวเสียงเบา มองสัญลักษณ์วิญญาณเก้าหยินบนหลังมือขวาของซูหมิง
ซูหมิงขบคิดครู่หนึ่ง ก่อนพยักหน้า