ตอนที่ 451 เทพผนึกปรากฏ 1
“สามล้านเท่าเดิม” ผู้อาวุโสวิหารเทพเชมันมองซูหมิงด้วยความเย็นชา ในความคิดเขาแม้คนผู้นี้จะฉลาดอยู่บ้าง ทว่าไม่รู้จักกาลเทศะ ต่อให้ขั้นพลังสู้กับเชมันระดับปลายได้ แต่ด้วยพลังของเขา อีกฝ่ายจะเป็นเพียงใบไม้ถูกพายุฉีกขาด ไม่อาจต่อต้านอะไร
อีกทั้งราคานี้เขาก็มองว่าเพียงพอแล้ว ราคาที่วิหารเทพเชมันเคยให้ไว้สูงสุดคือห้าล้านเท่านั้น เทียบกันแล้ว หากอีกฝ่ายไม่เอาสามล้าน เช่นนี้ก็อย่ามาเรียกร้องอะไรอีก
ซูหมิงมองผู้อาวุโสวิหารเทพเชมันแวบหนึ่ง หากเขาไม่เตรียมตัวมาก่อน เช่นนั้นวันนี้คงต้องขายหินเพียงอย่างเดียว หากแต่ในเมื่อซูหมิงกล้ายืนอยู่ตรงนี้และกล้าต่อปากต่อคำกับผู้อาวุโสวิหารเทพเชมัน เขาย่อมมีการคาดเดาอยู่ก่อนแล้ว
ยามนี้เขาไม่กล่าวอีก แต่ยกมือขวาขึ้นก่อนฟันไปยังหินพร้อมกับแสงดำขยับวิบวับ
ท่ามกลางเสียงโครมดังก้องก็ยังตัดต่อไป และเทียบภาพตรงระหว่างคิ้วของคนเล็กสีดำไปด้วย ผ่านไปพักหนึ่ง ภายใต้สายตาของผู้คนโดยรอบ ตอนที่หินแดงระเบิดกระจุย เศษหินจำนวนมากร่วงหล่น ก็ปรากฏหินภูเขาโปร่งใสขนาดศีรษะคนตรงกลางมือซูหมิง!
หินภูเขานี้สว่างพร่างพราว ดูเหมือนแฝงไว้ด้วยแสงสว่าง ภายในผนึกดอกไม้สีดำเอาไว้หนึ่งดอก สองกลีบในนั้นเป็นหิน ทว่ามีกลีบหนึ่งยังเปี่ยมล้นไปด้วยพลังชีวิต อีกทั้งใบหน้าภูตบนกลีบดอกไม้สีดำคล้ายกำลังหัวเราะอย่างชั่วร้าย
ตอนที่ดอกวิญญาณภูตปรากฏต่อหน้าทุกคน เกิดเสียงดังฮือฮาสะเทือนฟ้า จากนั้นก็คึกคักขึ้น ท่ามกลางสายตาที่มองมาเหล่านั้นมีทั้งริษยา ชื่นชม คลุ้มคลั่ง และซับซ้อน สีหน้าหลากหลายปรากฏอยู่ในกลุ่มคนบนผืนดิน
“เป็นดอกวิญญาณภูตจริงๆ อีกทั้ง…มีกลีบหนึ่งที่ยังมีพลังชีวิต!”
“กลีบดอกนี้สุกงอมแล้ว หนำซ้ำผ่านมาไม่รู้กี่ปีแล้ว ขอแค่ใช้อย่างถูกต้องก็จะสร้างภูตตัวแรกได้ตลอดเวลา!”
“บัดซบ หินก้อนนี้ข้าเคยเคาะประมูล ทว่า…..เหตุใดข้าถึงไม่เคาะประมูลต่อ!”
เสียงอื้ออึงดังขึ้นจากผู้คนโดยรอบ หนานกงเหินเบิกตากว้าง ลมหายใจกระชั้นถี่ ยามเขามองซูหมิง นัยน์ตาค่อยๆ เปล่งประกาย
“สหายโม่โชคดียิ่งนัก ซื้อหินแบบสุ่มๆ มา ไม่อยากเชื่อว่าจะเปิดได้ดอกวิญญาณภูต หากมองทั้งดอกมันเป็นหินเกินหกส่วนแล้ว แต่หากมองเพียงกลีบเดียว…นะ นี่เป็นกลีบดอกที่สมบูรณ์แบบ! ราคาของมันอย่างต่ำก็เจ็ดล้าน!”
ซูหมิงมองหินภูเขาที่ลอยอยู่กลางมือ ก่อนพลิกมือขวา หินภูเขาพลันหายไป จากนั้นเขาจึงหมุนตัวกลับ เดินลงไปยังกลุ่มคนด้านล่างโดยไม่มองผู้อาวุโสวิหารเทพเชมันแม้แต่หางตา
นอกวิหารใหญ่ทั้งแปดโดยรอบ ยามนี้คนที่เดินออกมาเหล่านั้นเพ่งมองซูหมิง ทว่าก็ไม่มีใครห้าม ถึงอย่างไรราคาที่วิหารเทพเชมันให้ก็ต่ำเกินไปจริงๆ หากเป็นพวกเขาก็คงไม่ยอมรับเช่นกัน
ผู้อาวุโสวิหารเทพเชมันมองเงาแผ่นหลังซูหมิงเดินลงไปด้านล่าง สีหน้าเขายังคงมืดทะมึน แต่กลับไม่กล่าวใดๆ ในความคิดเขาแม้ดอกวิญญาณภูตนี้จะดี ก็ยังไม่มีค่าพอให้เขาแย่งมันมาต่อหน้าทุกคน ขอแค่อีกฝ่ายอยู่ในโลกเก้าหยิน ทุกอย่างก็ยังมีความเป็นไปได้อยู่ จึงไม่จำเป็นต้องรีบร้อน
ส่วนชายร่างกำยำที่เปิดแสงพิลึกสองสีข้างกายซูหมิง ตอนนี้เห็นบรรยากาศแปลกๆ จึงลังเลครู่หนึ่ง จากนั้นก็กัดฟันตัดหินต่อ ไม่นานแสงสองสีขยับวิบวับ สายตาของทุกคนจึงค่อยๆ มองไป
ซูหมิงกลับมาถึงที่นั่งของตนบนพื้น พวกหลันหลันสามคนพลันเข้ามาล้อมเอาไว้ด้วยความตื่นเต้น ชาวเผ่าเชมันคนอื่นๆ โดยรอบก็ประสานมือคารวะ
เดิมทีจะเข้ามาหา ทว่าหนานกงเหินถลึงตามองและแค่นเสียงกันคนที่จะเข้ามาใกล้เหล่านั้นให้ออกไป โดยไม่สนใจมิตรภาพที่เขาสร้างเอาไว้กับทุกคน
หนานกงเหินอิจฉาซูหมิงอย่างเปิดเผย เขามองซูหมิงทั้งยังนึกถึงตนเอง ก่อนยิ้มเฝื่อนพลางประสานมือคารวะ
“สหายโม่…ข้ายอมแล้ว ยอมเจ้าจริงๆ!” ในสายตาหนานกงเหิน ซูหมิงเป็นคนน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก เขาพาตนหลบภยันตรายทุกอย่างจากโลกภายนอกมาถึงเมืองเชมัน ใช้ขั้นพลังเชมันระดับกลางต่อสู้กับเถี่ยมู่ อีกทั้งที่สำคัญที่สุดคือ หลังจากการต่อสู้ครั้งนั้นความสัมพันธ์ของซูหมิงกับเถี่ยมู่เหมือนไม่เคยจะเข่นฆ่ากันมาก่อน จากคำพูดของเถี่ยมู่ก็รู้แล้วว่ายอมรับซูหมิงอยู่บ้าง
ในโลกเก้าหยินนี้ ซูหมิงสร้างความตื่นตะลึงให้หนานกงเหินอีกครั้ง เขาไม่เคยคิดเลยว่าอีกฝ่ายจะเช่าองครักษ์หยินไร้ยางอายตนนั้นมา ตอนที่ตนสงสารอีกฝ่าย กลับพบว่าแท้จริงแล้วคนที่น่าสงสารคือตัวเองต่างหาก
เหมือนกับว่าซูหมิงมีหมอกโอบล้อมอยู่หนึ่งชั้น ยิ่งเขาอยากมองชัดเท่าไร ยิ่งอยากเดินเข้าไปเท่าไร เขาก็ยิ่งหลงอยู่ในนั้น
จนถึงตอนนี้ หนานกงเหินเห็นซูหมิงซื้อหินสีแดงก้อนหนึ่งอย่างตามใจชอบ ทว่าสุดท้ายกลับสร้างความตื่นตะลึง เปิดได้ดอกวิญญาณภูต จากนั้นมาเขาถึงกระจ่างในฉับพลัน
‘ในตัวโม่ซูจะต้องมีพลังลึกลับอยู่แน่ พลังนี้ไร้รูปไร้สี มองไม่เห็นและไม่อาจสัมผัส ทว่ามันมีอยู่จริง ทำให้ไม่อาจคาดเดาในตัวเขา….อืม อยู่กับคนที่มีพลังแบบนี้ บางทีข้าอาจจะได้ประโยชน์ติดมาบ้าง…’ หนานกงเหินตาเป็นประกาย มองซูหมิงพลางหัวเราะเฮอะๆ ไม่นานสีหน้าก็เปลี่ยน แล้วกล่าวเสียงเบา
“สหายโม่ พวกเราต้องระวังผู้อาวุโสวิหารเทพเชมัน บุคคลนี้ระดับพลังสูงยิ่ง อีกทั้งยังเหี้ยมโหด…..ตอนนี้ท่านปู่สกุลข้านั่งฌานตลอดปี อำนาจความน่าเกรงขามจึงน้อยลงมาก เกรงว่าจะคุมเขาไม่อยู่…..” หนานกงเหินขมวดคิ้วกล่าวกับซูหมิง ราวกับว่าซูหมิงเป็นคนของตน
ยามนี้หินหมายเลขเจ็ดร้อยถึงแปดร้อยเริ่มประมูลแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะซูหมิงเปิดได้ดอกวิญญาณภูต การประมูลหินช่วงหลังนี้จึงทะยานถึงระดับที่ดุเดือดอย่างยิ่ง
“อีกอย่างสหายโม่ต้องระวังตัวด้วย หากพวกเราถูกใจหินก้อนไหนอีก เกรงว่าแค่เริ่มประมูลคนอื่นๆ คงจะแย่งกันตายเลย…” หนานกงเหินกล่าวไปกล่าวมา กลายเป็นลงเรือลำเดียวกับซูหมิง ในคำพูดล้วนมีคำว่าพวกเรา
“อะแฮ่ม สหายหนานกงไม่ต้องกังวลไป แม้ข้ายังมีหินที่ถูกใจอยู่บ้าง แซ่โม่ก็คงมีผลึกเชมันไม่พออยู่ดี คงจะไม่เคาะประมูลอีกแล้ว” ซูหมิงส่ายศีรษะ
“ข้ามี! สหายโม่วางใจเถอะ แค่ประมูลไปก็พอ ตอนนี้พวกเราต้องไขว่คว้าเอาไว้ ครั้งนี้ข้าเตรียมผลึกเชมันมาเยอะมากเพื่อสมบัติ! ถึงตอนนั้นพวกเราสองสหาย…เฮอะๆ จะแบ่งกันอย่างไรก็คุยกันง่ายอยู่แล้ว” หนานกงเหินยิ้ม แววตาเฝ้ารอคอย
เขาเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้ว จะต้องเกาะติดข้างซูหมิงเอาไว้ รุกและถอยพร้อมกับซูหมิง เมื่อเป็นเช่นนั้น ต่อให้แย่อีกก็คงไม่แย่เท่าช่วงที่ผ่านมาของตน อย่างเช่นถูกองครักษ์เก้าหยินหลอกไปหลายล้านผลึกเชมัน และอีกห้าแสนผลึกเชมันยังหายไปกับพริบตาเป็นต้น…
“เอาแบบนี้รึ…” ซูหมิงมองหนานกงเหินแวบหนึ่ง
“สหายโม่ไม่ต้องลังเลแล้ว ไม่เป็นไร เจ้ากับข้าเจอกันถือเป็นโชคชะตา ของนอกกายเหล่านั้นเทียบกับมิตรภาพของเราแล้วก็ไม่เท่าไร หากสหายโม่อยากได้ก็เอาไปได้เลย เจ้าดูสิว่าข้าหนานกงเหินหาได้ใส่ใจไม่!” หนานกงเหินตบหน้าอกตัวเอง
“ได้” ซูหมิงไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธ หลังจากกล่าวจบเขาจึงตะโกนราคาขึ้นฟ้าขณะกำลังประมูลหินหมายเลขแปดร้อยสามสิบหก
“ห้าแสน!”
หนานกงเหินอึ้งงัน เขายังคิดว่าซูหมิงจะกล่าวอย่างเกรงใจอีกสักเล็กน้อย จากนั้นตนค่อยโน้มน้าวอีก สุดท้ายทั้งสองฝ่ายก็ต้องพึ่งพากันและนำพาไปสู่การทำสัญญาลับ แต่ซูหมิงกลับไม่เกรงใจอีก เข้าร่วมการประมูลต่อในทันใด
ความจริงแล้วในใจหนานกงเหินยังเป็นกังวลอยู่ ถึงอย่างไรผลึกเชมันของเขาก็ไม่ได้ตกลงมาจากท้องฟ้า แต่เขาเก็บมาอย่างยากลำบาก ยามนี้เห็นซูหมิงกล่าวคำว่าห้าแสนอย่างสบายๆ ก็เจ็บปวดหัวใจ ทว่าใบหน้ายังคงสงบนิ่ง กระทั่งยังเผยรอยยิ้มบางและพยักหน้าให้ซูหมิง เห็นได้ถึงความใจกว้างของเขาอย่างชัดเจน
“สหายโม่ หินก้อนนี้เป็นอย่างไรรึ?” หนานกงเหินมองหินสีแดงบนท้องฟ้า ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่ต่างอะไรกับหินก้อนอื่นๆ
ทว่าสำหรับผู้คนโดยรอบ ราคาประมูลครั้งล่าสุดของหินก้อนนี้คือสี่แสนสามหมื่น หลังจากซูหมิงเคาะประมูลในราคาห้าแสนแล้วก็ดึงดูดความสนใจของทุกคนในระดับสูงดุจก้อนหินถูกโยนลงผิวน้ำ
เป็นอย่างที่หนานกงเหินคาดเดา ผู้คนจำนวนมากล้วนมองซูหมิง เตรียมประมูลตามทันทีเมื่อเขาเคาะประมูลอีกครั้ง
ตอนนี้พอได้ยินซูหมิงตะโกนไปว่าห้าแสน ก็พลันมีหลายคนฮึกเหิมขึ้นมา พากันเคาะประมูลต่อ
“ห้าแสนห้าหมื่น!”
“หกแสน!”
“หกแสนสี่หมื่น”
“หกแสนแปดหมื่น!”
เห็นราคาสูงขึ้น ซูหมิงจึงหันไปมองหนานกงเหินที่ใบหน้าแอบตึงเครียดอยู่
“สหายหนานกง เจ้ามีผลึกเชมันเท่าไร?”
“เอ่อ….ยังมีอีกสองล้านกว่าๆ….” หนานกงเหินใจเต้นตึกๆ
“เจ็ดแสน!” ซูหมิงได้ยินดังนั้นจึงตะโกนออกไปอีกครั้ง เมื่อเสียงเข้าถึงหูหนานกงเหิน หัวใจเขาพลันหดลีบ เกิดความขัดแย้งในใจ แต่ก็ยังเค้นรอยยิ้มแสดงท่าทีเห็นด้วย
“สหายโม่ คุณสมบัติหินก้อนนี้เป็นอย่างไรรึ?” หนานกงเหินใจเต้นแรงขึ้น ถามออกไปในทันควัน
“ข้าไม่รู้” คำตอบของซูหมิงเกือบทำให้หน้าหนานกงเหินบึ้งตึง
“แปดแสน!” หลังจากซูหมิงเคาะประมูล พลันมีคนตะโกนขึ้นอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าคิดจะแย่งหินที่ซูหมิงถูกใจ
“จะประมูลต่อหรือไม่?” นัยน์ตาหนานกงเหินมีเส้นเลือดฝอย จ้องไปยังที่มาของเสียงตะโกนเมื่อครู่เขม็ง กล่าวกับซูหมิงเสียงเบา
“ช่างเถอะ พวกเรารอประมูลชิ้นต่อไปดีกว่า” ซูหมิงส่ายศีรษะ สุดท้ายหินก้อนนี้ก็ถูกซื้อไปในราคาแปดแสน นับว่าสูงที่สุดแล้ว