Skip to content

สู่วิถีอสุรา 462

ตอนที่ 462 เสร็จสิ้นคำสัญญา

เวลาค่อยๆ ผ่านไป ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงหน้าหลันหลันกับอาหู่ แม้ชายร่างกำยำวิญญาณหยินนั่งอยู่ข้างๆ เช่นกัน แต่ด้วยรูปร่างใหญ่โตของเขาจึงดูเหมือนภูเขาเล็ก

มังกรแดงฉานลอยอยู่บนอากาศ จ้องไปรอบๆ ด้วยความตื่นตัว

ซูหมิงหลับตาและมีสีหน้าสงบนิ่ง ทว่าในใจกลับลังเล เพราะอาการห่อเหี่ยวของหนอนงูพิลึก ทั้งยังมีเสียงร้องด้วยความเศร้าโศกของมันอีก

อารมณ์ของหนอนงูตั้งแต่ตื่นเต้นในตอนแรกจนกลายเป็นเศร้าโศกในตอนนี้ การแปรเปลี่ยนระหว่างนั้นทำให้มันน่าสงสารยิ่งนัก

‘เผ่าจู๋อินกินเผ่าตัวเองเพื่อเติบโตมาตั้งแต่โบราณกาลอย่างนั้นหรือ…’ ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ซูหมิงลืมตาขึ้น จ้องศพของจู๋จิ่วอิน นัยน์ตาฉายแววเย็นชา

‘หากเป็นเช่นนั้น จู๋จิ่วอินที่ตายมานานและยังเหลือเสี้ยวจิตเอาไว้ตัวนี้ คงอยากจะกินหนอนงูของข้าเพื่อฟื้นคืนชีพกลับมา…ทว่า ในเมื่อเผ่าจู๋จิ่วอินกินเผ่าตัวเองมาตลอด บางทีหนอนงูของข้าอาจจะกินมันได้!’ ขณะซูหมิงขบคิดก็มองชายร่างกำยำวิญญาณหยิน

“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าดวงตายักษ์เมื่อครู่เป็นดวงตาที่สองของจู๋จิ่วอินรึ? เช่นนั้นมันมีกี่ดวงตากัน?”

“มีทั้งหมดสี่…” ชายวิญญาณหยินลืมตาแล้วกล่าวเสียงเบา

“จู๋จิ่วอินมีทั้งหมดสองหัว หนึ่งเป็นหัวงูเหลือม อีกหนึ่งเป็นหัวเหมือนกับเผ่าข้าซ่อนอยู่ ทุกหัวจะมีสองดวงตา ฉะนั้นเลยเป็นสี่

ดวงตายักษ์เมื่อครู่นี้เป็นตาเดียวของงูเหลือม ตำนานในเผ่าข้าเคยเล่าขานเกี่ยวกับสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เก้าหยินว่า หลังจากมันตายต้องผนึกร่างกาย มิเช่นนั้นแล้วเลือดเนื้อมันจะกลายเป็นหมอก ความแค้นของมันจะกลายเป็นวิญญาณร่ำไห้ กระดูกมันจะกลายเป็นมารกระดูก ดวงตาทั้งสี่ของมันจะกลายเป็นภัยร้าย…

ดวงตาเมื่อครู่นั้นตื่นขึ้นเพราะผนึกคลายออกอีกครั้ง หากถูกมันจ้อง ด้วยขั้นพลังของข้าคงยากจะหลุดพ้นออกมา จำต้องให้คนอื่นช่วย” เสียงชายร่างกำยำวิญญาณหยินดังก้องอยู่ในหมอก เข้าถึงหูซูหมิง เขาจึงหรี่ม่านตา

“หากถูกรอยแยกในดวงตาแห่งภัยร้ายกลืนกินจะกลายเป็นหุ่นเชิดผู้ดูดวิญญาณ?”

ซูหมิงพลันถามขึ้น

“หุ่นเชิด….” ชายร่างกำยำวิญญาณหยินมีสีหน้าหวาดกลัวพลางส่ายศีรษะ

“จะไม่เป็นหุ่นเชิด แต่จะถูกสูบเลือดเนื้อและส่วนสำคัญทั้งร่างกายจนกลายเป็นศพแห้ง…นี่ไม่ใช่จุดสำคัญ

จุดสำคัญคือจิตของเจ้าจะถูกดูดไป และเข้าสู่โลกอมตะที่จู๋จิ่วอินโตเต็มวัยทุกตัวสร้างขึ้น เจ้าต้องอยู่ที่นั่นนานมาก ไม่มีทางหนีออกมาได้ไปชั่วนิรันดร์ราวกับถูกผนึกไว้ ทำได้เพียงต่อสู้กับสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนที่ถูกจู๋จิ่วอินสังหาร และต่อสู้ไปเรื่อยๆ ต่อให้ตายก็จะฟื้นคืนชีพในอีกไม่ช้า…

จนกระทั่งจิตใจของเจ้าสลาย จนกระทั่งเจ้ายอมศิโรราบต่อจู๋จิ่วอิน ตอนนั้นเจ้าจะกลายเป็นสมาชิกของโลกอมตะ…

ส่วนศพของเจ้าจะอยู่ในตัวของจู๋จิ่วอิน กลายเป็นส่วนหนึ่งของเลือดเนื้อมัน นี่คือสิ่งที่น่ากลัวกว่าความตาย เทียบกันแล้ว สู้จนตัวตายเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด”

ชายร่างกำยำวิญญาณหยินกล่าวเสียงเบา น้ำเสียงแฝงไว้ด้วยความกลัวจนซูหมิงรู้สึกได้อย่างชัดเจน

“แล้วถ้าไม่ยอม? ไม่มีทางออกมาจากมิติอมตะนั้นได้เลยรึ?” ซูหมิงขบคิดชั่วครู่ แล้วกล่าวช้าๆ

“ออกมา…” วิญญาณหยินเงยหน้ามองซูหมิงแวบหนึ่ง

“จู๋จิ่วอินทุกตน ตอนมีชีวิตจะต้องรับเครื่องเซ่นไหว้จากเผ่าจำนวนมาก ยิ่งสิ่งมีชีวิตที่เอามาเซ่นไหว้มันเยอะเท่าไร พลังของมันจะแข็งแกร่งมากเท่านั้น…นี่คือสัญชาตญาณ ดูผู้ดูดวิญญาณเผ่าเชมันของเจ้าสิ เจ้าน่าจะนึกออก ต่อให้เป็นจิตที่เหลืออยู่หลังจากมันตาย ก็ยังให้กำเนิดผู้ดูดวิญญาณได้ เห็นได้ชัดถึงความยิ่งใหญ่ของสัญชาตญาณ

เชมันดูดวิญญาณก็เท่ากับผู้เซ่นไหว้จู๋จิ่วอิน เพียงแต่ผู้ดูดวิญญาณในเผ่าเชมันไม่มาก ฉะนั้นเผ่าข้าเลยอนุญาตให้เผ่าเชมันของเจ้าเข้ามาที่นี่ ตอนที่จู๋จิ่วอินต้องการ มันจะกินบางเผ่าไป ทว่าขณะเดียวกัน ในเผ่าที่เซ่นไหว้มันเหล่านั้นก็จะได้รับกิตติมศักดิ์…ถูกดูดเข้าไปในโลกอมตะของจู๋จิ่วอิน!” ชายร่างกำยำกล่าวเสียงเบายิ่งขึ้น

“กิตติมศักดิ์?” นัยน์ตาซูหมิงเป็นมันวาว

“ไม่ผิด เข้าไปฝึกฝนในโลกอมตะ เพื่อตระหนักรู้ถึงต้นกำเนิดการต่อสู้ท่ามกลางอันตรายหลายครั้ง และสร้างนักรบที่แข็งแกร่งที่สุดขึ้นมา…

ทุกชนเผ่าที่เซ่นไหว้จู๋จิ่วอินจะเลือกคนที่โดดเด่นที่สุดในเผ่าให้รับกิตติมศักดิ์การต่อสู้นี้ บางทีขั้นพลังอาจไม่สูง ทว่าความเหี้ยมโหดในการต่อสู้กับความเด็ดขาดไม่มีผู้ใดเปรียบได้

เพราะอันตรายจากการฝึกฝนของพวกเขามีมากจริงๆ ทว่านี่คือตอนที่จู๋จิ่วอินยังมีชีวิตอยู่ มันจะดูดและปล่อยได้ตามใจชอบ ฉะนั้นเลยเป็นกิตติมศักดิ์

ทว่าหลังจากมันตายก็ไม่ใช่อีกต่อไป มันกลายเป็นพันธนาการที่น่ากลัวเสียยิ่งกว่าความตาย…บางทีอาจมีคนออกมาจากโลกอมตะของจู๋จิ่วอินที่ตายแล้วจริงๆ ทว่าในตำนานเผ่าข้าไม่มี”

ซูหมิงเงียบงัน วิญญาณหยินก็ไม่กล่าวต่อ

ผ่านไปอีกราวหนึ่งชั่วยามกว่า มังกรแดงฉานบนท้องฟ้าพลันเปล่งเสียงร้องคำราม

นัยน์ตาซูหมิงขยับวูบไหว เขาเห็นว่าในหมอกไกลออกไปปรากฏเงาสีขาวอีกครั้ง อีกทั้งไม่ใช่ตนเดียว แต่มีราวเจ็ดแปดตน พวกนางล่องลอยอยู่ในหมอก ส่งเสียงร้องสะอื้น

เสียงร้องไห้นั้นเข้าสู่จิตใจ ทำให้คนฟังเกิดความรู้สึกกระวนกระวายอีกครั้ง

หากเพียงแค่เงาสีขาวคงไม่เท่าไร เพราะในหมอกบ้างก็มีเสียงคำรามดังกังวาน จะเห็นรางๆ ว่าในหมอกลอยตลบมีสิ่งมีชีวิตที่เต็มไปด้วยเกล็ดอยู่

นอกจากนี้แล้ว ซูหมิงยังเห็นเงามืดยักษ์ในหมอก เงามืดนี้มีความสูงสิบกว่าจั้ง มันลอยอยู่ตรงนั้น ขณะเดียวกับที่ซูหมิงเห็นมัน เขาก็เกิดความรู้สึกเหมือนถูกดึงดูดสายตาไป

เงามืดนั้นก็คือลูกตายักษ์ที่หายไปก่อนหน้านี้ ดวงตาที่สองของจู๋จิ่วอิน!

“อย่าขยับ!” นัยน์ตาชายร่างกำยำวิญญาณหยินขยับประกาย จ้องบริเวณหมอกแล้วกล่าวเบาๆ

“พวกมันจะไม่เข้าใกล้ ถึงอย่างไรพวกมันก็กำเนิดมาจากร่างของจู๋จิ่วอิน ที่โจมตีพวกเราก่อนหน้านี้เพราะว่าในตัวพวกเราไม่มีจิตของจู๋จิ่วอินตัวนี้…ตอนนี้เผ่าเจ้าสองคนกำลังสัมผัสถึงจิตของมัน และจะเป็นผู้เซ่นไหว้ของมันแล้ว ฉะนั้นพวกมันจึงไม่โจมตี

รอเผ่าเจ้าสองคนนี้ได้รับการยอมรับก่อน มีพวกเขาอยู่ พวกมันไม่น่าจะโจมตีพวกเราอีก” ขณะชายร่างกำยำวิญญาณหยินกล่าว ก็พลางกวาดสายตามองไปรอบๆ

ซูหมิงไม่ผลีผลาม เวลาผ่านไป วิญญาณในหมอกเหล่านี้เป็นอย่างที่วิญญาณหยินว่าไว้จริงๆ พวกมันเพียงวนเวียนอยู่รอบๆ แต่กลับไม่เข้ามาใกล้เกินไป ซูหมิงจึงส่งกระแสจิตไปยังมังกรแดงฉานเพื่อให้มันสงบลง ทว่าก็ยังคงตื่นตัวอยู่

ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยามใหญ่ๆ ซูหมิงหรี่ม่านตาลง เขาเห็นเงาสีขาวในหมอกเยอะขึ้นเรื่อยๆ มีไม่ต่ำกว่าหลายสิบตัว

ขณะเดียวกับที่เพิ่มขึ้น สัตว์ร้ายที่ซ่อนตัวอยู่ในหมอกก็เพิ่มขึ้นมาเช่นกัน พวกมันอยู่กันแน่นขนัด มีราวๆ หลายร้อยตัว เสียงคำรามและเสียงร้องไห้ปะปนเข้าด้วยกันจนกลายเป็นคลื่นเสียง

นอกจากนี้แล้ว ขณะซูหมิงกับชายร่างกำยำวิญญาณหยินกำลังตื่นตัว ก็มีเสียงคำรามดังแว่วมาจากในหมอก ฟังครั้งแรกเสียงนี้เหมือนอยู่ไกล ทว่าพริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้ ก่อนเห็นว่ามีแสงสีขาวสิบกว่าเส้นตรงเข้ามาจากในหมอกอย่างรวดเร็ว และกลายเป็นเส้นโค้งปักลงดินห่างจากพวกซูหมิงหลายสิบจั้ง

แสงสีขาวสิบกว่าเส้นนี้คือกระดูกสีเทา หลังจากปักลงดินแล้วมันก็หลอมละลายในทันใด แล้วกลายเป็นคนเล็กสีเทาที่เต็มไปด้วยพลังชั่วร้าย

ตอนที่คนเล็กปรากฏ ซูหมิงตื่นตะลึง เขาเห็นว่าลักษณะคนเหล่านี้คล้ายกับคนเล็กที่ผนึกอยู่ในหินภูเขาของเขามาก

ทว่าหากมองดีๆ จะเห็นถึงความต่าง คนเล็กเหล่านี้ล้วนเป็นสีเทา ไม่ใช่สีดำ อีกทั้งใบหน้าพวกเขายังเลือนราง ไม่มีอวัยวะบนใบหน้าโดยละเอียด ตรงดวงตาเป็นรอยเปิดหนึ่งเส้น ตรงปากก็เป็นรอยเปิดเช่นกัน

“มารกระดูกมาแล้ว ดูท่าผนึกคงจะไม่ใช่แค่คลายออก แต่เสียหาย…”

ชายร่างกำยำวิญญาณหยินหน้าเปลี่ยนสี

ซูหมิงมีสีหน้าตึงเครียด ไม่กล่าวอะไร เพียงจ้องสิ่งมีชีวิตในหมอกเหล่านั้น ตอนที่มองไป หมอกเคลื่อนตัวเชี่ยวกราก เงาสีขาวพลันมีเพิ่มขึ้นมาอีกสิบกว่าตน

เห็นได้ชัดว่ายิ่งเวลาผ่านไป วิญญาณหมอกจะเข้ามารวมกันที่นี่มากขึ้นเรื่อยๆ!

ทันใดนั้น อาหู่ที่หลับตาอยู่พลันตัวสั่น และมีสีหน้าเจ็บปวด จากนั้นความเจ็บปวดก็ค่อยๆ กลายเป็นแน่วแน่ เพียงแต่ในความแน่วแน่มีความเคารพอยู่ด้วย

‘ยอมรับ….ถ้าเป็นอย่างที่วิญญาณหยินบอก การจะได้รับคุณสมบัติในการฝึกดูดวิญญาณ คงจะต้องใช้การเซ่นไหว้มันเป็นหลัก…..’ ซูหมิงเงียบ นี่คือเรื่องของเผ่าโคขาว เขาไม่มีเหตุผลต้องก้าวก่าย

ครู่ต่อมา หลันหลันก็มีสีหน้าเจ็บปวดเช่นกัน ราวกับกำลังดิ้นรน ทว่าไม่นานก็กลายเป็นเคารพเหมือนกับอาหู่

จากนั้นทั้งสองคนลืมตาขึ้นพร้อมกัน นัยน์ตาพวกเขามีแสงอ่อนวูบวาบและค่อยๆ หายไป ในสายตาซูหมิง ทั้งสองคนมีบางอย่างต่างออกไปจากแต่ก่อนเล็กน้อย

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่คอยช่วย!” อาหู่ยืนขึ้นแล้วประสานมือคารวะซูหมิง หลันหลันข้างกายก็เช่นกัน หลังจากคารวะซูหมิงแล้วก็มองวิญญาณในหมอก

“นี่คือการแลกเปลี่ยนระหว่างข้ากับจ้าวเชมันเผ่าเจ้า ไม่ต้องขอบคุณหรอก พอส่งเจ้ากลับเมืองเชมันแล้วก็จะเสร็จงาน” ซูหมิงยืนขึ้น กวาดสายตามองวิญญาณในหมอก

“ผู้อาวุโสวางใจ ข้ารู้สึกได้ว่าพวกมันไม่มีเจตนาร้ายต่อข้ากับหลันหลัน พวกเราออกไปได้สบายๆ” อาหู่รีบกล่าวขึ้น ตอนที่เดินหน้าไป วิญญาณเหล่านั้นพากันถอยห่างเปิดเป็นเส้นทาง

ทว่าตอนที่ซูหมิงเดินออกมา วิญญาณในหมอกเหล่านั้นร้องคำรามเสียงดังสนั่น เงาสีขาวกรีดร้อง สัตว์หมอกคำราม มารกระดูกก็ส่งเสียงร้องเช่นกัน ดวงตายักษ์ที่ลอยอยู่ไกลๆ ยามนี้ลอยออกมาจากในหมอกและจ้องซูหมิง

“เจ้าพาพวกเขาสองคนกลับเมืองเชมัน” ซูหมิงขบคิดชั่วครู่ก่อนจะกล่าวนิ่งๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version