ตอนที่ 461 สายเลือดจู๋อิน
ในสถานการณ์อันตราย ม่านแสงปกคลุมหลันหลันกับอาหู่ ยามนี้ขยับแสงวิบวับอย่างเด่นชัด ดุจใกล้จะสลายไปแล้ว เกรงว่าอีกไม่กี่ลมหายใจคงจะสลายไปจนหมด
หากมันหายไป เช่นนั้นสำหรับเด็กหนุ่มสาวสองคนที่ยังเทียบไม่ได้แม้แต่เชมันระดับต้นแล้ว เจอแรงกระแทกอ่อนกำลังครั้งเดียวก็สลายหายไป เช่นเดียวกัน ชายร่างกำยำวิญญาณหยินก็กำลังเผชิญหน้ากับภยันตรายเป็นตายเช่นกัน ด้วยขั้นพลังเชมันระดับปลาย เขายังต่อสู้ดิ้นรนอยู่ภายใต้ลูกตายักษ์พิลึกนี้ อีกทั้งสีหน้ายังเจ็บปวดอย่างยิ่ง ถูกปากลูกตานั้นดึงเข้ามาใกล้เรื่อยๆ ปานจะกลืนกิน
นัยน์ตาซูหมิงขยับวูบไหว ตรงเข้าไปอย่างไม่ลังเลราวสายฟ้า
ร่างแยกกับหุ่นเชิดก็มุ่งหน้าตามติดไปยังหลันหลันกับอาหู่
ขณะเดียวกัน ตรามังกรแดงฉานบนแขนขวาซูหมิงวูบวาบ ก่อนปรากฏมังกรสีชาดขึ้นพร้อมกับเสียงคำรามกังวานแปดทิศ หัวมังกรใหญ่พลันสะบัดลงฟาดไปยังชายวิญญาณหยินที่ถูกลูกตาดูดเข้าไป
ซูหมิงใช้ความเร็วสูงอย่างยิ่ง ทว่าแทบจะชั่วขณะที่เขาห้อเหยียดเข้ามา ม่านแสงรอบตัวหลันหลันกับอาหู่พลันแตกกระจายกลายเป็นเศษมากมายท่ามกลางเสียงร้องไห้แหลมของเงาสีขาวจำนวนมาก ก่อนเงาคนสีขาวเหล่านั้นจะพุ่งเข้าไป
ซูหมิงมีสีหน้าเคร่ง ร่างแยกด้านข้างคำรามเสียงต่ำ ร่างเงาหายไปในชั่วพริบตา และมาปรากฏตัวช่วงที่ม่านแสงแตกและเงาคนชุดขาวพุ่งเข้ามาพอดี ขณะหลันหลันมีสีหน้าสิ้นหวัง มวลอากาศตรงหน้านางบิดเบี้ยว ร่างแยกของซูหมิงเดินออกมา พร้อมทำสัญลักษณ์มือขวาฟาดฝ่ามือไปข้างหน้า
ฝ่ามือนี้ทำให้หมอกโดยรอบม้วนตัวอย่างรวดเร็ว ราวกับมีพลังมหาศาลระเบิดมาจากในฝ่ามือร่างแยก ท่ามกลางเสียงระเบิดดังสนั่น เงาสีขาวที่พุ่งเข้ามาเหล่านั้นกรีดร้อง พวกนางถูกแรงกระแทกจนหยุดชะงักกลางอากาศครู่หนึ่ง ก่อนกระเด็นถอยไป
ร่างแยกซูหมิงสะบัดแขนเสื้อม้วนตัวหลันหลันกับอาหู่ให้ถอยออกจากตรงนั้นอย่างไม่ลังเล เงาสีขาวหลายตนที่เหลืออยู่ข้างกายกรีดร้องเสียงแหลมพร้อมกัน เพราะร่างแยกถ่วงเวลาสำคัญที่สุดให้ซูหมิงได้ทัน แทบจะเป็นตอนที่มันพาหลันหลันกับอาหู่กลับมา เงาร่างซูหมิงก็ทะยานเข้าไปประดุจพายุคลั่ง
สิ่งที่มาพร้อมกับซูหมิงยังมีหุ่นเชิดศพพิษอีกด้วย
ซูหมิงมีสีหน้าเหี้ยมเกรียม ตอนที่เข้ามาใกล้ เขากำหมัดซ้ายแล้วชกไปยังเงาสีขาวด้วยความเร็วรี่ เงาสีขาวนั้นหลบไม่ทัน จึงถูกหมัดชกบนตัวเข้าเต็มๆ
ตอนที่ร่างนางกระจายเป็นเสี่ยงๆ และกลายเป็นหมอกลอยขึ้นนั้น หมอกกลับรวมตัวขึ้นมาใหม่อีกครั้ง หุ่นเชิดศพพิษก็เจอกับเหตุการณ์แบบเดียวกัน
“วิญญาณร้าย?” ซูหมิงแค่นเสียงหึก่อนพลิกมือซ้าย รอบตัวเขาพลันขยับแสงอ่อนวูบไหว ระฆังเขาหานปรากฏขึ้น จากนั้นซูหมิงทำสัญลักษณ์มือแล้วชี้ไป พลันปรากฏเงามายาของจิ่วอิงรอบระฆัง จิ่วอิงเพิ่งเผยตัวก็ร้องคำรามในทันใด
ภายใต้เสียงคำราม เงาสีขาวเหล่านั้นตัวสั่น ไม่กล้าเข้าใกล้ และหนีเข้าไปในหมอกอย่างรวดเร็ว สีหน้าซูหมิงเผยจิตสังหาร หลังจากทำสัญลักษณ์มือชี้ไปหลายครั้ง นัยน์ตาหัวที่หกของจิ่วอิงวาววับ แล้วอ้าปากสูบไปทางเงาสีขาวเหล่านั้น
การสูบครั้งนี้ทำให้เงาสีขาวเหล่านั้นตัวสั่น กลายเป็นหมอกลอยเข้าปากหัวที่หกของจิ่วอิง และมันยังเคี้ยวอีกหลายทีอย่างออกรส
ยามนี้ ชายร่างกำยำวิญญาณหยินมีสีหน้าดิ้นรนท่ามกลางความสับสน เห็นตรงหน้าว่ากำลังจะถูกลูกตายักษ์กลืนไปแล้ว ทว่าหัวมังกรยักษ์กระแทกใส่ตัวเขาอย่างแรง หากมองไกลๆ เขาจะเหมือนถูกมังกรแดงฉานผลักออก จึงหลุดจากการดูดวิญญาณของลูกตาพิลึก
ขณะเดียวกับที่ชนวิญญาณหยิน มังกรแดงฉานคำรามใส่ลูกตา มันยกกรงเล็บขึ้นแล้วตะปบไป แต่ตอนที่จะสัมผัสพลันมีหมอกเทาลอยอบอวลมาจากในลูกตา ทำให้ช่วงที่กรงเล็บมังกรตะปบเข้าไป มันโปร่งใสและค่อยๆ หายไป กรงเล็บมังกรจึงคว้าอากาศลงสู่พื้นดิน ทำให้แผ่นดินสั่นสะเทือน
ทุกอย่างเหมือนช้า ทว่าความจริงตั้งแต่ที่ซูหมิงถูกลอบโจมตีมาจนถึงตอนนี้ก็ผ่านไปเพียงหลายสิบลมหายใจเท่านั้น ยามนี้เงาสีขาวถูกจิ่วอิงกลืนไป ลูกตายักษ์ก็หายไปด้วย โดยรอบจึงกลับมาเงียบสงบ
หมอกที่กระจายออกจากการฟาดกระบองเขี้ยวของซูหมิงก็ค่อยๆ ลอยกลับมาราวกับจะปกคลุมอีกครั้ง
ชายร่างกำยำวิญญาณหยินลุกขึ้นมาแล้วถอดหมวกออก เขามีสีหน้าทะมึน นัยน์ตาแฝงไว้ด้วยความโกรธ และยังมีความกลัวอยู่ลึกๆ
“พวกเจ้าเผ่าเชมันไม่ทำตามสัญญา คนที่มาในโลกของข้าในครั้งนี้จะต้องเกินจำกัดของผนึกอย่างแน่นอน มันเลยทำให้ผนึกเปิดติดต่อกันและเกิดความผิดปกติของโครงกระดูกสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เก้าหยิน…ลูกตาเมื่อครู่นี้ เดิมทีไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น แต่มันมีความสามารถดูดวิญญาณที่คนธรรมดาไม่มีทางมี นั่นคือดวงตาที่สองของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จิ่วอิน!” ชายร่างกำยำวิญญาณหยินมองซูหมิงแวบหนึ่งแล้วกล่าวช้าๆ
“ข้าใช้โอสถชำระล้างเช่าเจ้ามา และเมื่อครู่นี้ข้าก็เพิ่งช่วยชีวิตเจ้า” ซูหมิงเอ่ยอย่างสงบนิ่ง
ชายร่างกำยำวิญญาณหยินเงียบ ผ่านไปพักหนึ่งก็ยิ้มเฝื่อน
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จิ่วอิน?” ซูหมิงเก็บกระบองเขี้ยว หันกลับไปมองหลันหลันกับอาหู่ที่กำลังหน้าซีดขาว เขากวาดสายตามองไปรอบๆ แล้วไปหยุดอยู่ที่โครงกระดูกยักษ์ห่างไปหนึ่งร้อยจั้ง
“โครงกระดูกที่เจ้าเห็นคือศพของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์จิ่วอิน หรือก็คือจู๋จิ่วอินที่เผ่าเชมันพวกเจ้าพูดถึง เมื่อครู่ข้ารู้สึกถึงความผิดปกติเล็กน้อย ตอนนี้ดูแล้วเงาคนสีขาวนั่นคงจะเป็นวิญญาณชั่วร้ายของศัตรูที่จู๋จิ่วอินเคยสังหารในตอนนั้น
ส่วนกรงเล็บสัตว์ที่ปรากฏในหมอกก็เป็นเนื้อเน่าของร่างสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เก้าหยิน…..ตอนนั้นเผ่าเชมันพวกเจ้าทำลายผลึก ทำให้จิตของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เก้าหยินหายไป กระทั่งพวกเจ้ายังคิดจะนำมันออกไปอีก แต่พอรู้ว่าทำไม่ได้ก็เลยใช้ให้ชนรุ่นหลังของเผ่าเชมันมาสัมผัสกับจิตของมันจนเกิดเป็นผู้ดูดวิญญาณ
หลังจากนั้นก็มาหาเผ่าข้า เพื่อผนึกแดนแห่งนี้กับแดนอื่นๆ อีกครั้ง ผนึกนี้เหมือนจะแข็งแกร่ง ทว่าจริงๆ แล้วอ่อนแอมาก หากมีคลื่นพลังเทียบเคียงกับเชมันระดับสูงสุดเข้ามาก็จะแตกสลาย…ยกเว้นก็แต่มัน” ชายร่างกำยำวิญญาณหยินมองมังกรแดงฉานแล้วกล่าวเนิบช้า
ซูหมิงมองโครงกระดูกยักษ์พันจั้ง ด้านบนเน่าเปื่อยมากกว่าครึ่ง ทว่ากลับไม่มีกลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมา หลังจากขบคิดชั่วครู่แล้วก็เดินเข้าไปไกล้
หลันหลันกับอาหู่ตามหลังไปติดๆ ชายร่างกำยำวิญญาณหยินมองไปรอบๆ ด้วยความหวาดกลัวแล้วก็เดินตามไป
มังกรแดงบินต่ำบนท้องฟ้า นัยน์ตาวาววับ มองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตัว กลิ่นอายพลังที่นี่ทำให้มันรู้สึกไม่สบายอย่างยิ่ง โดยเฉพาะความรู้สึกจากโครงกระดูกซึ่งเต็มไปด้วยความอึดอัด
เมื่อทุกคนเดินเข้ามาใกล้ หมอกโดยรอบกระจายเข้ามาทีละนิด ทำให้รอบตัวพวกเขาค่อยๆ ขมุกขมัวอีกครั้ง ซูหมิงมาหยุดอยู่ข้างโครงกระดูกยักษ์
“สัมผัสจิตของจู๋จิ่วอินตรงนี้ จะสำเร็จการฝึกฝนผู้ดูดวิญญาณหรือไม่ก็ต้องดูที่โชคชะตาของพวกเจ้าสองคน” ซูหมิงมองศพของจู๋จิ่วอินครู่หนึ่ง กล่าวเนิบนาบกับหลันหลันและอาหู่
แม้เด็กหนุ่มสาวสองคนนี้จะกลัว แต่กลับพยักหน้าอย่างแน่วแน่ ทั้งสองคนจับมือกันแล้วนั่งขัดสมาธิ หลับตาลง โคจรสายเลือดอ่อนๆ ในร่างกายตามวิธีที่จ้าวเชมันถ่ายทอดให้
ซูหมิงไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มสาวสองคนนี้ต้องใช้เวลานานเท่าไร หลังจากกำชับกับชายร่างกำยำวิญญาณหยิน ทั้งยังให้มังกรแดงฉานบินวนรอบๆ อย่างตื่นตัวแล้ว เขาก็กระโดดขึ้นทะยานเข้าไปในหมอกบนท้องฟ้า แล้วมาปรากฏอยู่บนศพจู๋จิ่วอินยักษ์
ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น มองเงามืดของศพจู๋จิ่วอินใต้เท้า หมอกโดยรอบไกลออกไปไร้ที่สิ้นสุด ไม่รู้ว่ายืดยาวสุดที่ใด
กระทั่งมองแวบแรกจะมีความรู้สึกว่าศพของจู๋จิ่วอินยืดยาวไปในหมอก ราวกับว่าเป็นเส้นทางที่ไม่รู้ว่าจะไปที่ใด มีแต่ต้องยืนตรงนี้เท่านั้น เขาถึงจะได้กลิ่นเหม็นเน่าอ่อนๆ ลอยมาจากตัวมัน
ซูหมิงใจสั่นไหวเล็กน้อย นี่คือสัตว์ตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาในชีวิต เพียงแค่ร่างกายมันก็สร้างความตื่นตะลึงได้แล้ว
เขาจินตนาการไม่ออกเลยว่า นอกจากจะถึงอายุขัยและตายลงแล้ว ในโลกนี้จะมีอะไรที่ทำให้มันตายได้อีก
‘บางทีมันอาจตายด้วยอายุขัยจริงๆ มันเลยเลือกตายอยู่ตรงนี้…’ ซูหมิงมองส่วนลึกไร้ที่สิ้นสุด เขารู้สึกถึงพลังและสิ่งที่เขายังไม่รู้อีกมากมายในโลกใบนี้อีกครั้ง
เทียบกับสิ่งเหล่านี้แล้ว เขาพลันเกิดความรู้สึกว่าตนเล็กจ้อยขึ้นมา
ซูหมิงถอนหายใจ ขณะกำลังจะลงไปอยู่ข้างหลันหลันกับอาหู่นั้นก็พลันหยุดชะงัก เพราะมีเสียงแก่ชราดังกังวานขึ้นอีกครั้ง
“สายเลือดจิ่วอินเป็นอมตะ…โลกถล่มทลายทว่าเผ่าข้าไม่ ท้องนภาพินาศทว่าเผ่าข้าไม่…ในชีวิตอันยาวนานของข้า ข้ากลืนกินฟ้าดินเก้าสิบเจ็ดโลก ข้ากลืนกินสิ่งมีชีวิตมากกว่าสิบล้านตัว……ข้าเพียงลืมตา ไม่ว่าท้องฟ้าใดๆ ต้องสว่างเพราะข้า…
เมื่อข้าหลับตา จะทำให้ท้องฟ้าของข้ามืดมิด…..ในชีวิตข้า ข้ากินชนรุ่นหลังเผ่าเดียวกันสามตน….ทำให้ชีวิตข้ายืนยาว…..พวกมัน….ไม่เต็มใจยอม…..
เผ่าจู๋อินของข้าเติบโตแบบนี้…ลูกข้า เจ้าก็เช่นกัน…..” เสียงนั้นดังกังวานและอื้ออึงข้างหูซูหมิง หนอนงูในระฆังเขาหานร้องเสียงแหลม เสียงนั้นแฝงไว้ด้วยความเศร้าโศกจนซูหมิงปวดใจ
เสียงเศร้าโศกราวกับเด็กหลงทางหาบ้านไม่เจอ พอเจอกับญาติพี่น้องแล้ว กลับถูกญาติพี่น้องตัดความสัมพันธ์
หนอนงูนอนพาดอยู่ในระฆังเขาหาน ตัวสั่นเทาและร้องไม่หยุด…..
นัยน์ตาซูหมิงฉายแววเย็นชา ก่อนกระโดดลงจากศพจู๋จิ่วอินมาอยู่บนพื้นตรงหมอก