ตอนที่ 469 พระจันทร์ดวงที่สิบ
ซูหมิงไม่เชื่อทุกคำพูดของจู๋จิ่วอิน เพียงแต่ว่า…ต่อให้เขาเชื่อ ก็ไม่อาจมองหนอนงูน้อยถูกกินเพื่อรับความแข็งแกร่งหรือเพื่อโชคลาภครั้งใหญ่
‘ลูกผู้ชายเกิดมาต้องไม่ทำสิ่งที่น่าละอายแก่ใจตนเอง…ข้าซูหมิงกระหายในความแข็งแกร่ง กระหายในพลัง กระหายในสองมือสำหรับฉีกแยกโชคชะตา ทว่า…หากข้าทิ้งหนอนงูน้อยเพื่อสิ่งเหล่านี้ เช่นนั้นวันพรุ่งนี้ข้าก็จะทิ้งสิ่งอื่นๆ เพื่อความแข็งแกร่งยิ่งกว่า และทิ้งไปเรื่อยๆ บางทีอาจต้องทิ้งภูเขาทมิฬ ละทิ้งอุดมคติ ละทิ้งความทรงจำ….
จนกระทั่งทิ้งทุกอย่าง ถึงตอนนั้น…..ข้าจะยังเป็นข้าอยู่หรือไม่…..ข้ากระหายพลัง กระหายความแกร่ง แต่ข้าต้องไม่ละทิ้งสิ่งใด!
หากใช้เจตนาเดิมของข้า แม้เงาแผ่นหลังต้องชั่วร้าย แม้สองมือตรงหน้าต้องมีกลิ่นคาวเลือด อย่างน้อยข้าก็ไม่ต้องถามตัวเองว่าละอายใจหรือไม่!’ เสียงของตัวเขาเองพึมพำในใจ
เขาตามหาภูเขาทมิฬมาตลอด หากแม้แต่ภูเขาทมิฬยังละทิ้ง เช่นนั้นเขาก็สูญเสียจิตวิญญาณของตัวเองไปแล้ว
ความทรงจำเขาฟื้นคืนมาส่วนหนึ่ง เสียงเรียกเบาๆ ของสตรีปรากฏเป็นบางครั้ง หากเขามาถึงช่วงที่ต้องทิ้งเสียงนี้เพื่ออะไรบางอย่าง เขาจะทำอย่างไร…
บางเรื่อง หากมีครั้งที่หนึ่งแล้วก็ต้องมีครั้งที่สอง ครั้งที่สาม…..
ซูหมิงปล่อยหมัดไปยังศีรษะสตรีผู้นั้นโดยไม่ลังเล ช่วงที่เข้าใกล้ ศีรษะงดงามพลันปล่อยระลอกคลื่นมายารอบตัว จากนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังมาจากในก้อนเนื้อยักษ์เบาๆ ก้องกังวานโดยรอบ
ขณะเดียวกัน เมื่อหมัดซูหมิงสัมผัสกับศีรษะ ระลอกคลื่นที่แผ่ออกมาโดยรอบทำให้มันพลันโปร่งใสและหายไปจากสายตาซูหมิง ศีรษะนี้มิใช่ร่างจริง เป้าหมายคือเพื่อดึงดูดความสนใจของเขา ฉะนั้น…จึงถ่วงเวลากินหนอนงูได้มากขึ้น
เพียงแต่เศษเสี้ยวจิตของจู๋จิ่วอินคิดไม่ถึงว่าซูหมิงจะเด็ดขาดถึงเพียงนี้ ลงมืออย่างไม่ลังเลมากนัก จึงทำให้การถ่วงเวลายังดีไม่พอ
ซูหมิงมีสีหน้าเช่นปกติ ไม่ได้ตื่นตกใจเพราะศีรษะหายไปแต่อย่างใด ความจริงเขามองออกแล้วว่าศีรษะนี้มันแปลกๆ
ถึงอย่างไรศีรษะนี้ก็ควรจะซ่อนอยู่ในก้อนเนื้อ ไม่จำเป็นต้องเผยให้เห็นชัดเจนเองตั้งแต่ซูหมิงเพิ่งเข้ามา เห็นได้ชัดเลยว่าเป้าหมายคือเพื่อดึงดูดความสนใจทั้งหมด!
ฉะนั้นวินาทีที่ซูหมิงปล่อยหมัด เขาจึงแผ่ขยายจิตสัมผัส สายฟ้ารุนแรงจากกระดูกหมานอัสนีบนกระดูกสันหลังไหลเวียนรอบตัวเขา ก่อนกระจายสู่ภายนอก
การกระจายของสายฟ้าครั้งนี้ ประหนึ่งว่าซูหมิงระเบิดสายฟ้าอันไร้ขีดจำกัดมาจากในร่างกาย สายฟ้าเหล่านี้หลั่งไหลเข้าสู่ก้อนเนื้อยักษ์ตามจิตสัมผัสของเขา และไหลเวียนอยู่ข้างในปานลูกคลื่นยักษ์ เพื่อตามหาเศษเสี้ยวจิตของจู๋จิ่วอิน
กระดูกหมานวายุก็ปลดปล่อยสายลมรุนแรงเช่นกัน ทำให้มวลอากาศรอบซูหมิงกลายเป็นพายุหมุนและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นัยน์ตาเขาวาววับ ทันทีที่มังกรงูกับจิ่วอิงที่อยู่ไกลออกไปต่อสู้กันจนถึงขีดสุด พายุหมุนรอบตัวซูหมิงก็ตรงเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง
ราวกับว่ามีมือใหญ่หลายมือฉีกก้อนเนื้อยักษ์ออก เสียงสายฟ้าดังสนั่น พายุคลั่งส่งเสียงครืนๆ ก้อนเนื้อยักษ์พลันถูกสายลมพัดลอยออกสู่ข้างนอกดุจควัน และยังถูกสายฟ้าฉีกจนเป็นชิ้นๆ
ชั่วขณะเดียวกัน ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดตอนก้อนเนื้อยักษ์แหลกเป็นชิ้นๆ มันถึงกลายเป็นสีดำอย่างรวดเร็ว ราวกับถูกย้อมด้วยน้ำหมึก
ซูหมิงไม่มีเวลามาสนใจเรื่องนี้ เพราะขณะที่จิตสัมผัสและสายฟ้ารวมถึงพายุหมุนแผ่กระจาย เขาพลันสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังของหนอนงูน้อยตรงจุดหนึ่งในก้อนเนื้อยักษ์!
ซูหมิงห้อเหยียดตรงไปยังจุดที่มีกลิ่นอายพลังของหนอนงูอย่างไม่ลังเล พริบตาเดียวก็มาถึง ทว่าตอนที่เข้ามาใกล้กลับมีเสียงกรีดร้องแหลมทะลวงเข้าไปในจิตใจเขา
เสียงกรีดร้องนี้มาจากศีรษะสตรีงามที่ลอยอยู่ข้างหนอนงูน้อย ตรงจุดที่เขาสัมผัสถึงกลิ่นอายพลังของหนอนงู
ศีรษะยังคงหลับตา ทว่าอ้าปากโจมตีด้วยเสียงกรีดร้องแสบหู ทำให้จิตใจซูหมิงสั่นไหว อีกทั้งยังเกิดภาพมายาเบื้องหน้า
ในภาพมายานั้น เขามีตัวเล็กจ้อยยิ่งนัก ตรงหน้าเป็นจู๋จิ่วอินยักษ์ที่ไม่อาจบรรยายขนาด มองดูเหมือนเมืองยักษ์ก็ไม่ปาน มันอ้าปากกว้าง กำลังคำรามใส่เขาพร้อมกับพลังชั่วร้ายมหาศาลและความกระหายเลือด ภาพนี้ราวกับฟ้าถล่มทำลายล้างสิ่งมีชีวิตทุกสรรพสิ่ง
ขณะซูหมิงจิตใจสั่นไหว เขาพลันกัดปลายลิ้นจนรู้สึกเจ็บ ร่างยักษ์ของจู๋จิ่วอินตรงหน้าจึงแตกสลายไปเล็กน้อย ตรงจุดที่ภาพมายาสลายไปมีศีรษะสตรีซ่อนอยู่ข้างใน นางกำลังหลับตา ในปากที่อ้ากว้างมีเขี้ยวพิษคมกริบ ทั้งยังแลบลิ้นขู่ฟ่อๆ ก่อนตรงมายังซูหมิง
ถึงอย่างไรจู๋จิ่วอินนี้ก็เป็นเศษเสี้ยวจิต อีกทั้งอยู่มานานหลายปีจึงสลายไปไม่น้อย ตอนนี้จิตส่วนใหญ่ก็อยู่ในร่างมังกรงูที่กำลังสู้กับจิ่วอิง ฉะนั้นตอนซูหมิงได้สติกลับมาจึงเห็นศีรษะซ่อนอยู่ในภาพมายาที่สลายไปนั้น
ซูหมิงหรี่ตาแล้วยกมือขวาขึ้น ระหว่างนั้นสายฟ้าจำนวนมากปลดปล่อยมาจากกระดูกหมานอัสนีตรงกระดูกสันหลัง ประหนึ่งว่าซูหมิงสร้างผืนสายฟ้าขึ้น ในเวลาเดียวกัน สายฟ้าที่กระจายอยู่รอบๆ ก็รวมเข้ามาด้วยความเร็วชั่วพริบตา ก่อนปกคลุมมือขวาของซูหมิง
“หมานอัสนี เคลื่อนไหวครั้งแรก!” ซูหมิงคำรามเสียงต่ำ นี่คืออภินิหารสืบทอดจากหมานอัสนีที่เขาสัมผัสถึงตอนฝืนหลอมรวมกับผลึกหมานอัสนี!
หลังจากคำรามเสียงดังก้อง สายฟ้าที่ปกคลุมมือขวาอยู่พลันเพิ่มขึ้น กลายเป็นดาบยาวสายฟ้าครึ่งเล่ม ดาบนี้สร้างขึ้นจากสายฟ้า มีความยาวหลายจั้ง มวลอากาศตรงขอบบิดเบี้ยว ท่ามกลางเสียงสายฟ้าดังกังวาน เขาฟันดาบไปยังศีรษะสตรีที่กำลังตรงเข้ามา
ทันใดนั้น ซูหมิงหน้าเปลี่ยนสี ศีรษะสตรีงดงามก็เป็นเช่นเดียวกัน!
เพราะจุดที่ซูหมิงรู้สึกถึงกลิ่นอายพลังของหนอนงูน้อย และเป็นจุดที่สำคัญที่สุดสำหรับจู๋จิ่วอิน ยามนี้มีควันดำปรากฏขึ้น กลายเป็นฝ่ามือยักษ์คว้าหนอนงูน้อยที่กำลังหลับใหลเอาไว้
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ดาบสายฟ้าของซูหมิงกับศีรษะสตรีเข้าปะทะกันแล้ว
วินาทีที่เสียงระเบิดดังก้อง มีเสียงหัวเราะลากยาวดังขึ้น ก่อนปรากฏเป็นชายชราสวมเสื้อคลุมดำ ยามนี้ในมือชายชราบีบหนอนงูน้อยเอาไว้แน่น นัยน์ตาเป็นประกาย
“หากพวกเจ้าสองคนกล้าขยับตัว ข้าจะบีบงูน้อยตัวนี้ให้ตาย!” ขณะชายชรากล่าวก็ออกแรงบีบ ทำให้ตัวหนอนงูน้อยบิดงอและสั่นเทา
ทันทีที่ชายชราเสื้อคลุมดำบีบลงไป ก้อนเนื้อที่เปลี่ยนสีพลันหยุดชะงัก และมีเสียงกรีดร้องดังมาจากปากสตรีผู้งดงาม
นัยน์ตาซูหมิงฉายแววจิตสังหารยามจ้องชายชรา บุคคลนี้ปรากฏตัวกะทันหันยิ่งนัก อาศัยจังหวะที่เขาต่อสู้กับจู๋จิ่วอินเผยตัวในทันใด อีกทั้งไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ซูหมิงถึงมีความรู้สึกรังเกียจยิ่งจนอยากสังหารคนผู้นี้
“ข้าเป็นเพียงจิต ต่อให้ตายที่นี่ก็ส่งผลกับร่างจริงไม่มากนัก ซู่มิ่ง เจ้ารวดเร็วมากก็จริง แต่ขอแนะนำว่าอย่าผลีผลามจะดีกว่า จู๋จิ่วอิน เศษเสี้ยวจิตเจ้าเหลือไม่มากแล้ว ทว่าข้าก็มั่นใจว่าจะสังหารงูตัวนี้ก่อนที่เจ้าจะลงมือเสียอีก พวกเจ้าสองคนเชื่อหรือไม่!”
พอได้ยินคำว่าซู่มิ่ง ซูหมิงหรี่ตาลง
“เจ้าต้องการอะไร!” ศีรษะสตรีงามกรีดร้องเสร็จก็กล่าวอย่างเย็นชา
“จู๋จิ่วอิน ข้าไม่อยากเป็นศัตรูกับเจ้า ข้าอยากให้เจ้าใช้โลกอมตะกับเขา ผนึกเขาเอาไว้ข้างใน! จากนั้นข้าจะปล่อยงูน้อยผู้สำคัญอย่างยิ่งคืนให้เจ้า!” ชายชราเสื้อคลุมดำยิ้มเย็นชา มือขวาออกแรงบีบมากขึ้นอีกเล็กน้อย ทำให้หนอนงูน้อยตัวบิดด้วยความเจ็บปวดยิ่งขึ้น ทั้งยังมีไอสีขาวกระจายออกมาจากตัวมันจำนวนมาก
นัยน์ตาสตรีงามเป็นประกายวูบไหว หากเปิดโลกอมตะด้วยเศษเสี้ยวจิตนี้ มันก็จะหลับใหล ต้องใช้เวลาอีกหลายปีกว่าจิตจะตื่นขึ้นอีกครั้ง
หากไม่จำเป็นจริงๆ มันจะไม่ใช้วิชานี้เด็ดขาด อีกทั้งขณะหลับใหล มันยังไม่อาจกินหนอนงูน้อย ต้องรอให้ตื่นก่อนถึงจะกินต่อได้
“เจ้ายึดมั่นถือมั่นเช่นนี้ ทั้งยังมาก้าวก่ายเรื่องนี้…เช่นนั้น ข้าจะใช้โลกอมตะตัดสินความเป็นตายของพวกเจ้า และสาปด้วยจิตที่เหลืออยู่ทั้งหมดนี้…”
ศีรษะสตรีงามมองซูหมิง ลืมตาขึ้นเป็นครั้งแรก เผยให้เห็นดวงตาสีเทา และยังมีลูกตาดำที่ก่อเป็นอักขระบางอย่างอีกเก้าดวง!
ดวงตาที่มีเก้าลูกตาดำ!
“ข้าขอสาปให้วิญญาณและร่างกายพวกเจ้าแยกจากกัน…..”
“ข้าขอสาปให้วิญญาณพวกเจ้าเข้าสู่โลกของข้า…..”
“ข้าขอสาปให้พวกเจ้าเป็นอมตะอย่างทุกข์ทรมาน กลับมาไม่ได้อีกไปชั่วนิรันดร์….”
“ข้าขอสาปให้พวกเจ้าเสียร่างเดิมไปตราบนานเท่านาน และกลายเป็นหุ่นเชิดนักรบเกิดใหม่ของข้า…..”
“หากเจ้าทุกข์ทรมาน ข้าก็จะกลืนกินจนฟื้นคืนชีพสำเร็จ หากเจ้าตื่น ข้าจะยอมถูกเผ่าเดียวกันกิน และขอให้มันเกิดใหม่!”
“อมตะ วิญญาณร้ายสิบล้านดวง…จงเปิด!”
ช่วงที่เสียงแหลมดังขึ้น ทั้งตัวจู๋จิ่วอินพลันสั่นสะท้าน หมอกในระยะหลายหมื่นลี้เข้มข้นขึ้นหลายเท่า ขณะเดียวกัน ร่างใหญ่ยักษ์ของมันก็เริ่มกลายเป็นหินด้วยความเร็วระดับสายตา…
พริบตาเดียว ร่างใหญ่ของมันก็กลายเป็นรูปปั้นหินยักษ์อย่างสมบูรณ์ต่อหน้ามังกรแดงฉานและสายตาตะลึงค้างของชายชราวิญญาณหยิน!
จากนั้นบนท้องฟ้าปรากฏเงาจันทร์เสี้ยวขึ้น เงานี้ค่อยๆ เปล่งแสงพิลึก ลอยสูงอยู่ในค่ำคืน เทียบกับดวงจันทร์เก้าดวงโดยรอบแล้ว มันกลายเป็นจันทร์เสี้ยวดวงที่สิบบนท้องฟ้า!
ยามนี้ในเมืองเชมัน เผ่าวิญญาณหยินและสิ่งมีชีวิตในขอบเขตหนึ่งล้านลี้รวมทั้งนอกล้านลี้ล้วนเห็นจันทร์เสี้ยวดวงนี้!
“จู๋อินเป็นหิน…..จันทร์ดวงที่สิบ…..นี่คือสัญญาณการเปิดโลกอมตะของสัตว์ศักดิ์สิทธิ์เก้าหยิน! หากจันทร์นี้ไม่หายไป โลกนี้ก็จะอยู่ไปชั่วนิรันดร์!”
ชายชราวิญญาณหยินพึมพำ