Skip to content

สู่วิถีอสุรา 470

ตอนที่ 470 โลกอมตะ

แทบจะทันทีที่ปรากฏพระจันทร์ดวงที่สิบบนท้องฟ้า ด้านนอกศพจู๋จิ่วอินซึ่งกลายเป็นหินอย่างรวดเร็ว ชายชราเสื้อคลุมดำที่นั่งขัดสมาธิซ่อนตัวอยู่ในหมอก ยามนี้ตัวสั่นอย่างรุนแรงแล้วพลันลืมตาขึ้น ทั้งยังกระอักโลหิตกองใหญ่

ตอนที่กระอักออกมายังเป็นโลหิตสด ทว่าไม่นานก็กลับกลายเป็นสีดำ เมื่อตกถึงพื้นตรงหน้าจะเกิดเป็นเสียงดังซ่าๆ ชายชราหน้าซีดขาวไร้เลือดฝาด อีกทั้งตรงหน้าผากยังมีจุดขนาดเท่าเล็บมือกลายเป็นสีดำ

อีกทั้งสีดำนี้ยังค่อยๆ ลุกลามออกไป และมีกลิ่นเหม็นเน่าโชยมาจากพื้นที่สีดำนี้

“เป็นคำสาปที่ร้ายกาจมาก…” ชายชราพึมพำเสียงแหบพร่ากับตัวเอง น้ำเสียงหมดเรี่ยวแรง ตอนที่กล่าว ตราประทับสีดำตรงหน้าผากขยายจนปกคลุมทั้งหน้าผากแล้ว

กลิ่นเหม็นเน่ารุนแรงยิ่งขึ้น ชายชราหน้าเปลี่ยนสี ยกมือขวาขึ้นทำสัญลักษณ์มือ แล้วกดตรงระหว่างคิ้วทันใด ทว่าเมื่อสัมผัสเขากลับตัวสั่นอีกครั้ง ก่อนจะกระอักเลือดมาอีกสามครา

“ดับสูญกลายเป็นเซียน วิถีเซียนคงอยู่ยืนยาว การแปรเปลี่ยนแห่งเวลา!”

ชายชราเอ่ยอย่างยากลำบาก สองมือทำสัญลักษณ์ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว แล้วกดตามตัวอย่างต่อเนื่อง จุดสีดำบนใบหน้าขยายใหญ่ขึ้นปกคลุมทั้งใบหน้า และกำลังลุกลามไปยังคอ

เมื่อกล่าวและทำสัญลักษณ์มือ ตัวชายชราแห้งเหี่ยวอย่างเร็วรี่ แทบจะพริบตาเดียวก็กลายเป็นศพแห้ง

ศพแห้งนี้ดูแข็ง อยู่ในท่านั่งขัดสมาธิ เพราะเสียพลังชีวิตไป จึงทำให้จุดดำบนใบหน้าไม่ลุกลามต่อ ครู่ต่อมาก็มีเสียงดังกึกๆ มาจากในตัวศพแห้ง ก่อนมีรอยเปิดตรงระหว่างคิ้วชายชราและขยายใหญ่ขึ้น จากนั้นมีสองฝ่ามือยื่นออกมา ได้ยินเพียงเสียงฉีกดังแควก

รอยแยกบนศพแห้งเหี่ยวของชายชราขยายใหญ่ขึ้นอีกมาก จนโผล่ออกมาเป็นสองแขนสมบูรณ์ และยังมีชายวัยกลางคนอายุราวสี่สิบห้าสิบปีตามออกมา!

ชายคนนี้เปลือยทั้งตัว ให้ความรู้สึกคล้ายจะออกมาจากในศพแห้ง เขาฉีกอย่างต่อเนื่องจนออกมาจากศพชายชราได้สำเร็จ

ชายวัยกลางคนผู้นี้คล้ายกับชายชราสวมเสื้อคลุมยิ่งนัก ราวกับเขาเมื่อหลายปีก่อน เพียงแต่ว่ากลิ่นอายพลังจะอ่อนแอกว่าไม่น้อย ยามนี้พอเดินออกมาแล้วก็หอบหายใจแรง ทว่ากลับยิ้มบางๆ ที่มุมปาก

“ซู่มิ่งถูกผนึกในโลกอมตะอย่างสมบูรณ์แล้ว ภารกิจข้าถือว่าสำเร็จ เพียงต้องรอให้ร่างแยกนายท่านมาถึงก่อน เมื่อนั้นข้าก็จะได้สร้างคุณูปการครั้งใหญ่…แม้คำสาปนี้จะร้ายกาจ แต่ก็ทำอะไรข้าไม่ได้หรอก เรื่องนี้ข้าเตรียม…หืม?”

ชายวัยกลางคนยิ้มลำพองใจ ขณะพึมพำกับตัวเอง สีหน้าพลันเปลี่ยน เพราะเขารู้สึกอย่างชัดเจนว่าตรงระหว่างคิ้วมีจุดสีดำปรากฏขึ้น!

ชายวัยกลางคนมีสีหน้าหวาดกลัว เขายกมือขวากดจุดสีดำตรงระหว่างคิ้ว รู้สึกถึงน้ำเหนียวๆ ตอนที่ยกมือออกยังมีเส้นเหนียวหนืดยืดติดออกมา ทั้งยังมีกลิ่นเหม็นเน่าบนใบหน้า

“อภินิหารที่นายท่านมอบให้ข้า แม้แต่ทัณฑ์สวรรค์ยังหลีกเลี่ยงได้ ไม่อยากเชื่อว่าคำสาปของจู๋จิ่วอิน….”

ชายวัยกลางคนมีสีหน้าหวาดกลัวขึ้นเรื่อยๆ เขารีบนั่งฌานและใช้อภินิหารเดิมอีกครั้ง ร่างเหี่ยวแห้งกลายเป็นศพอย่างรวดเร็ว ไม่นานรอยแยกก็ปรากฏตรงระหว่างคิ้วแล้วขยายกว้างในพริบตา เสียงคำรามต่ำลอยมาจากรอยฉีก จากนั้นก็มีชายวัยหนุ่มแน่นอายุราวสามสิบปีคลานออกมา

ระลอกคลื่นพลังจากชายวัยหนุ่มอ่อนลงไปอีกมาก ใบหน้าคล้ายกับชายชรา เพียงแต่ว่าอายุอ่อนลงไปมาก ทว่า…ตอนที่ปรากฏตัวก็ยังมีจุดสีดำปรากฏขึ้นอีกครั้ง!

เหตุการณ์ยามนี้พิลึกยิ่งนัก หากคนอื่นเห็นจะต้องตะลึงเป็นแน่ ด้านข้างชายวัยหนุ่มแน่นคือศพแห้งมีรอยฉีกกว้างตรงกลางร่าง หนึ่งเป็นชายชราอยู่ในท่านั่งฌาน ทว่าหากมองดีๆ จะเห็นว่าภายในว่างเปล่า เป็นแค่เปลือกคนอย่างสมบูรณ์

ส่วนชายวัยกลางคนที่นั่งฌานอยู่ก็เป็นศพแห้งเช่นกัน ภายในกลวงโบ๋ เป็นเพียงเปลือกนอกเท่านั้น

ชายวัยหนุ่มแน่นข้างๆ หน้าซีดขาว นัยน์ตาฉายแววเหลือเชื่อและตื่นกลัวสุดขีด

“บัดซบ เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้! ก่อนหน้านี้ข้าตัดกับจิตนั้นอย่างสมบูรณ์แล้วแท้ๆ ไม่น่าจะส่งผลถึงขนาดนี้ได้ ทว่า….” ชายวัยหนุ่มตัวสั่นเทา จุดดำตรงหว่างคิ้วขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย ยามนี้มีขนาดราวฝ่ามือเด็กทารก

“ข้าจะต้องหาวิธีล้างคำสาปโดยเร็ว! คำสาป ระยำนัก ข้ายังเข้าใจอภินิหารโบราณนี้ไม่มาก แล้วจะล้างคำสาปอย่างไร!”

ชายวัยหนุ่มหน้าซีดขาว เขากระโดดขึ้นห้อเหยียดไกลออกไป ขณะเดินทางก็กระอักโลหิตมาอีกหลายครั้ง ใบหน้ามีจุดดำใหญ่มากขึ้น

ข้ามเรื่องเขาไปก่อน ตอนนี้ในร่างหินของจู๋จิ่วอิน เลือดเนื้อเน่าเปื่อยทุกอย่างรวมถึงเศษโครงกระดูกล้วนแข็งค้างกลายเป็นหินสีเทา

ไม่ว่าจะเป็นดวงตาของจู๋จิ่วอินหรือสัตว์ประหลาดเหล่านั้นก็ล้วนเป็นเช่นนี้ โดยเฉพาะส่วนหัวมัน มีรูปปั้นหินยักษ์สองรูปท่ามกลางความเงียบสงัด

หนึ่งคือมังกรงู อีกหนึ่งคือจิ่วอิงของซูหมิง

พวกมันยังอยู่ในท่าก่อนกลายเป็นหิน มีสีหน้าดุร้ายและกำลังต่อสู้กัน ตอนนี้ต่อให้เป็นหิน แต่เมื่อมองไปก็ยังรู้สึกถึงความดุร้ายได้

ส่วนก้อนเนื้อยักษ์ที่กระจายสู่ข้างนอกตรงนั้น ตอนนี้กลายเป็นรูปปั้นหิน ซูหมิงยืนแน่นิ่งอยู่ข้างๆ หลับตาทั้งที่ตัวกลายเป็นหินเช่นกัน

ทุกอย่างของเขากลายเป็นหิน รวมถึงเสื้อผ้าเส้นผมเป็นต้น ดูเหมือนหินไม่ผิดเพี้ยน กระทั่งสีหน้ายังมีความแน่วแน่ชัดเจน สมจริงราวกับมีชีวิต

และยังมีหนอนงูน้อยกับร่างแปลงจากจิตของชายชราเสื้อคลุมดำ ตอนนี้กลายเป็นรูปปั้นหินทั้งสิ้น รูปปั้นในตัวจู๋จิ่วอินเหล่านี้ทำให้ที่นี่เต็มไปด้วยความพิลึกและเงียบสงัด….

มีเพียงสิ่งเดียวที่ไม่กลายเป็นหินคือศีรษะสตรีงามที่ลอยอยู่กลางอากาศ กลิ่นอายพลังของมันหายไปทั้งหมด ลืมตาทั้งสองข้าง ทว่าภายในไม่มีประกายชีวิต เพียงแต่หากมองดีๆ จะเห็นได้รางๆ ว่าในดวงตาขวามันมีน้ำวนเบาบางกำลังหมุนอยู่ช้าๆ

น้ำวนนั้นก็คือโลกอมตะของจู๋จิ่วอิน! น้ำวนนั้นคือความภูมิใจในชีวิตมัน! น้ำวนนั้นคือสาเหตุที่ตอนถูกชายชราเสื้อคลุมดำข่มขู่ แม้มันจะอ่อนแอถึงขีดสุด ทว่าก็ยังหยิ่งยโส!

สายเลือดจู๋จิ่วอินตายได้ แต่ต่อให้ตายก็ใช่ว่าคนธรรมดาจะสามารถมาข่มขู่กัน ต่อให้ตายก็ขอเลือกตายโดยยอมถูกเผ่าตัวเองกิน!

คนที่คิดจะควบคุมมันทุกคนต้องรับคำสาปร้าย นั่นคือคำสาปที่แม้มันตายแล้วก็ยังน่าสะพรึง!

มันกลืนกินเผ่าเดียวกันเองเพื่อความอยู่รอด เพราะคิดว่ามีเพียงตัวเองเท่านั้นถึงจะทำให้สายเลือดจู๋อินคงอยู่ไปนิรันดร์ ทว่าหากโชคชะตาลิขิตให้มันกินเผ่าเดียวกันไม่ได้ เช่นนั้นมันก็พร้อมยอมใช้ทุกอย่างเพื่ออวยพรให้เผ่าเดียวกัน…เกิดใหม่!

ทุกอย่างนี้….เพราะเผ่าเดียวกัน!

ทุกอย่างนี้….เพราะการสืบทอดแบบพิเศษของสายเลือดจู๋อิน!

ในน้ำวนบนดวงตาขวา หากขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า จะเห็นว่าข้างในมีเงาคนอยู่จำนวนมาก หนึ่งในนั้นมีอยู่คนหนึ่ง…นั่นคือซูหมิง!

ร่างเขาล่องลอย ดูเหมือนกับวิญญาณ ดวงตาสองข้างเป็นสีเทา ภายในไม่มีสติสัมปชัญญะ มีเพียงความสับสนไร้ที่สิ้นสุด

เขาไม่มีสติ เหมือนกับวิญญาณหลับใหลไม่มีวันตื่น เขาในตอนนี้ กระทั่งสัญชาตญาณยังไม่มี เพียงล่องลอยอยู่ในโลกกว้างใหญ่ไปเรื่อยๆ

รอบตัวเขามีผู้คนจำนวนมากล่องลอยไปด้านหน้าเหมือนกับเขา ดูแล้วมีราวๆ หลายพันคน แทบทั้งหมดดวงตาสีเทา ไม่มีสติรับรู้ ไม่มีสัญชาตญาณ มีเพียง…..การทำตามเสียงคำรามอันดุดันนั้น….

พวกเขาต้องปฏิบัติตามเงาวิญญาณที่ใหญ่กว่าวิญญาณอื่นๆ เล็กน้อยด้านหน้ากลุ่ม เงาวิญญาณนี้มีหมอกดำแผ่มาจากตัวไม่มาก หากมองไกลๆ จะดูชั่วร้าย แม้ดวงตาเป็นสีเทาเหมือนกัน ทว่าในนั้นกลับมีสติปัญญา

เมื่อเขาคำราม วิญญาณกลุ่มใหญ่ด้านหลังก็พากันเข้ามาใกล้ หลังจากวิญญาณหลายร้อยตนถูกวิญญาณตัวใหญ่จับสูบกินทีละตัวจนแห้งแล้ว บนแผ่นดินใหญ่ไกลออกไปมีเสียงคำรามดังแว่วเข้ามา จากนั้นปรากฏวิญญาณอีกหลายพันตนตรงบริเวณนั้น คนนำหน้าสุดเป็นวิญญาณร่างกำยำใบหน้าผีและมีหมอกดำโอบล้อมทั้งตัว

สงครามระหว่างวิญญาณพยาบาทเริ่มขึ้นเช่นนี้

ตอนที่ซูหมิงลืมตา เขายังไม่ได้สติกลับมา เพียงแต่ความเจ็บปวดทั้งตัวปานถูกฉีกร่างทำให้เขากัดฟันไม่ร้องตะโกนออกมา ความเจ็บปวดนี้ราวกับร่างกายเป็นใบไม้และถูกฉีกออกทีละนิด จนเมื่อขาดเป็นชิ้นๆ ก็ถูกกำแน่นจนแหลกละเอียด

ภายใต้ความเจ็บปวดนี้ หากเขาร้องตะโกน บางทีอาจไม่ตื่นขึ้น และเพราะต้องทนความเจ็บปวดนี้ ฉะนั้นดวงตาเขาจึงเหมือนถูกเค้นพลังออกมาทั้งหมดขณะที่ทั้งร่างเจ็บจนไม่อาจบรรยาย ราวกับว่ามีเสียงจำนวนมากอยู่ข้างหู เป็นเสียงคำรามในจิตวิญญาณ กำลังร้องเรียกไม่หยุด!

ทำให้ดวงตาที่เปิดค้างอยู่มีความรู้สึกเหมือนจะลืมขึ้นอีกครั้ง และแล้วเขาก็ลืมตาขึ้น!

ตอนที่ลืมตาอย่างแท้จริง เขาเห็นท้องฟ้าสีคราม เห็นแผ่นดินสีขาว เห็นโลกแตกเป็นเสี่ยงๆ ที่ไม่รู้ผ่านกาลเวลามานานเท่าไร…

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version