Skip to content

สู่วิถีอสุรา 473

ตอนที่ 473 ตกอยู่ในความทรมาน

ซูหมิงพึมพำเบาๆ พลางก้มหน้ามองมือขวาตัวเอง ยามนี้ตัวเขาสมจริงขึ้นอย่างครบถ้วน ไม่ต่างอะไรกับร่างตอนมีเลือดเนื้อมากนัก

เสื้อคลุมดำปรากฏอยู่รอบตัวเขา เส้นผมดำปลิวไสว กลายเป็นความต่างกับหมอกขาวโดยรอบ ทำให้ร่างเงาเขาปรากฏวูบวาบอยู่ในหมอกขาว

ยามนี้หมอกขาวหลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายซูหมิงอย่างเร็วรี่ และถูกสูบอย่างต่อเนื่อง

ซูหมิงไม่สนใจหมอกขาวพวกนั้น แววตาเขามีสติมากขึ้นเรื่อยๆ จนค่อยๆ มีประกาย เขามองมือขวาตัวเองราวกับกำลังขบคิด

ผ่านไปนาน หลังจากหมอกขาวเส้นสุดท้ายไหลเข้าสู่ร่างกาย เขาก็ยืนอยู่เพียงคนเดียวบนแผ่นดินกว้างใหญ่นี้ สายตายังคงมองมือขวาอยู่

เวลาค่อยๆ ผ่านไป หลายวันต่อมา ซูหมิงก็ค่อยๆ ยกมือขวาขึ้น กดไปยังผืนดินและคว้าอากาศ

‘นี่มันอภินิหารอะไรกัน เพียงแค่กดมือกับคว้า เหตุใดเมื่ออยู่ที่นี่ถึงทรงพลังเช่นนี้….การกดสามารถทำลายทุกสรรพสิ่ง ส่วนการคว้าสามารถดูดแก่นสำคัญทั้งตัวของสิ่งมีชีวิตที่ถูกทำลาย…’ ซูหมิงหลับตาลง ครู่ต่อมาก็ลืมตาขึ้นแล้วมองท้องฟ้า

หลังจากดูดหมอกขาว ความทรงจำค่อยๆ ฟื้นกลับมา นอกจากเขาจะนึกชื่อตัวเองออกแล้ว เขายังจำได้ว่าตนตายมาสองครั้งแล้วในโลกพิลึกนี้

ครั้งแรกถูกกัดกิน ครั้งที่สองชายชราเสื้อคลุมขาวกดและคว้ามือ ทำให้ร่างเขาระเบิดกระจุย….

ทว่าก็จำได้เพียงเท่านี้ ส่วนตนมาอยู่ในโลกประหลาดนี้ได้อย่างไร เขายังสับสนอยู่เล็กน้อย

‘หรือว่าในการกดกับการคว้าจะมีพลังบางอย่างที่ข้าไม่เข้าใจอยู่…’ ซูหมิงเงียบ นั่งขัดสมาธิบนผืนดินสีขาว มองมือขวาตัวเอง ขณะขบคิดก็กดและคว้าไปด้วย

เวลาผ่านไป แผ่นดินตรงนี้ก็ค่อยๆ มีสายหมอกขาวลอยขึ้นรอบด้าน วิญญาณที่ตายไปเหล่านั้นล้วนฟื้นคืนชีพกลับมาใหม่ ทว่าหมอกเหล่านี้เพิ่งปรากฏก็ถูกซูหมิงสูบเข้ามาแทบจะทันที ราวกับว่าเขากลายเป็นน้ำวนยักษ์ดูดกินทุกสรรพสิ่ง

หมอกขาวนั้นหมุนวนรอบตัวเขา พริบตาเดียวก็หายเข้าไปในมือขวา ถูกสูบเข้าในร่างทั้งหมด แววตาซูหมิงมีสติปัญญาชัดเจนมากขึ้น ความรู้สึกสบายอย่างยิ่งทำให้เขาหลับตาลง

ความรู้สึกนี้ เป็นความรู้สึกที่ตนกำลังแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นความรู้สึกที่จิตวิญญาณแกร่งขึ้น เป็นความสบายดุจการผลัดเปลี่ยน หลังจากลองแล้วครั้งหนึ่งก็อยากจะลองอีกเรื่อยๆ

ผ่านไปพักหนึ่ง ซูหมิงลืมตาขึ้น นัยน์ตาฉายประกายวาววับ

“กินวิญญาณตนอื่นๆ จะทำให้ความทรงจำกลับมาทีละนิด ข้าจะแข็งแกร่งขึ้นได้ และไม่ต้องทนรับความเจ็บปวดจากความตายของที่นี่อีก…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ เขายืนขึ้นมองท้องฟ้าสีเทา สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนห้อเหยียดเดินหน้าไป

นัยน์ตาเขาฉายแววเย็นชา เคลื่อนตัวไปบนผืนดินสีขาวราวกับควันดำ เขาไม่รู้การหมุนเวียนของเวลา รู้เพียงว่าในใจมีความกระหายอยู่อย่างหนึ่ง กระหายที่จะกินวิญญาณอมตะให้มากขึ้น

จนกระทั่งวันนี้ เขาเห็นกลุ่มวิญญาณอมตะหลายพันตนตรงหน้า ตอนที่เขาเห็นกลุ่มวิญญาณ พวกนั้นก็เห็นซูหมิงเช่นกัน

พวกเขาร้องคำรามเสียงแหลม ก่อนพุ่งตรงมายังซูหมิงภายใต้การนำของวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าไม่น้อยหลายสิบตน

ซูหมิงยืนอยู่ตรงนั้น นัยน์ตาวูบไหว ช่วงที่วิญญาณอมตะเหล่านั้นตรงเข้ามา เขายกมือขวาแล้วกดไปทางข้างหน้า ตรงนั้นพลันเกิดระลอกคลื่นก่อนแผ่กระจายออกราวกับคลื่นทะเล เสียงระเบิดดังสนั่นอย่างต่อเนื่อง วิญญาณตรงหน้าสุดเหล่านั้นล้วนตัวสั่น บางตนยังระเบิดกระจุยในทันใด

เขายกมือขวาคว้าอากาศ ซากวิญญาณเหล่านั้นกลายเป็นหมอกขาวตรงมา หมอกขาวทั้งหลายหลอมรวมเข้าด้วยกัน ซูหมิงเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้าด้วยความสุขสบาย ก่อนห้อเหยียดต่อไปและเข้าต่อสู้กับวิญญาณอมตะที่เหลืออยู่

ซูหมิงไม่รู้วิธีอื่น เขารู้เพียงการกดและคว้า ทว่าวิธีง่ายๆ แบบนี้ หลังจากลองมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน มันกลับทรงพลังจนเขาไม่เข้าใจ ทันทีที่ซูหมิงทะลวงเข้าไปในกลุ่มวิญญาณอมตะ ก็มีเสียงระเบิดดังไม่หยุดหย่อน

หนึ่งก้านธูปต่อมา ซูหมิงยืนก้มหน้าอยู่เพียงลำพัง รอบตัวเขาอบอวลไปด้วยหมอกขาวเข้มข้น นอกจากนี้แล้วก็ไม่มีเงาวิญญาณอมตะตนอื่นอีก

ผ่านไปนาน ซูหมิงเงยหน้าขึ้น ดวงตาเขาไม่ใช่สีเทาอีก แต่แวววาวและมีความรู้สึก เขาเลียริมฝีปากแล้วห้อเหยียดไปข้างหน้า ตัวลอยขึ้นบินออกไปไกล

ตรงสุดปลายฟ้าดินมีเสียงแตรสัญญาณดังกังวานกลายเป็นการนำทาง ทำให้วิญญาณที่ได้ยินมุ่งหน้าไปทางนั้น

เสียงสัญญาณนั้นมีผลกับซูหมิงเช่นกัน หลังจากกินวิญญาณมากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็รู้สึกว่าเสียงสัญญาณนั้นเด่นชัดและดังยิ่งขึ้น ทั้งยังเต็มไปด้วยความน่าหลงใหล ราวกับหน้าที่ของเขาคือทำให้ตัวเองแกร่งขึ้นไม่หยุดและไปตามเสียงสัญญาณนั้น

เขาบินไปเรื่อยๆ และเห็นวิญญาณอมตะบนผืนดินหลายกลุ่ม เพียงแต่เมื่อพบแล้วเขาจะกดมือมาทางแผ่นดินในทันใด

ด้วยประสบการณ์ของเขา หลังจากสูบกินและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ จากการกดมือทำลายวิญญาณกลุ่มเดียวก็ค่อยๆ ขยายใหญ่ขึ้น กลายเป็นทำลายครึ่งหนึ่ง

จนเมื่อเวลาผ่านไป ซูหมิงไม่ได้นับว่าผ่านไปนานเท่าไร เขารู้สึกเพียงว่ามันผ่านไปนานมาก และบินมาไกลมากจริงๆ ตอนนี้วิญญาณอมตะบนผืนดินถูกเขากดมือใส่เพียงครั้งเดียวก็จะถูกทำลายเป็นวงกว้างแล้ว

ตัวเขาในยามนี้เหมือนร่างกายปกติ เส้นผมปลิวไสว เสื้อคลุมดำสะบัดขณะบิน มือขวากดและคว้าหลายครั้ง กระทั่งพูดได้ว่านับไม่ถ้วน!

เขารู้สึกถึงความแข็งแกร่งของตนเองอย่างชัดเจน ความแข็งแกร่งเช่นนี้ ตอนเขาบินอยู่บนฟ้าไม่ต้องคำราม ก็ทำให้วิญญาณอมตะบนผืนดินต้องตัวสั่นทั้งหมดได้

เพียงแต่ว่า…เมื่อเวลาผ่านไป นัยน์ตาซูหมิงไม่มีชีวิตชีวาอีก แต่ค่อยๆ เหนื่อยล้าและเฉยชา

เขาในตอนนี้ค่อนข้างคล้ายกับชายชราคนนั้นที่เคยเจอ…

เสียงแตรสัญญาณยังอยู่ แต่กลับเหมือนจุดที่ไม่มีทางไปถึงชั่วนิรันดร์ จนกระทั่งวันนี้ ขณะบินอยู่ซูหมิงหยุดชะงักแล้วหันไปมองทางขวา ตรงนั้นเขาเห็นว่ามีสายรุ้งยาวสีแดงกำลังบินด้วยความเร็วสูงยิ่ง

วินาทีที่ซูหมิงเห็นสายรุ้งยาว สายรุ้งนั้นก็หยุดห่างจากซูหมิงหลายร้อยจั้งเช่นกัน แล้วกลายเป็นชายร่างกำยำผมแดง บุคคลนี้สวมเกราะครึ่งตัว เส้นผมแดงแกว่งไกว เปลือยท่อนบน และกำลังมองซูหมิง

แววตาเขาคล้ายกับซูหมิง มัวหมองและเฉยชา

ซูหมิงมองเขา เขาก็มองซูหมิง ทั้งสองคนมองกันครู่หนึ่ง ชายร่างกำยำคนนั้นก็ร้องคำรามแล้วสาวเท้ายาวเข้ามา ขณะเดียวกันเขายกมือขวาสะบัดอากาศ ในมือพลันปรากฏหอกยาว

เมื่อเรียกหอกมาแล้วก็ขว้างใส่ซูหมิง หอกยาวนั้นทะลวงอากาศตรงดิ่งมายังเขาด้วยความเร็วสูงยิ่ง

ความเร็วของมัน ในสายตาคนอื่นจะเหมือนสายฟ้าทะลวงผ่านหน้าอกซูหมิงไป ทว่าในสายตาซูหมิง ช่วงที่หอกยาวถูกเขวี้ยงมา ทุกอย่างของฟ้าดินพลันช้าลง ไม่เพียงแค่หอกยาว ร่างกายเขายังช้าลงด้วย

ทุกอย่างเชื่องช้า เขาเห็นหอกยาวค่อยๆ ลอยเข้ามาใกล้ ทว่าเขายกมือขวาทีละน้อย จนกระทั่งหอกยาวมาอยู่ตรงหน้า เพียงแต่ว่าตอนเพิ่งยกมือขวาขึ้นและยังไม่ทันกดมือนั้น หอกยาวก็ค่อยๆ ทะลวงเข้าไปในหน้าอกเขา ความเจ็บปวดตรงหน้าอกถูกขยายใหญ่ขึ้นหลายเท่า

ในสายตาเขา ปลายหอกยาวทะลวงร่างกาย ขณะความเจ็บปวดแผ่ซ่าน มันก็ค่อยๆ ทะลวงออกไปจนตกอยู่บนพื้นดินด้านหลัง

จนถึงตอนนี้ โลกในสายตาเขากลับมาเป็นปกติ แต่ในเวลาเดียวกัน ร่างเขาก็สลายไปเกือบครึ่ง ขณะกำลังสลายไป เขาพลันยกมือขวาขึ้นกดไปทางชายร่างกำยำ

ชายร่างกำยำตัวสั่นสะท้าน เกราะระเบิดกระจุยจนเผยกายเนื้อ พร้อมกันนั้นก็ตัวสั่นและปริแตกเป็นเส้นๆ

เมื่อซูหมิงคว้ามือ หมอกขาวเข้มข้นจนไม่อาจบรรยายจำนวนมากตรงเข้ามา…..

ชายร่างกำยำคำรามอย่างบ้าคลั่ง กำหมัดขวาและชกเข้ามา ความเร็วเขาช้ามาก ทว่าในสายตาซูหมิงกลับรวดเร็วอย่างยิ่ง

นี่คือการต่อสู้ที่ช่างยากลำบาก เสียงระเบิดดังกังวานฟ้าดิน จนหลายชั่วยามผ่านไป เสียงโครมครามจึงหยุดลง หมอกขาวมหาศาลอบอวลรอบๆ ความเข้มข้นแทบจะเทียบได้กับหมอกขาวทั้งหมดที่ซูหมิงรวบรวมมาตลอดทาง

หมอกขาวลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว และถูกสูบหายไปอย่างต่อเนื่อง ครึ่งชั่วยามต่อมา เมื่อหมอกจางลงก็ค่อยๆ เผยร่างเงาคนข้างใน

เส้นผมดำ เสื้อคลุมดำ ใบหน้าสับสน แววตาเฉยชา…..ซูหมิงเดินออกมาช้าๆ เขาก้มหน้ามองมือขวาตัวเอง นัยน์ตาเฉยชาเหมือนกับชายชราคนนั้นทุกประการ!

“วิญญาณอมตะ…ข้าไม่ใช่วิญญาณนักสู้อมตะ…..” ซูหมิงพึมพำ ความทรงจำเขายังไม่กลับมา ราวกับต่อให้สูบมากกว่านี้ก็จำได้เพียงชื่อของตัวเอง

มีเพียงอย่างเดียวที่เพิ่มขึ้นมานั่นคือความแข็งแกร่ง เป็นความแกร่งปานกุมฟ้าดิน!

เขาตกอยู่ในความทุกข์ทรมาน…..

ในโลกสีเทานี้คล้ายมีเสียงเบาๆ อยู่ เสียงนี้อยู่ไกลมาก ประดุจแฝงไว้ด้วยเวลา ทว่าหากฟังดีๆ จะได้ยินเพียงเสียงสัญญาณอูๆ ไม่ได้ยินเสียงนี้

“หากเจ้าทุกข์ทรมาน ข้าก็จะกลืนกินจนฟื้นคืนชีพสำเร็จ หากเจ้าตื่น ข้าจะยอมถูกเผ่าเดียวกันกิน และอวยพรให้มันเกิดใหม่!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version