ตอนที่ 475 ไม่กิน
ผ่านไปอีกกี่เดือนกี่ปีไม่รู้ ซูหมิงสวมเสื้อคลุมขาวเดินมาทีละก้าวอย่างสงบนิ่ง เขามุ่งหน้าไปยังจุดสัญญาณเสียง จนมาอยู่บนหลังมังกรงูและยืนอยู่บนเกล็ด ช่วงที่ก้มหน้าลง สีหน้าเขาจากเฉยชากลายเป็นเหลือเชื่อ…
ซูหมิงพาความเหนื่อยล้า พาสีหน้าเฉยชามายืนอยู่บนเกล็ดมังกรงูนับครั้งไม่ถ้วน ยามนั่งลง เขาเห็นตัวอักษรบนเกล็ด สีหน้าก็ตื่นตะลึงยิ่งขึ้น ก่อนยกมือขวาสั่นเทาวาดตัวอักษรแถวหนึ่งลงไปก่อนร่างจะจางหาย….
หนึ่งครั้ง หนึ่งครั้ง หนึ่งครั้ง…
วนเวียนอยู่อย่างนี้เรื่อยๆ การตื่นขึ้นทุกครั้ง ปลายทางคือความตาย ไม่ว่าจะเป็นตายในมือวิญญาณอมตะตนอื่น หรือตายบนรูปปั้นมังกรงู……
สิ่งที่เขาได้รับเพียงอย่างเดียวคือ ตัวอักษรบนเกล็ดมังกรงู มากขึ้นเรื่อยๆ แถวตัวอักษรนั้นหมายถึงความตายหนึ่งครั้ง จนกระทั่งเขียนเอาไว้บนเกล็ดทั้งหมด จนกระทั่งทุกเกล็ดมีอักษรมากกว่าห้าแถว…
ทุกครั้งที่ตื่นมาจากความตาย ความทรงจำจะเลือนราง ไม่เหลือไว้แม้แต่น้อย และวนเวียนเป็นวัฏจักรต่อไป
หากไม่มีแถบตัวอักษรเหล่านั้น บางทีซูหมิงอาจทุกข์ทรมานอย่างแท้จริง…ในโลกอมตะนี้มีชีวิตเป็นนิรันดร์และยากจะตื่นขึ้น ต้องเวียนว่ายอย่างนี้ไปเรื่อยๆ จากต่อสู้ดิ้นรน จากเสียงคำราม กลายเป็นจิตใจเฉยชา
นี่คือกรงขัง ทุกครั้งที่ลูกนกคิดว่าตนบินออกมาแล้ว ทว่าตอนที่ตายจะเข้าใจว่าตนนั้น…ยังอยู่ในกรง
มีเพียงช่วงที่จะหายไปบนตัวมังกรงูเท่านั้น ซูหมิงถึงจะนึกออกทุกอย่าง ราวกับความฝัน ตอนที่ตื่นขึ้นก็จะไม่แน่ใจ เพียงแต่ตอนนั้นความฝันก็หายไปแล้ว…
ซูหมิงใช้ตัวอักษรเหล่านี้ทำให้ตนไม่ลืมก่อนตายทุกครั้ง ให้จิตใจตนยังคงอยู่ ให้ตน….ยืนหยัดต่อไป แม้ว่าวิธีนี้จะไม่ชัดเจนและอาจไม่ได้คำตอบก็ตาม
ผ่านไปไม่รู้กี่ครั้ง จนมีอยู่ครั้งหนึ่ง ซูหมิงมาอยู่บนเกล็ดมังกรงู เกล็ดตรงนี้เขียนอักษรเอาไว้ห้าแถว
เขามองแถวตัวอักษรด้านบนที่อยู่มาไม่รู้กี่ปี และเขียนไว้ว่าอย่ากินวิญญาณอมตะ ในใจเขาสั่นไหว ชั่วขณะที่กำลังจะหายไปนั้น เขาเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้าอย่างไม่ยินยอม
เขาร้องคำราม ก่อนที่มือซ้ายจะหายไปนั้น เขาพลันกดไปยังเกล็ดด้านล่าง ในครั้งนี้ไม่ได้ทิ้งอักษรอะไรเอาไว้ แต่วาดเป็นตราอักขระบนเกล็ดงู
หลังจากฟื้นคืนความทรงจำทั้งหมด นี่คือภาพโครงสร้างอาคมอย่างหนึ่งในอภินิหารของหงหลัว การใช้งานอาคมนี้คือสามารถสร้างแรงสั่นสะเทือน ทำให้เสียงขยายใหญ่ขึ้นไร้ขีดจำกัด ก่อเป็นคลื่นเสียงสะท้อนกึกก้องฟ้าดิน
ตามที่ซูหมิงรู้มาจากมรดกของหงหลัว หากใช้อาคมนี้ในพื้นที่กว้างใหญ่ เสียงจะกึกก้องนานหนึ่งเดือน ในหนึ่งเดือนนี้ ต่อให้อยู่ไกลมากก็ยังได้ยินรางๆ
เพียงแต่ว่าอาคมนี้ค่อนข้างยิ่งใหญ่ ลายเส้นที่ซูหมิงวาดไปไม่ถึงหนึ่งในร้อยของทั้งหมดด้วยซ้ำ ห่างจากโครงสร้างอาคมสมบูรณ์อีกไกลโข
ต่อให้ครั้งนี้ซูหมิงวาดหนึ่งในร้อย แต่ก็ยังมีครั้งหน้าอีก เมื่อเวลาผ่านไป ซูหมิงมาที่นี่อีกหลายครั้ง ทุกครั้งที่ตื่นขึ้นก่อนตาย เขาจะนึกออกทุกอย่างและสร้างโครงสร้างอาคมนี้ขึ้นมา
ในนั้นมีจุดที่ผิดพลาดอยู่ เกล็ดที่นั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนี้ไม่เหมาะสำหรับสร้างอาคม ทว่าในโลกอมตะนี้ เมื่อได้ทำซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้ง
ในที่สุดก็มีอยู่ครั้งหนึ่ง วินาทีที่ซูหมิงตื่นขึ้นบนมังกรงู เขาวาดอาคมสุดท้ายลงไป!
หลังจากวาดอาคมเสร็จ ขณะร่างซูหมิงค่อยๆ เลือนหาย เขาเปิดวงแหวนอาคมและตะโกนเสียงที่ดังที่สุดในชีวิต
“อย่ากินวิญญาณอมตะ ห้ามกินแม้แต่ตนเดียว…”
ขณะเดียวกับที่ตะโกนและร่างซูหมิงก็ค่อยๆ หายไปนั้น เขาก็ลองอีกหลายครั้งบนมังกรงู จนสุดท้ายอาคมหมุนโคจร และขยายคำพูดของซูหมิงอย่างไร้ขีดจำกัด เสียงนั้นราวกับลูกคลื่น ดังกังวานอยู่ในฟ้าดินไร้พรมแดน…
ฟ้าดินกว้างใหญ่ บนผืนดินสีขาว หลังจากซูหมิงตายมาสิบวัน หมอกก็รวมขึ้นเป็นเงาซูหมิงอีกครั้ง
เงาเขาค่อยๆ สมจริงขึ้น ดวงตาสีเทา มองไปรอบๆ อย่างสับสน ความทรงจำว่างเปล่า
เขามองท้องฟ้าสีเทา ในสมองไม่มีความคิดใดๆ เลย เหมือนกับครั้งแรกที่มองท้องฟ้า เขาเหม่อมองอยู่ตรงนั้น รอบตัวค่อยๆ ปรากฏหมอกขึ้นและรวมเป็นเงาวิญญาณอมตะ ซูหมิงที่อยู่กลางวิญญาณเหล่านี้ดูธรรมดามาก ไม่มีอะไรต่าง
หลังจากวิญญาณอมตะเหล่านั้นรวมขึ้นมาใหม่ ก็พากันเงยหน้ามองท้องฟ้าสีเทา ราวกับกำลังรออะไรบางอย่าง
จนกระทั่งเสียงสัญญาณดังมาและเข้าสู่จิตใจซูหมิง เขาตัวสั่นแล้วค่อยๆ ก้มหน้าลง วิญญาณอมตะข้างกายเขาก็เช่นกัน ค่อยๆ ลอยไปตามเสียงสัญญาณ
การกระทำเช่นนี้ ซูหมิงไม่รู้ว่าเขาทำซ้ำมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน….
ทว่าครั้งนี้ หลังจากซูหมิงลอยอยู่ท่ามกลางวิญญาณอมตะได้ไม่ถึงหนึ่งวัน นอกจากเสียงสัญญาณอูๆ แล้ว ยังมีเสียงตะโกนด้วยความโกรธกังวานฟ้าดินอย่างรุนแรง
“อย่ากินวิญญาณอมตะ ห้ามกินแม้แต่ตนเดียว…”
เสียงนั้นดังกังวานเข้าถึงหูซูหมิง เข้าถึงหูวิญญาณอมตะตนอื่นๆ เขาพลันหยุดชะงักและค่อยๆ เงยหน้ามองท้องฟ้า ครู่ต่อมาก็เหมือนไม่ได้ยินอะไร ก่อนลอยต่อเหมือนกับวิญญาณอมตะตนอื่นๆ
เวลาผ่านไป วิญญาณอมตะในกลุ่มก็ร้องคำรามอีกครั้ง ก่อนพุ่งมายังวิญญาณอื่นๆ ข้างกายและกัดกินอีกครั้ง
ครั้งนี้รวมถึงซูหมิงด้วย นัยน์ตาสีเทาฉายแววบ้าคลั่ง เขาพลันหมุนตัวแล้วกระโจนเข้าใส่วิญญาณอมตะที่สับสน ช่วงที่เตรียมจะกินเพื่อให้ตนแกร่งขึ้นตามสัญชาตญาณนั้น มีเสียงคำรามด้วยความโกรธและไม่ยินยอมดังแว่วมาอีกครั้ง
“อย่ากินวิญญาณอมตะ ห้ามกินแม้แต่ตนเดียว…” เสียงนี้ดังขึ้นหลายครั้งในช่วงหลายวันมานี้ และค่อยๆ เบาลงมาก ยามนี้ดังกังวานในใจซูหมิง ทำให้เขาที่เตรียมจะกัดกินหยุดชะงัก
ในดวงตาสีเทามีการต่อสู้ดิ้นรน ในความคิดว่างเปล่า เดิมทีไม่มีอะไรอยู่ เพียงแต่ตอนนี้เสียงตะโกนดังก้อง มือที่คว้าวิญญาณอมตะตนนั้นเอาไว้ค่อยๆ คลายออก
เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดถึงรู้สึกคุ้นหูเสียงตะโกนนั้นยิ่งนัก…
เมื่อเขาปล่อยมือจากวิญญาณตนนั้น วิญญาณแข็งแกร่งตนอื่นๆ โดยรอบต่างก็กินกันเสร็จแล้ว ก่อนพากันเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า
เสียงคำรามเข้าหูซูหมิง ทำให้เขาดิ้นรนอีกครั้ง การดิ้นรนครั้งนี้ใช้เวลานานมาก จนกระทั่งสิ้นสุดสง เมื่อเขามองไปรอบๆ ก็ไม่มีวิญญาณอมตะอยู่แล้ว
วิญญาณอมตะที่เกิดพร้อมกับเขาไปไกลแล้ว มีเพียงซูหมิงที่ดิ้นรนอยู่เพียงลำพัง สำหรับวิญญาณอมตะตนอื่นๆ พวกเขาไม่สนใจซูหมิง เพียงเดินทางไปยังเสียงสัญญาณเท่านั้น
ซูหมิงยืนอยู่อย่างโดดเดี่ยวด้วยสีหน้าสับสน ผ่านไปนาน เขาก็ก้มหน้าลงและค่อยๆ บินไปข้างหน้า
‘สติ’ คำนี้แสดงถึงความบังเอิญ เป็นการแปรเปลี่ยนในความสงบนิ่ง คำๆ นี้มิใช่สิ่งที่คนจะควบคุมได้ เหมือนกับอัตราที่เป็นไปได้ ในสิ่งที่เหมือนกันหลายต่อหลายครั้ง จะมีโอกาสเกิดความต่างอยู่…
โลกอมตะก็เป็นเช่นนี้ ซูหมิงไม่รู้ว่าตนวนเวียนมาแล้วกี่ครั้ง กระทั่งปัญหานี้ยังอยู่ในความคิดเขา
แม้นี่คือการตื่นขึ้นครั้งที่หลายแสนก็ตาม ทว่าในสายตาเขา นี่คือการตื่นขึ้นครั้งแรก
เขาไม่รู้ถึงความต่างในการตื่นครั้งนี้ มีเพียงคนที่เห็นเขาตายและตื่นหลายแสนครั้งเท่านั้นถึงจะมองออกว่าครั้งนี้ไม่เหมือนกัน
ครั้งนี้เพราะเสียงนั้น ซูหมิงจึงไม่กินวิญญาณอมตะตนอื่น เขาเดินหน้าไปอย่างสับสน จนกระทั่งเสียงนั้นหายไป จนผ่านไปหลายเดือน เขาก็ยังล่องลอย ระหว่างทางเขาไม่เจอกับวิญญาณอมตะตนอื่นเลย!
นี่เป็นครั้งแรกในโลกใบนี้!
หลังจากล่องลอยมาครึ่งเดือน แววตาสีเทาค่อยๆ เข้มข้นขึ้น อีกทั้งในใจยังเกิด
ความรู้สึกหิวและอ่อนแอ เขามองไปรอบๆ เป็นบางครั้ง เพื่อตามหาแหล่งพลังงาน เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่มองหา เสียงที่หายไปแล้วจะดังกังวานเบาๆ ในความคิด ทำให้เขาต่อสู้ดิ้นรนมากขึ้นเรื่อยๆ
เขากระหายจะกินวิญญาณ ทว่าเสียงคุ้นเคยนั้นไม่ให้เขากิน กระทั่งเวลาผ่านไปอีก เขาค่อยๆ มีความรู้สึกว่า ตน….จะกินวิญญาณอื่นๆ ไม่ได้
จนกระทั่งการดิ้นรนถึงขีดสุด ช่วงที่เขาเห็นวิญญาณอมตะลอยอย่างสับสนอยู่สิบกว่าตนบนแผ่นดินสีขาว เขากลับทนความกระหายในการกินวิญญาณไม่ไหวอีก จึงพุ่งตัวเข้าไป
วิญญาณสิบกว่าตนนั้นเพิ่งเกิดใหม่ ยังไม่มีสติปัญญา ซูหมิงเข้าไปใกล้วิญญาณตนหนึ่ง ขณะกำลังจะกิน เขามีสีหน้าต่อสู้ดิ้นรนอย่างรุนแรง ก่อนคำรามเสียงต่ำ ดวงตามิใช่สีเทาอีก แต่เป็นสีม่วงอมแดง เขาพยายามหยุดกินและยกมือขวาขึ้นต่อยหมัดเข้าใส่ศีรษะวิญญาณอมตะตนนั้น ทำให้ร่างวิญญาณตนนั้นหายไป
ทันทีที่วิญญาณอมตะหายไป พลันมีเสียงระเบิดดังในความคิดซูหมิง ความเจ็บปวดปานถูกฉีกแล่นเข้ามา ขณะเจ็บปวด นัยน์ตาตาของซูหมิงแจ่มชัดขึ้น
“ข้าคือซูหมิง!”