Skip to content

สู่วิถีอสุรา 476

ตอนที่ 476 วิญญาณไม่ดับสูญ

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่กินวิญญาณอมตะ แล้วได้รับความทรงจำกลับมา!

หลังจากความทรงจำตื่นขึ้นและรู้ชื่อตัวเองแล้ว ซูหมิงก็หลับตาลง วิญญาณอมตะข้างกายเขาเหล่านั้นค่อยๆ ลอยไกลออกไป จิตพวกเขายังสับสน ไม่อาจต่อต้านใดๆ ได้

ส่วนวิญญาณอมตะที่ถูกซูหมิงทำลายก็สลายเป็นหมอกขาว หมอกเหล่านี้วนเวียนอยู่รอบตัวเขา ราวกับหวังว่าจะหลอมรวมเข้าไปในตัวซูหมิง

ทว่าผ่านไปพักใหญ่ ตอนที่ซูหมิงลืมตาขึ้น เขามองหมอกขาวเหล่านั้น และเดินออกไปอย่างเงียบๆ ไม่ได้สูบกินแม้แต่น้อย ในความทรงจำเขา นอกจากชื่อตัวเองแล้ว อย่างอื่นก็ยังคงเลือนราง แต่ความกระหายในการกินวิญญาณกลับลดน้อยลงเล็กน้อยเมื่อสังหาร

ในแววตาสีเทามีสติเพิ่มเข้ามาบ้าง ซูหมิงค่อยๆ ลอยไปข้างหน้าตามแนวพื้นดิน เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า พริบตาเดียวก็ครึ่งปี ในครึ่งปีนี้ซูหมิงสังหารมาหลายครั้ง เขาไม่กินหมอกขาวพวกนั้นอีก หลังจากเห็นกลุ่มวิญญาณอมตะ ขอแค่ไม่ใช่กลุ่มใหญ่ เขาจะพุ่งเข้าไปอย่างเงียบๆ

ไม่สูบกินหมอกขาว ไม่ให้ตนแกร่งขึ้น ฉะนั้นการสังหารทุกครั้ง หากเจอพวกที่ไม่ขัดขืนก็จะดีหน่อย ทว่าหากเจอพวกที่กินวิญญาณตนอื่นจนแข็งแกร่งก็จะยากมาก

ทว่ายิ่งเข่นฆ่า แม้ซูหมิงจะไม่แกร่งขึ้น ความทรงจำเขากลับตื่นขึ้นอีก ทำให้เขาจำวิชาของตนได้บ้าง…

เขาจำได้ถึงวิชาแยกวายุ วิชาหมานอัสนี และมรดกของหงหลัว ด้วยวิชาเหล่านี้ เขาไม่ต่อสู้กับวิญญาณที่ไม่อาจต่อต้านอีก แต่ตามหาวิญญาณที่แข็งแกร่งกว่าเล็กน้อยเพื่อเข้าต่อสู้!

จากการต่อสู้แต่ละครั้ง ซูหมิงจะค่อยๆ พบจุดด้อยของตัวเองจำนวนมาก อย่างเช่นลงมือไม่เด็ดขาด เน้นความสวยงามมากเกินไปจนไม่เพียงพอจะสังหารศัตรูในครั้งเดียว กระทั่งตอนที่เจอภยันตราย การเลือกยังเกิดข้อผิดพลาด

ทุกอย่างเหล่านี้ต้องแลกกับการที่ร่างกายสลายไปหลายครั้ง กระทั่งเขายังต้องตายมาแล้วสองครั้ง…

บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่เขาไม่กินวิญญาณอมตะ หลังจากซูหมิงตายสองครั้งแล้วเกิดใหม่ก็ต่างจากแต่ก่อน ความทรงจำเขาไม่เลือนรางอีก ยังคงไว้อยู่ในช่วงก่อนตาย หลังจากตายทุกครั้ง เขาจะขบคิดถึงสาเหตุที่พ่ายแพ้ จากนั้นก็สังหารต่อ

เขารู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าตนแกร่งขึ้นเรื่อยๆ นี่ไม่ใช่เพราะกินวิญญาณอมตะ แต่เป็นเพราะเขาเข้าใจการต่อสู้ เข้าใจในวิชา และมีจิตใจเด็ดเดี่ยว

เขาลงมือโดยไม่ใช้ความงามของท่วงท่าอันไร้ประโยชน์แล้ว จิตใจเขาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ หากลงมือจะมุ่งตรงไปยังเป้าหมายและไม่ประมาทแม้แต่น้อย

ซูหมิงสังหารมากขึ้นทุกที ตายและฟื้นติดต่อกันไม่หยุด จากนั้นเขาจะสรุปและปรับแก้ข้อผิดพลาดทุกครั้ง การสังการรวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มวางเป้าหมายไปยังวิญญาณอมตะที่แข็งแกร่งในกลุ่มวิญญาณใหญ่ ไม่ใช่กลุ่มวิญญาณเล็กๆ อีก

เมื่อเป็นเช่นนั้น วิญญาณแข็งแกร่งที่เขาจะต้องรับมือคงมีจำนวนไม่น้อย สำหรับเขา ระดับความอันตรายจะเพิ่มขึ้นตามไปด้วยเช่นกัน แต่การสังหารเช่นนี้ นอกจากจะให้ทักษะการต่อสู้กับซูหมิงแล้ว ยังทำให้เขาตื่นขึ้นไม่มีหยุด

เขาจำวิชาของตัวเองได้ จำชื่อตัวเองได้ กระทั่งยังจำได้ว่าที่นี่คือ…โลกอมตะของจู๋จิ่วอิน!

หากเพียงเท่านี้คงไม่เท่าไร หลังจากตายมาหลายสิบครั้ง และเข่นฆ่าวิญญาณมาไม่รู้เท่าไร อีกทั้งยังเลิกกินหมอกขาว ในความทรงจำเขาก็ค่อยๆ ผุดเป็นภาพวัฏจักรทั้งหมดในครั้งก่อน!

เขาเห็นการกินวิญญาณอมตะทุกอย่างในวัฏจักรครั้งก่อน จนกระทั่งมายังจุดแพร่เสียงสัญญาณและตายลงที่นั่น

ความทรงจำเขาหยุดนิ่งอยู่ตรงนี้ ไม่อาจนึกได้มากขึ้นอีก ต่อให้เหตุการณ์บนมังกรงูในวัฏจักรครั้งก่อนก็ยังเลือนราง ไม่รู้ว่าเหตุใดตนต้องทำอย่างนั้น เหตุใดต้องทิ้งตราสัญลักษณ์เอาไว้บนเกล็ด

แต่เขารู้สึกว่าหากตนทำเช่นนี้ต่อไป สักวันหนึ่งจะจำได้ทุกอย่าง การสังหารจึงดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ซูหมิงสวมเสื้อคลุมดำทั้งตัว เส้นผมเคลื่อนไหวเองแม้ไร้ลม เขาปรับแก้วิธีการใช้วิชาหมานวายุของตัวเอง หมานอัสนีก็เช่นกัน การปรับเช่นนี้จะทำให้สองวิชานี้สังหารได้อย่างเด็ดขาดยิ่งขึ้น

เวลาผ่านไปเรื่อยๆ สิบปี ห้าสิบปี หนึ่งร้อยปี…

ซูหมิงเดินผ่านกลุ่มวิญญาณอมตะหลายพันตน สองเท้าไม่หยุดแม้แต่น้อย เขาผ่านจุดใดก็มักจะชี้นิ้วมือขวาลง จากนั้นจะมีพายุคลั่งม้วนตัวขึ้นโดยไร้ที่มา เมื่อกำหมัดซ้ายจะมีเสียงฟ้าผ่าดังสนั่น ก่อขึ้นเป็นการระเบิดทำลายวงกว้าง

หลังจากซูหมิงเดินผ่านวิญญาณอมตะแข็งแกร่งหลายสิบตนในกลุ่มไป ร่างพวกเขาจะสลายเป็นหมอกขาว ทว่าซูหมิงกลับไม่สูบกินมัน

การเข่นฆ่าเช่นนี้ไม่อาจเติมเต็มซูหมิง ไม่อาจทำให้เขาได้ประสบการณ์มากกว่านี้อีก และยากจะพบเจอกับอันตรายอะไร

การสังหารหนึ่งร้อยปี เขาตายมาแล้วเกือบร้อยครั้งเช่นกัน ทว่าทุกครั้งที่ตายและฟื้น เขาจะขบคิดถึงมูลเหตุ ปรับแก้สาเหตุทุกอย่างที่ทำให้เขาตาย จากนั้นก็พัฒนาตัวเองต่อไป

ในหนึ่งร้อยปีนี้จิตใจเขาได้รับการขัดเกลาจนยากจะบรรยาย เมื่อสังหารและฟื้นคืนความทรงจำกลับมาทีละนิด เขาก็นึกย้อนถึงวัฏจักรครั้งก่อนได้ไกลยิ่งขึ้นไปตามลำดับ

สีหน้าเขาค่อยๆ เฉยชา เพียงแต่ความเฉยชานี้ เมื่อเทียบกับในครั้งก่อนๆ แล้วดูเหมือนกันก็จริง แต่ความจริงต่างกันโดยสิ้นเชิง ความเฉยชานี้เป็นเพราะเคยชิน เพราะเย็นชา ส่วนความเฉยชาในครั้งก่อนๆ มาจากความสับสน

หนึ่งเพราะเคยชิน อีกหนึ่งเพราะสับสน ความเฉยชาสองอย่างนี้จึงต่างกันราวฟ้าดิน

กายซูหมิงมีความรู้สึกเหนื่อยล้าเช่นกัน ความเหนื่อยล้าจากการสังหารและต้องสู้เพื่อฟื้นความทรงจำ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกว่ากายและใจไร้เรี่ยวแรง

ทว่า ทุกอย่างต้องดำเนินต่อไป!

จนกระทั่งผ่านไปอีกหนึ่งร้อยปี เขาจำได้ถึงวัฏจักรเมื่อหนึ่งหมื่นครั้งก่อน เข้าใจแผ่นดินกว้างใหญ่ในขอบเขตทั้งหมดของโลกอมตะนี้อย่างถ่องแท้

ซูหมิงเริ่มตั้งเป้าหมายการสังหารไว้ที่วิญญาณอมตะเหมือนกับชายร่างกำยำผมแดงตอนนั้น มีแต่วิญญาณนักรบเท่านั้นถึงจะทำให้เขาสัมผัสถึงภยันตรายความตายได้จริงๆ

‘มีท้องฟ้า ย่อมมีแผ่นดิน…’ บนท้องฟ้า ซูหมิงกำลังต่อสู้กับเงาคนที่โอบล้อมด้วยหมอกดำทั้งตัว เงาคนหมอกดำร้องคำรามเสียงสะเทือนฟ้า การโจมตีของเขามีความหนาวกับความร้อนสลับกัน มีน้ำแข็งกับเพลิงทับซ้อนกัน

‘มีเปลวเพลิง ย่อมมีน้ำแข็ง…’ ตรงเนินเขาที่นูนขึ้นบนแผ่นดินสีขาว ซูหมิงกำลังต่อสู้กับชายชราคนหนึ่ง ชายชราผู้นี้มีเส้นผมขาวโพลน ดวงตาเฉยชา จะลงมือด้วยการกดและคว้า ซึ่งทำให้ซูหมิงตัวสลายตายไปหลายครั้ง…

ทว่าหลังจากตื่นขึ้นทุกครั้ง ซูหมิงจะสู้ต่อไป!

‘เมื่อมีแรงกดดันทำลาย ย่อมมีการสูบกินวิญญาณ…’ ซูหมิงลอยอยู่กลางอากาศ กำลังต่อสู้อย่างสุดกำลังกับชายร่างกำยำสูงสามจั้ง หมัดของชายผู้นี้มีความรู้สึกหนักเบาสองชนิด ทำให้ยากจะทนไหว เสียงคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยวดังอย่างต่อเนื่อง ในเสียงคำรามนั้นมีอยู่คำหนึ่งที่เขาจะพูดบ่อยๆ!

“วิญญาณไม่ดับสูญ!”

“โลกอมตะของจู๋จิ่วอิน อมตะและไม่ดับสูญของมันก็เป็นเช่นนี้…”

ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนยอดเขานูนบนผืนดินสีขาว มองท้องฟ้าสีเทา พลางพึมพำเบาๆ กับตัวเอง

ความทรงจำเขาฟื้นกลับมาถึงวัฏจักรหลายแสนครั้งก่อนแล้ว เวลาผ่านมาสี่ร้อยปี ในสี่ร้อยปีนี้เขาไม่กินหมอกขาวเลยแม้แต่น้อย การดับสูญและเกิดใหม่แต่ละครั้ง เขาต่อสู้ด้วยตัวเองมาตลอด!

ที่นี่มีคนจำนวนมากที่เขายังไม่อาจเอาชนะ อย่างเช่นชายร่างกำยำสูงสามจั้ง ชายชราที่กดและคว้ามือ ซูหมิงตายในเงื้อมมือพวกเขามาหลายครั้งแล้ว

‘ทุกอย่างของที่นี่มีสองด้านเสมอ อย่างเช่นกดและคว้ามือ กดคือการส่งพลังทำลายทุกสิ่ง คว้าคือดูดหมอกเพื่อบำรุงวิญญาณ…หรืออย่างเช่นช้ากับเร็ว หนักกับเบา และยังมีอีกมาก…ทั้งหมดเป็นสองด้านที่ต่างกัน’

ซูหมิงหลับตาลง ในสีหน้าเฉยชามีการขบคิด

‘วิญญาณอมตะก็คือข้าในวัฏจักรก่อนหน้านี้ ดูดกินหมอกขาวเพื่อบำรุงวิญญาณให้แข็งแกร่งขึ้น ทว่าวิญญาณไม่ดับสูญ…คือเส้นทางที่ข้าเดินอยู่ตอนนี้ เหมือนสองขั้วสุด!

อมตะคือจะไม่มีวันตายอย่างแท้จริง ทุกครั้งจะฟื้นคืนชีพกลับมาได้ ทว่าความทรงจำจะหายไป ไม่เหลือแม้แต่น้อย…ส่วนไม่ดับสูญคือความทรงจำข้าจะไม่หายไป ไม่ว่าจะฟื้นมาสักกี่ครั้ง มันก็ยังอยู่เหมือนเดิม!

บางทีโลกอมตะของจู๋จิ่วอินอาจเตรียมไว้เพื่อวิญญาณไม่ดับสูญ…..เพียงแต่การไม่ดับสูญจะต้องมีจิตใจแกร่งกล้า หากไม่มีก็ยากจะยืนหยัดอยู่ถึงช่วงสุดท้าย…’

ซูหมิงยกมือขวาขึ้นชี้ไปข้างหลังอย่างสบายๆ ทันใดนั้นมวลอากาศด้านหลังเขาก็ปรากฏคนแคระผู้หนึ่ง บุคคลนี้มีสีหน้าเฉยชา กำลังอ้าปากเตรียมจะกิน ทว่าซูหมิงกดนิ้วตรงระหว่างคิ้วเขาเอาไว้ก่อน

เสียงโครมดังขึ้น คนแคระร่างระเบิดกระจุยกลายเป็นหมอกขาว จากนั้นซูหมิงก็สะบัดแขนเสื้อพัดหมอกให้ลอยไปไกล สำหรับซูหมิงแล้ว เรื่องนี้ธรรมดาราวกับการหายใจ มิได้ทำให้ความคิดเขาหยุดชะงักแม้แต่น้อย

‘ตามหาสองด้านตรงข้ามของตัวเอง ไม่ใช่ฟ้ากับดิน ไม่ใช่น้ำแข็งกับไฟ ไม่ใช่กดและคว้า ไม่ใช้หนักกับเบา และก็ไม่ใช่เร็วกับช้าด้วย…’ ซูหมิงลืมตาขึ้นมองท้องฟ้าสีเทา ขณะเงียบงันก็เริ่มใจลอย

เวลาค่อยๆ ผ่านไป หนึ่งร้อยปี สองร้อยปี สามร้อยปี ซูหมิงยังคงนั่งอยู่ตรงนั้นตลอด รอบตัวเขาเต็มไปด้วยหมอกขาวจำนวนมาก หมอกเหล่านี้คือวิญญาณที่ถูกเขาสังหารและสลายไป อีกทั้งเพราะหมอกยังอยู่ จึงดึงดูดวิญญาณอมตะจำนวนมากให้เข้ามาบ่อยครั้ง หลังจากดูดหมอกขาวแล้วก็จะแข็งแกร่งขึ้น

ทว่าช่วงที่กระโจนเข้าใส่ซูหมิง จะถูกเขากดตรงระหว่างคิ้วแล้วสลายหายไป

หนึ่งนิ้วนี้คือการผสานรวมหมานวายุ หมานอัสนี และอภินิหารของวิญญาณแรก ทั้งยังมีความทรงจำทุกอย่างในวัฏจักรนับไม่ถ้วนระหว่างที่ตนเข่นฆ่าและขบคิดในช่วงเวลาเจ็ดร้อยปี จนสร้างออกมาเป็นวิชาสังหารนี้!

วิชาสังหารนี้ง่ายมาก เพียงนิ้วเดียวเท่านั้น ทว่าหนึ่งนิ้วนี้กลับมีความเร็วของสายฟ้า มีพลังของสายฟ้ากับวายุ มีความพิลึกของการกดและคว้า มีต้นตอของความเบาและหนัก มีกฎเกณฑ์ของความเร็วและช้า หนำซ้ำยังมีชีวิตและจิตวิญญาณของซูหมิง!

จนกระทั่งวันหนึ่ง ในวัฏจักรนับไม่ถ้วนในความทรงจำเขา ปรากฏภาพตอนที่เขามายังโลกใบนี้ครั้งแรกอย่างแท้จริง…

เขาจำได้แล้วว่ามาที่นี่ได้อย่างไร จำหนอนงูได้ จำชายชราเสื้อคลุมดำได้ รวมถึงการต่อสู้ระหว่างเขากับจู๋จิ่วอิน และคำพูดที่ทำให้เขาใจสั่นไหว

‘การผสานรวมของฟ้าและดิน น้ำแข็งและไฟ…ผสานรวม….’ ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนี้มาหลายร้อยปี เขาลืมตาขึ้นเป็นครั้งแรก นัยน์ตาเป็นประกาย

‘ข้าเข้าใจแล้ว…’

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version