Skip to content

สู่วิถีอสุรา 482

ตอนที่ 482 ทุกคนฝึกฝนเพื่ออะไร? เพื่อความแข็งแกร่ง?

ต้องทำลายถึงจะสร้างขึ้นมาใหม่ได้ เป็นกฎเกณฑ์ที่ไม่แปรเปลี่ยน!

กฎนี้อยู่มานานแสนนาน ผู้คนค่อยๆ สรุปมันจนออกมาเป็นประโยคนี้

ด้วยคำอวยพรของจู๋จิ่วอิน พูดได้ว่าครั้งนี้ซูหมิงได้ผ่านเรื่องราวพิลึกที่ไม่มีใครบนโลกนี้เคยประสบ เรื่องราวนี้คือการรอดพ้นจากความตายหลังจากทะลวงขั้นวิญญาณหมานล้มเหลว!

ในประวัติศาสตร์เผ่าหมาน แม้บอกว่าเรื่องราวเช่นนี้เคยเกิดขึ้นหลายครั้ง ทว่าทุกครั้งจะเสียพลังชีวิตมากเกินไปจนกลายเป็นคนธรรมดา

แต่ของซูหมิงเป็นเพราะคำอวยพรของจู๋จิ่วอิน แม้กระดูกหมานจะระเบิดทลาย ขั้นพลังเขาก็ยังคงอยู่ ประหนึ่งว่ากระดูกหมานไม่จำกัดอยู่ที่กระดูกสันหลังอีก แต่เมื่อกระดูกสันหลังหายไป มันก็แผ่กระจายอยู่ทุกจุดในร่างกาย เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงทำให้ขั้นพลังยังคงแกร่งอยู่

เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ต่อให้เป็นเทพหมานรุ่นหนึ่งผู้สร้างระบบการฝึกฝนของเผ่าหมาน แม้แต่เขาก็ยังไม่เคยคาดคิดว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้!

กระดูกสันหลังที่ระเบิดเมื่อครู่ กระดูกหมานยี่สิบหกชิ้นแหลกเป็นผุยผง ในตัวซูหมิง พลังเผ่าหมานจากเศษกระดูกหมานเหล่านั้น มีบางส่วนหลอมรวมอยู่ในกระดูกชิ้นอื่นๆ ในร่างกาย อย่างเช่นกระดูกซี่โครง กระดูกแขนสองข้าง รวมถึงกระดูกเอว แทบจะทุกจุดในร่างกาย

และยังมีส่วนหนึ่งหลอมรวมกับเลือดเนื้อ แผ่กระจายไปทั้งตัว

ยามนี้ หลังจากพลังของจู๋จิ่วอินหลั่งทะลักเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง ซูหมิงก็รู้สึกอย่างชัดเจนว่า นอกจากกระดูกหมานชิ้นแรกบนกระดูกสันหลังจะเปล่งแสงทองอีกครั้ง

ขณะเดียวกับที่สูบกินพลังของจู๋จิ่วอิน กระดูกอื่นๆ ในร่างกายเขายังสูบกินด้วยเช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่เลือดเนื้อของเขา!

ขั้นเซ่นไหว้กระดูก สิ่งที่คนอื่นๆ รวมถึงซูหมิงแต่ก่อนหล่อหลอมคือกระดูกสันหลังอย่างเดียว ทว่าตอนนี้…ซูหมิงกลับพบว่าหากทำต่อไป การหล่อหลอมจะมิใช่เพียงกระดูกสันหลัง แต่เป็น…กระดูกทั้งตัวรวมถึงเลือดเนื้อ!

สิ่งที่ขั้นเซ่นไหว้กระดูกฝึกฝนคือกระดูกหมานยี่สิบหกชิ้น มันเป็นเหมือนกับการวิวัฒนาการ สร้างกระดูกหมานขึ้น และยืมพลังแกร่งกล้าจากมันมาใช้ แต่กับซูหมิง หากกระดูกทุกชิ้นในร่างกลายเป็นกระดูกหมาน เช่นนั้นความแข็งแกร่งของเขา…

ซูหมิงสูดลมหายใจเข้า หากกระดูกทั้งตัวกลายเป็นกระดูกหมาน บวกกับเลือดเนื้อที่ผสานรวมกับพลังจากกระดูกหมาน จึงทำให้แกร่งและทนทานยิ่งขึ้น เช่นนั้นร่างกายเขาจะอยู่ในระดับใด

จุดนี้ซูหมิงไม่มีคำตอบ แม้เป็นเทพหมานรุ่นหนึ่ง ตอนสร้างระบบเซ่นไหว้กระดูกก็ยังไม่มีคำตอบ!

‘ทว่าขณะเดียวกัน หากข้าไปตามเส้นทางอันน่ากลัวนี้จริงๆ ความยากในการข้ามสู่ขั้นวิญญาณหมานก็จะมากขึ้นถึงระดับที่ไม่อาจจินตนาการ จนถึงขั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย…’ ซูหมิงเข้าใจแจ่มแจ้ง

กระดูกหมานยี่สิบหกชิ้นรวมเป็นเทวรูปวิญญาณหมานยังยากขนาดนี้

หากเขามีกระดูกหมานทั้งตัว เพียงแค่คิดก็รู้แล้วว่าระดับความยากเย็นตอนทะลวงขั้นวิญญาณหมานเป็นเช่นไร!

แต่เรื่องราวเป็นเช่นนี้แล้ว ยามนี้ซูหมิงจึงไม่ลังเลอีก เขาจะลองทะลวงขั้นวิญญาณหมานต่อ หลังจากร่างสลายไปแล้วก็ใช้จิตแรกดึงกลับมา หรือไม่ก็เดินตามเส้นทางที่ไม่มีใครเดินนี้ไปเสีย ส่วนเรื่องวิญญาณหมานค่อยคิดทีหลัง

นอกจากสองเส้นทางนี้แล้วยังเหลืออีกหนึ่งเส้นทาง นั่นคือก้าวสู่ขั้นวิญญาณหมานสำเร็จ! แต่ซูหมิงรู้ดีว่าขั้นพลังยังไม่สมดุลและไม่เสถียร ความเป็นไปได้นี้จึงแทบจะไม่มีโอกาสสำเร็จเลย เว้นแต่จะให้เวลาเขาค่อยๆ ผสานรวม และเข้าใจความหมายที่แท้จริงของเซ่นไหว้กระดูกมหาสมบูรณ์

นัยน์ตาซูหมิงค่อยๆ สงบนิ่งลง เขาสูดลมหายใจเข้าลึก และผ่อนคลายจิตใจเพื่อรับพลังของจู๋จิ่วอิน ให้กระดูกทั้งหมดและเลือดเนื้อในร่างกายสูบกินไป

ไม่นานกระดูกทั้งตัวซูหมิงก็เปล่งแสงสีทองอ่อนๆ อีกทั้งกระดูกสันหลังสิบชิ้นแรกยังมีสีทองวูบไหว ความรู้สึกถึงความแข็งแกร่งอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนผุดขึ้นในใจเขา ความแข็งแกร่งนี้ข้ามผ่านขั้นเซ่นไหว้กระดูกไปแล้ว ทว่าก็ยังเรียกว่าขั้นเซ่นไหว้กระดูกอยู่!

เมื่อสูบกินไปเรื่อยๆ จนทุกจุดในร่างกายส่องแสงวูบวาบ ทันใดนั้น พลังชีวิตและกลิ่นอายพลังที่หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายซูหมิงพลันหยุดชะงัก หลังจากนั้นก็มีพลังที่ทำให้ซูหมิงตื่นตะลึงตรงเข้ามา

เวลาตอนนี้คือหนึ่งก้านธูปพอดี!

พลังนี้มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า หลังจากร่างของจู๋จิ่วอินหายไป มันก็รวมขึ้นเป็นแผ่นผลึกลักษณะขนมเปียกปูน สิ่งนี้ส่องแสงพร่างพราวแล้วตรงมายังซูหมิง ก่อนประทับตรงระหว่างคิ้วด้วยความเร็วและอำนาจที่ไม่อาจบรรยาย

วินาทีที่มันสัมผัสกับระหว่างคิ้วของเขา ซูหมิงตัวสั่นอย่างรุนแรง เกิดความเจ็บปวดตรงหว่างคิ้ว ผลึกนั้นทะลวงผ่านหน้าผาก ประทับลึกอยู่ในร่างกาย

ศีรษะซูหมิงเอนไปข้างหลังประหนึ่งถูกปะทะอย่างแรง ใจเต้นโครมคราม เวลานี้เขาลืมภยันตราย ลืมสิ้นทุกอย่าง ในความคิดมีเพียงเสียงคำรามด้วยความโกรธ เสียงคำรามนั้นราวกับดังมาจากสิ่งมีชีวิตนับไม่ถ้วนพร้อมกัน

อีกทั้งขณะสติซูหมิงยังพร่ามัว เขาเหมือนเห็นโลกใบหนึ่ง จู๋จิ่วอินร่างใหญ่ยักษ์ลอยอยู่กลางอากาศ อ้าปากกว้างกัดกินจนโลกถล่มทลายลงเป็นวงกว้าง

โลกใบนี้ยังไม่สลายไป แต่รวมเข้าด้วยกันอย่างต่อเนื่องระหว่างพังทลายลง รวมถึงสิ่งมีชีวิตทั้งหมดบนโลกด้วย ไม่ว่าพวกเขาจะต่อสู้ดิ้นรนอย่างไร สุดท้ายก็ไร้ประโยชน์ เหลือไว้เพียงเสียงคำรามด้วยความบ้าคลั่งและสิ้นหวัง โลกใบนี้ค่อยๆ กลายเป็นผลึกรูปทรงขนมเปียกปูน แล้วถูกจู๋จิ่วอินกินเข้าไป

“หรือว่า…นี่คือพลังของหนึ่งโลก!”

“นี่คือพลังของหนึ่งโลกที่เหลืออยู่หลังจากข้าสร้างโลกอมตะ…ทุกสรรพสิ่งในโลกใบนี้มีระบบการฝึกฝนอย่างหนึ่ง แม้ชื่อเรียกต่างกัน สุดท้ายแล้วที่ฝึกฝนก็คือพลังแห่งโลก…” เสียงจู๋จิ่วอินแฝงไว้ด้วยกาลเวลา ดังก้องกังวานแปดทิศ

เสียงนั้นแฝงไว้ด้วยประสบการณ์ทั้งชีวิตและความเข้าใจที่สั่งสมมา

“เจ้ายังไม่เข้าใจและไม่อาจควบคุมพลังแห่งโลกนี้ มันจะไม่ทำให้ขั้นพลังเจ้าสูงขึ้น ทว่ามันเป็นคำอวยพรที่แท้จริงของข้า….ครอบครองมัน เข้าใจมัน ควบคุมมัน หากเจ้าทำได้ ในวันข้างหน้าเจ้าจะค้นพบความลึกลับของฟ้าและจักรวาล เจ้าจะพบว่าเจ้าควบคุมมันได้ทั้งหมด!” เสียงของจู๋จิ่วอินสลายไป ดังกังวานในจิตใจซูหมิง แม้สติยังพร่ามัวก็ยังได้ยินชัดเจนดุจประทับตราเอาไว้ลึกๆ

“เจ้ารู้หรือไม่ว่าสิ่งมีชีวิตฝึกฝนเพื่ออะไร? เหตุใดถึงแกร่งขึ้น?” จู๋จิ่วอินถามเบาๆ

คำถามนี้ซูหมิงตอบไม่ได้ ความจริงแล้วจู๋จิ่วอินก็ไม่หวังจะได้คำตอบของซูหมิงอยู่แล้ว

“นั่นเป็นเพราะว่าข้อบกพร่องของตน ข้อบกพร่องนี้ทุกเผ่าพันธุ์มีไม่เหมือนกัน ต้นกำเนิดการฝึกฝนคือสิ่งที่มาเติมเต็มข้อบกพร่อง…

ทว่าการจะเติมเต็มข้อบกพร่องนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย หลายปีมาแล้ว ในแต่ละเผ่าพันธุ์จะมีสิ่งมีชีวิตอยู่หนึ่งหรือสองตนที่ทำได้”

“ทุกเผ่าพันธุ์จะมีวิธีการค้นพบไปจนถึงเติมเต็มข้อบกพร่องต่างกัน แต่รากฐานล้วนต้องใช้พลังแห่งโลก…อย่างเช่นในชีวิตอันยาวนานของข้า ข้าเคยรู้จักกับเผ่าเซียนมาบ้าง ระบบการฝึกของเผ่าเซียนแบ่งเป็นสามก้าว ก้าวแรกยังไม่ต้องใช้พลังแห่งโลก ทว่าเมื่อเริ่มก้าวที่สอง มันคือการเกิดใหม่และเติมเต็มข้อบกพร่องของตัวเอง ตอนนี้สิ่งที่ต้องฝึกฝนก็คือพลังแห่งภัยพิบัติ

ส่วนก้าวที่สามคือว่างเปล่า เป็นจุดสำคัญที่สุดในการเติมเต็มข้อบกพร่องที่น้อยลงเรื่อยๆ จนมันสมบูรณ์แบบ หากสมบูรณ์แบบจริงๆ ก็จะก้าวเข้าสู่ก้าวที่สี่ เมื่อนั้นจะไม่มีข้อบกพร่องอีก…ตอนนี้สิ่งที่แสวงหาคือพลังแห่งโลก!” เสียงจู๋จิ่วอินค่อยๆ เบาลง ความรู้เช่นนี้เป็นสิ่งล้ำค่าตลอดชีวิตของมัน

“ทุกเผ่าพันธุ์ล้วนเป็นเช่นนี้ อย่างเช่นสายเลือดเทพเซียนที่คล้ายกับเผ่าเซียน ผสมรูป มหายาน ขึ้นสวรรค์ ไปจนถึงจินเซียนต้าหลัวเป็นต้น สุดท้ายแล้วก็เพื่อเติมเต็มข้อบกพร่องของตัวเองเท่านั้น

เผ่าหมานของเจ้า สิ่งที่ตามหาหลังจากขั้นวิญญาณหมาน แม้ชื่อเรียกต่างกัน ทว่าความจริงแล้วก็คือการใช้พลังแห่งโลกมาเติมเต็มข้อบกพร่อง เมื่อข้อบกพร่องลดน้อยลง ศักยภาพก็จะยิ่งแข็งแกร่ง สุดท้ายก็สมบูรณ์แบบ”

หลังจากซูหมิงฟังมาถึงตรงนี้ เขาเริ่มได้สติกลับมา ในใจตื่นตะลึงปานเกิดลูกคลื่นยักษ์ ทฤษฎีเหล่านี้เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน เป็นคำพูดที่เปิดความคิดเขาดุจสายฟ้าวูบผ่าน!

“สายเลือดจู๋อินของข้าเกิดขึ้นเพราะความโชคดี และก็มีข้อบกพร่องเช่นกัน ข้อบกพร่องนี้ไม่มีการฝึกฝนเป็นระบบ มีวิธีเติมเต็มอย่างเดียวคือกลืนกิน…

เพราะข้าเองก็ไม่รู้ว่าข้อบกพร่องของสายเลือดข้าอยู่ที่ใด มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นโลกอมตะหรือไม่ก็จิ่วอิง ฉะนั้นข้าเลยต้องกินโลกอยู่เรื่อยมา และหวังว่ามันจะเติมเต็มข้อบกพร่องได้”

ซูหมิงเหม่อมองศีรษะสตรีงามตรงหน้า พลันนึกถึงการผสานรวมของโลกอมตะ

“ตอนข้ายังมีชีวิต ข้าไปอยู่หลายที่มาก ท้องฟ้ากระจ่างดาวไร้พรมแดน กระทั่งสี่มหาโลกแท้จริงข้ายังเคยไปมาแล้วสองที่…เคยเจออยู่เพียงห้าคนที่สมบูรณ์แบบ และควบคุมพลังแห่งภัยพิบัติ พวกเขาก็คือผู้แข็งแกร่งสมคำร่ำลือของสี่มหาโลกแท้จริงและท้องฟ้ากระจ่างดาวผืนนี้…

ในสี่มหาโลกแท้จริง ความจริงแล้วเมื่อฝึกฝนจนถึงระดับนั้น จะมีชื่อเรียกรวมว่ากุมชะตาการเกิดและดับสูญ ควบคุมวัฏจักรของท้องฟ้า ยามเอ่ยเกิดชะตาเกิด ยามเอ่ยดับสูญชะตาดับสูญ…

ต่ำกว่าระดับพลังนี้จะมีชื่อเรียกต่างกันไปแต่ละเผ่าพันธุ์ ทว่าสิ่งที่แสวงหาคือ…ความสมบูรณ์แบบ หากเหนือกว่าระดับพลังนี้ ความจริงแล้วยังมีอีกหลายระดับพลังใหญ่ๆ เพียงแต่มันเป็นตำนาน” เสียงเบาๆ ของสตรีอ่อนลงเรื่อยๆ กังวานในใจซูหมิง

“เจ้านายที่ชนรุ่นหลังสายเลือดจู๋จิ่วอินของข้ายอมรับ ทั้งยังรับพลังแห่งโลกของข้าไป จิตข้าจะหายไปแล้ว…รับพลังชีวิตสุดท้ายจากข้าไปเสีย หากผ่านไปได้เจ้าจะเกิดใหม่ หากล้มเหลวก็จงเน่าเปื่อยไปพร้อมกับข้า…”

ตอนที่ศีรษะหญิงงามกล่าว นางก็เน่าเปื่อยกลายเป็นธุลีหายไป จากนั้นหนอนงูน้อยก็มุดออกมาจากน้ำวนตรงระหว่างคิ้วแล้วส่งเสียงร้อง

ขณะเดียวกัน ศีรษะร่างยักษ์ของจู๋จิ่วอินรอบตัวซูหมิงแผ่หมอกมหาศาล ตรงเข้ามายังร่างเขา

ครั้นศีรษะจู๋จิ่วอินหายไป ด้านบนเผยเป็นท้องฟ้ากระจ่างดาว และยังมีจันทร์ดวงที่สิบซึ่งกำลังเลือนหายอย่างรวดเร็วรอบนอกดวงจันทร์เก้าดวง!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version