ตอนที่ 484 วงแหวนอาคม
ในวันนี้ หลังจากอยู่ในแดนฝังกระดูกของจู๋จิ่วอินมาไม่รู้กี่ปี ซูหมิงพางูน้อยออกจากที่นี่ ช่วงที่เดินออกมาจากเขตนี้ เขายืนอยู่บนยอดเขา แล้วหันไปมองข้างหลังแวบหนึ่ง
หมอกตรงจุดฝังกระดูกจู๋จิ่วอินใต้ยอดเขานี้หายไปนานแล้ว ตอนที่มองไปก็ไม่เห็นร่างใหญ่ยักษ์ของจู๋จิ่วอินในตอนนั้นอีก
ในความคิดซูหมิงลอยขึ้นมาเป็นภาพแต่ละฉากตอนเหยียบเข้ามาที่นี่ ไม่ว่าจะเป็นหมอกชั่วร้าย การต่อสู้กันในร่างของจู๋จิ่วอิน วัฏจักรในโลกอมตะ และยังมีคำอวยพรหรือการทดสอบในช่วงสุดท้ายอีก
ทุกอย่างนี้ในสายตาเขาประดุจความฝันอันยาวนาน ดูค่อนข้างเป็นมายา ถึงอย่างไรวิญญาณเขาก็อยู่ในโลกอมตะนานเกินไป แม้ยามนี้จะตื่นขึ้นแล้ว ก็ต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่ง
ผ่านไปพักหนึ่ง ซูหมิงละสายตากลับ งูน้อยนอนขดอยู่บนบ่าเขา มองจุดฝังกระดูกของจู๋จิ่วอินในอดีตเช่นกัน นัยน์ตามันเริ่มมีความอาลัยอาวรณ์
สำหรับมันแล้ว ที่นี่คือแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าพันธุ์มัน เป็นที่ที่มันเกิดใหม่และทำให้มันกลายเป็นจู๋จิ่วอินอย่างแท้จริง
ซูหมิงเดินออกมา เขาก้าวเท้ายาวเดินขึ้นฟ้า มุ่งหน้าไปยังเมืองเชมันในความทรงจำ
แม้ก่อนหน้านี้จะแผ่ขยายจิตสัมผัสดู ทว่าขอบเขตก็ไม่ได้ไกลมากนัก ได้เพียงแค่ในละแวกใกล้ๆ เท่านั้น หากเขาอยากรู้ว่าผ่านมาแล้วกี่ปี คิดว่าเมืองเชมันน่าจะมีคำตอบ
ความทรงจำเลือนรางค่อยๆ ตื่นขึ้น ในความรู้สึกซูหมิง ความทรงจำเหล่านี้อยู่ไกลมาก เขาบินไปอย่างเนิบๆ พลางนึกย้อนความทรงจำ
ระหว่างทางเขาไม่เจอเผ่าเชมันเลย แต่แผ่นดินใหญ่ในสายตากลับต่างจากในความทรงจำตอนนั้นมาก
ซูหมิงเงียบงันตลอดทาง จนหลายวันต่อมา เมื่อมาถึงเมืองเชมัน เขาเห็นซากปรักหักพังบนผืนดิน ซากเมืองเชมัน และโครงกระดูกหลายจุด ก็ยิ่งเงียบงันมากขึ้น
เขายืนอยู่กลางอากาศพลางมองผืนดิน ผ่านไปพักใหญ่ถึงค่อยๆ ลดระดับลงมายืนบนพื้น แล้วเดินเข้าไปในซากเมือง
ขณะเดินอยู่ในซากเมือง ซูหมิงเริ่มมีสีหน้าไม่แน่ใจ ตรงหน้าเขาเหมือนปรากฏภาพมายาขึ้น จุดที่เดินผ่านในสายตาเขาล้วนรุ่งเรืองดังเมื่อก่อน เพียงแต่ชั่วพริบตาเดียวทุกอย่างก็กลายเป็นซากในตอนนี้
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ เขามาหยุดอยู่ตรงซากเรือนแห่งหนึ่ง เรือนถล่มทลายตรงนี้คือโรงเตี๊ยมที่เขาเคยอาศัยอยู่ในตอนนั้น
ซูหมิงหยุดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเดินหน้าต่อ ค่อยๆ เดินผ่านเส้นทางในอดีต เดินผ่านวิหารที่ได้รับการคุ้มกันโดยเผ่าวิญญาณหยิน เพียงแต่ว่าที่นี่ เขาไม่เห็นวิหารเหล่านั้น ประหนึ่งว่าถูกคนเอาไป จึงกลายเป็นที่กว้างโล่ง
ซูหมิงเงยหน้ามอง เขาไม่เห็นเสาหินยักษ์สูงเสียดเมฆ และก็ไม่เห็นศีรษะยักษ์ที่มีเสาหินค้ำยันอยู่ด้วย เขาเห็นเพียงอุโมงค์ยักษ์บนท้องฟ้า รวมถึงผนึกต้นไม้นับไม่ถ้วนทั้งในและนอกอุโมงค์
จนกระทั่งซูหมิงเดินมาถึงตรงกลางซากเมืองเชมัน ที่นี่เป็นลานใจกลางที่จัดงานพนันสมบัติขึ้น เมื่อมาถึงตรงนี้ ซูหมิงก็หรี่ม่านตาลง
บนพื้นของที่นี่ เขาเห็นหลุมลึกขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง หลุมนี้มีลักษณะห้ามุม กินพื้นที่ราวหลายพันจั้ง
ซูหมิงยืนอยู่ตรงขอบหลุมด้วยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนนั่งยองลงหยิบเศษดินขึ้นมาจากหลุม ข้างในนี้แฝงไว้ด้วยพลังจากวิชาบางอย่าง
‘นี่มันวงแหวนอาคม!’ ซูหมิงเงยหน้าขึ้น ตำแหน่งของหลุมลึกนี้ตรงกับอุโมงค์ยักษ์บนท้องฟ้าพอดี!
ซูหมิงขมวดคิ้ว ขณะกำลังขบคิดก็พลันยกมือขวาขึ้นชี้ไปด้านหลัง มันเป็นการชี้อย่างง่ายๆ ทว่ากลับมอบความรู้สึกราวผ่านวิวัฒนาการมานับพันนับหมื่นครั้ง ภายในนิ้วนั้นเหมือนแฝงไว้ด้วยกาลเวลา ดูง่ายๆ แต่ความจริงแล้ววินาทีที่ชี้นิ้วไป มวลอากาศบริเวณที่นิ้วผ่านก็เกิดเป็นรอยเปิดลึกๆ หนึ่งเส้น
ประหนึ่งว่าแม้แต่มวลอากาศยังรับนิ้วนี้ไม่ไหว พลันเกิดเสียงโครมดังก้อง ซูหมิงไม่หันกลับไปมอง เขายังคงมองหลุมลึกและขบคิด
ทว่าด้านหลังเขา ขณะเกิดเสียงโครมคราม ในมวลอากาศว่างเปล่ามีร่างเงากึ่งโปร่งใสโผล่ออกมา ร่างเงานี้ระเบิดกระจุยกลายเป็นคลื่นลมม้วนถอยไป จนกระทั่งถอยมาหลายร้อยจั้งแล้วจึงสลาย
แทบเป็นช่วงที่ร่างเงากึ่งโปร่งใสระเบิดตายไป โดยรอบซูหมิงพลันมีร่างเงาเกือบร้อยโผล่มาจากอากาศ ร่างเหล่านั้นพากันหยุดชะงัก ลอยแน่นิ่งอยู่กลางอากาศ มองซูหมิงด้วยสายตาหวาดกลัว
ผ่านไปพักใหญ่ ซูหมิงไม่ตรึกตรองถึงวงแหวนอาคมนี้อีก ความรู้เรื่องวงแหวนอาคมนี้เขาได้มาจากหู่จื่อศิษย์พี่สามเป็นหลักๆ นอกจากนี้แล้วก็มีวงแหวนอาคมของเผ่าเซียนที่รับมาจากมรดกของหงหลัว
เขาจึงมองออกเพียงหนึ่งในประโยชน์ของวงแหวนอาคมนี้ นั่นก็คือการเคลื่อนย้าย ส่วนอื่นๆ เขามองไม่ค่อยออก
ซูหมิงยืนขึ้น แล้วกวาดสายตามองร่างกึ่งโปร่งใสรอบๆ ตัว วินาทีที่มองร่างเงาเหล่านั้น ทุกๆ ร่างล้วนตัวสั่น และพากันถอยไป ในความรู้สึกพวกมัน สายตาของซูหมิงคล้ายเป็นรูปธรรม ราวกับทะลวงผ่านร่างพวกมันได้
ซูหมิงกวาดสายตามองร่างเงากึ่งโปร่งใสเหล่านั้น ขณะกำลังจะละสายตากลับ นัยน์ตาพลันเพ่งมองร่างเงาที่ยืนอยู่ตรงมุมหนึ่ง
ร่างนี้เหมือนเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ตัวไม่สูง ทั้งตัวเลือนรางและกึ่งโปร่งใส ซูหมิงเหม่อมองมันครู่หนึ่ง ก่อนยกมือขวาคว้าเงาของเด็กหนุ่มคนนั้น ร่างนั้นจึงตรงเข้ามาหาซูหมิงโดยไม่อาจขัดขืน
ร่างนี้ลอยอยู่ตรงหน้าซูหมิง มีสีหน้าหวาดกลัวราวกับกำลังดิ้นรนและเปล่งเสียงร้องไร้เสียง ซูหมิงมองเขา แม้ร่างเงานี้จะเลือนราง ทว่าพอเข้ามาสังเกตใกล้ๆ ก็ยังพอเห็นเค้าโครงหน้าตา มองไปมองมา ซูหมิงเริ่มมีสีหน้าซับซ้อน
“อาหู่…” ซูหมิงนึกอยู่นาน จนในที่สุดก็นึกออกว่าคนนี้คือใคร นี่คือหนึ่งในเด็กหนุ่มสาวสองคนที่ตามเข้ามาในโลกเก้าหยิน
“ที่นี่เกิดเรื่องอะไรขึ้น…” ซูหมิงคลายมือออก ร่างเงาอาหู่ถอยไปอย่างรวดเร็วด้วยความกลัว ซูหมิงมองเขาถอยไป ก่อนค่อยๆ หลับตาลง
เขาแผ่ขยายจิตสัมผัสสู่โดยรอบอย่างเนิบนาบโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง ยามนี้เขาไม่สนใจว่าจิตแรกยังบ่มเพาะอยู่หรือไม่ เขาอยากรู้ว่าเหตุใดโลกเก้าหยินถึงเปลี่ยนไป
หลังจากขยายจิตสัมผัส เขาเห็นทั้งเมืองเชมันมีร่างกึ่งโปร่งใสอย่างอาหู่มากกว่าหลายหมื่นตน ร่างเหล่านี้ซ่อนอยู่ในซากปรักหักพัง เวียนว่ายอย่างสับสน ตาเนื้อมองไม่เห็น ต้องใช้จิตสัมผัสเท่านั้นถึงจะเห็นได้
ตอนที่ซูหมิงแผ่ขยายจิตสัมผัสอีกครั้ง เขาเห็นความต่างของหลายๆ จุดนอกซากเมืองเชมันและแผ่นดินกว้างใหญ่ ผ่านไปพักใหญ่ก็ลืมตาขึ้น
เขาหันศีรษะไปมองทอดไกล ตรงนั้น จิตสัมผัสเขาเห็นหุบเขาแห่งหนึ่ง ในหุบเขานั้น เขาเห็นชาวเผ่าเชมันอยู่ส่วนหนึ่ง อีกทั้งนอกหุบเขายังเห็นสิ่งมีชีวิตมีปีกยักษ์กลุ่มหนึ่งกำลังบินไปทางหุบเขาอย่างรวดเร็ว ดูจากจำนวนของพวกมันแล้วมีราวๆ หลายร้อยตัว ทุกตัวล้วนส่งเสียงคำรามด้วยความดุร้าย!
‘น่าเสียดาย จิตแรกยังต้องใช้เวลาบ่มเพาะอีกหลายเดือนถึงจะใช้จิตสัมผัสอย่างสมบูรณ์ได้ ตอนนี้เลยยากจะตรวจสอบอย่างละเอียด รอจนจิตแรกพร้อมเมื่อไร ค่อยใช้จิตสัมผัสอีกครั้ง เท่านี้ก็จะรู้ที่อยู่ของศพพิษขั้นวิญญาณหมาน หุ่นเชิดและมังกรแดง และยังมีชายชราเสื้อคลุมดำ ข้าไม่ปล่อยเขาไว้แน่ ขอแค่ยังอยู่ในโลกเก้าหยิน ข้าก็มีวิธีหาเขาพบ!
ทว่าในหุบเขายังมีเผ่าเชมันอยู่ ข้าน่าจะหาคำตอบได้จากที่นั่น’ ซูหมิงขยับกายวูบไหว กลายเป็นสายรุ้งตรงขึ้นท้องฟ้า ห้อเหยียดมุ่งหน้าไปยังหุบเขา
ในขอบเขตหนึ่งล้านลี้รอบซากเมืองเชมัน ณ หุบเขาที่อยู่อาศัยของเผ่าเชมัน เพราะดวงจันทร์ดวงที่สิบหายไป ผู้คนจึงตื่นกลัว ส่วนใหญ่จะตึงเครียด ไม่รู้ว่าในโลกเก้าหยินจะเกิดเหตุการณ์พิลึกอะไรอีกหรือไม่
ตรงมุมหนึ่งในหุบเขา ชายชราเสื้อคลุมดำมีร่างกายส่งกลิ่นเหม็นเน่าเปื่อย ยามนี้เขาตัวสั่นเทา แขนขวาที่เป็นแผลเหวอะลดต่ำลงมาจากระหว่างคิ้วอย่างเนิบๆ
ชายชราผู้นี้มีสีหน้าขมขื่น พลางถอนหายใจยาว
เมื่อครู่นี้ ที่นี่นอกจากเขาแล้ว ก็ไม่มีใครรู้สึกถึงจิตสัมผัสที่ขยายเข้ามา หากมิใช่เพราะเขาตื่นตัวตลอดเวลา แทบเป็นทันทีที่จิตสัมผัสขยายเข้ามา เขาใช้วิชาลับโดยไม่สนสิ่งใดเพื่อลบกลิ่นอายพลังของตัวเองทั้งหมดและหนีจากจิตสัมผัส มิเช่นนั้นแล้ว ตอนนี้จะต้องถูกพบตัวอย่างแน่นอน
‘ซู่มิ่งน่าจะกำลังมาที่นี่…’ ชายชราเสื้อคลุมดำหยิบขวดเล็กสีดำมาจากอกเสื้อ หลังจากลังเลครู่หนึ่งก็เก็บเข้าไป ไม่ได้เปิดออก
‘ยานี้ยังขาดสมุนไพรอีกสามชนิด หากกินตอนนี้ จะมีโอกาสแก้คำสาปสำเร็จเพียงส่วนเดียว หากล้มเหลว ข้าก็จะเสียสติสัมปชัญญะ ไม่ต่างอะไรกับความตาย…
ทว่าจากการตรวจสอบระลอกคลื่นจากจิตสัมผัสด้วยวิชาลับเมื่อครู่นี้ เขาน่าจะหาข้าไม่พบ ฉะนั้นข้าแค่ซ่อนตัวให้ดีก็น่าจะหลบเขาได้’
ชายชราเสื้อคลุมดำลังเลครู่หนึ่ง ก่อนยืนขึ้นแล้วกลับเข้าไปในถ้ำหินของตัวเอง หลังจากนั่งขัดสมาธิลงแล้ว ก็โคจรขั้นพลังตอนนี้อย่างสุดกำลังเพื่อใช้วิชาลับต่อ
‘หากไม่ใช่เพราะข้าโดนสาป ไม่ต้องให้เขามาหาข้าหรอก ข้าจะไปหาเขาเอง…ขอเวลาสามปี ข้ามั่นใจว่ายานี้จะมีโอกาสแก้คำสาปสำเร็จเพิ่มขึ้นมาเป็นห้าส่วน!’ ชายชราเสื้อคลุมดำส่ายศีรษะ พยายามระงับความเครียดในใจ และตกอยู่ในห้วงการนั่งฌาณ
แทบจะเป็นช่วงเวลาเดียวกันนี้ บนท้องฟ้านอกหุบเขาที่เผ่าเชมันอาศัยอยู่ มีหมอกดำเคลื่อนตัวเข้ามา ในหมอกดำนั้นมีสิ่งมีชีวิตประหลาดมีปีกสีดำและมีสีหน้าชั่วร้ายหลายร้อยตัว!
พวกมันเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ส่งเสียงคำรามเฉียบคมดังก้องฟ้าดิน เพียงแค่ชาวเผ่าเชมันที่ได้ยินเสียงคำรามนี้ก็ล้วนหน้าเปลี่ยน ดูหวาดกลัวและเคียดแค้น
การปรากฏของเมฆดำสร้างความตื่นตัวให้กับชาวเผ่าเชมันในหุบเขาทันที ชาวเผ่าเชมันส่วนใหญ่หลบอยู่ในถ้ำของตัวเอง จ้องสายรุ้งยาวจากท้องฟ้าด้วยความตึงเครียด
หนานกงเหินยืนอยู่บนแท่นหินในหุบเขา ด้านหลังเขามีคนเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่งสิบกว่าคน กำลังจ้องท้องฟ้าเขม็งเช่นกัน
“ท่าน ตอนนี้ให้ชาวเผ่าคนอื่นๆ ซ่อนตัวเรียบร้อยแล้ว วงแหวนอาคมคุ้มกันก็เปิดอยู่ในระดับสูงสุดแล้ว!”
“ธนูมารพร้อมใช้งานทั้งหมดแล้ว พร้อมยิงทุกเมื่อ!”
“พลังความตายจากแท่นบวงสรวงผู้สื่อวิญญาณเปิดเส้นทางแล้ว การสั่งสมครั้งนี้จะปล่อยพลังความตายได้สองครั้ง!”
“ชาวเผ่าที่ยอมสละชีวิตก็เตรียมพร้อมแล้ว พวกเขายินยอมจะใช้ชีวิตเพื่อโคจรวงแหวนอาคมคุ้มกัน!”
“สิบห้าปีแล้ว…” หนานกงเหินได้ยินคนข้างหลังกล่าว ก็มองสิ่งมีชีวิตประหลาดในหมอกดำที่กำลังเคลื่อนตัวมาอย่างรวดเร็ว พลางพึมพำเบาๆ
“ตั้งแต่เมืองเชมันล่มสลายจนถึงตอนนี้ก็สิบห้าปีแล้ว กำลังเสริมจากโลกภายนอกยังไร้วี่แวว จำนวนของเราเมื่อสิบห้าปีก่อนมีเกือบหมื่น หลังจากต่อสู้กันมาตลอด ตอนนี้เหลือไม่ถึงหนึ่งพันแล้ว…” หนานกงเหินกล่าวด้วยความเศร้าสลด
“นี่คือการล่าครั้งที่เท่าไรแล้วของเผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์ สู้เถอะ แม้ว่าต้องตายก็ตาม!”