ตอนที่ 49 วิธีที่สาม
ค่ำคืนแสงจันทร์ลมพายุรุนแรง!
ในเมืองหินโคลนแห่งเผ่าร่องลม มีเสียงลมครืนครืนพัดผ่าน ราวกับมีความอาฆาตแฝงอยู่ในสายลม ฝุ่นบนผืนดินม้วนตลบไปไกล ทำให้ดวงจันทร์บนท้องฟ้ามองดูแล้วรางเลือน
เงาคนจำนวนหนึ่งห้อเหยียดอยู่ในเมืองหินโคลนราวกับกำลังตามหาอะไรบางอย่าง ทว่าสุดท้ายแล้วก็ยังจับต้นชนปลายไม่ถูก กระทั่งตรงเส้นขอบฟ้าเริ่มเป็นสีขาว เงาคนเหล่านี้จึงค่อยจางหาย
เป่ยหลิงกลับมาถึงเรือนพักเผ่าเขาทมิฬด้วยใบหน้าซีดขาว ท่าทางอ่อนเพลีย ในค่ำคืนนี้เขาเสียโลหิตไปจำนวนมาก ร่างกายอ่อนแอแทบถึงขีดจำกัด อีกทั้งยังได้เห็นการต่อสู้อันน่าตะลึงกับตา!
หอกยาวที่ส่งเสียงหวีดร้องพุ่งเข้ามา พลิกผืนแผ่นดินสั่นสะเทือน และยังมีเสียงคำรามบ้าคลั่งของอูเซินที่ดังก้องข้างหูไม่เลือนหาย
ในสายตาของเป่ยหลิง อูเซินเป็นโอรสแห่งสวรรค์ในเผ่าร่องลม แม้ว่าทั้งสองคนจะอยู่ลำดับหกเทียบเท่ากัน ทว่าเป่ยหลิงทราบดี ตนไม่อาจเอาชนะอีกฝ่ายได้ กระทั่ง….ไม่กล้าเข้าประมือด้วย
การฝึกฝนพลังของอีกฝ่ายไม่ใช่เคล็ดวิชาหมานธรรมดา เทวรูปแห่งหมานที่เขาคารวะได้ยินว่าเป็นหนึ่งในเทวรูปที่ลึกลับอย่างยิ่งในเผ่าร่องลม จำเป็นต้องใช้พลังซากผีในการฝึกฝน หลอมรวมโลหิตหมานให้เป็นร่างศพ หากบรรลุถึงขั้นสูง ต่อให้เขาถล่มดินทลายทับก็ไม่อาจดับสูญ
“คนที่ต่อสู้กับอูเซินเป็นใครกัน…..มองไม่เห็นถึงขั้นพลัง ทว่ากลับทำให้อูเซินจนตรอกได้ถึงเพียงนี้ จะต้องเป็นบุคคลมีชื่อเสียงอย่างแน่นอน หรือว่าจะเป็นเผ่าภูผาดำ…..”
สีหน้าของเป่ยหลิงมืดครึ้ม เขาเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นเยาว์ของเผ่าเขาทมิฬ ทว่าเขาทราบดี เมื่อออกจากเผ่าเขาทมิฬแล้วเขาจะไม่ใช่อีกต่อไป
เป่ยหลิงกลับถึงเรือนพักด้วยสภาพจิตใจที่สับสนและงุนงงกับงานประลองในยามรุ่งสาง เขาเปิดประตูห้องของตน ทว่าขณะกำลังจะก้าวฝีเท้าเข้าไป เป่ยหลิงพลันชะงักงันไปทั้งตัว ดวงตาหรี่ลง เม็ดเหงื่อผุดขึ้นตามรูขุมขน สูดลมหายใจเข้าลึก ใบหน้าเผยความตื่นตะลึงและเหลือเชื่อ
บนโต๊ะในห้องของเขา มีโลหิตลอยอยู่กลุ่มหนึ่ง มันเปล่งแสงสีเขียวอ่อนวูบวาบดูแปลกยิ่งนัก มันคือโลหิตของเขาที่ถูกอูเซินบีบเค้นออกมาทั้งตัว
เป่ยหลิงตะลึงอยู่พักหนึ่ง ก่อนหมุนตัวกลับไปมองข้างหลัง ทว่ามันยังคงว่างเปล่าและเงียบสงัด หัวใจของเขาสั่นระรัว เดินเข้าไปในห้องอย่างสุขุม จ้องมองโลหิตที่คุ้นเคยบนโต๊ะ สีหน้าพลันเปลี่ยนไปไม่มั่นคง
“เขา…เป็นใคร…เหตุใดจึงช่วยข้า….” เป่ยหลิงคว้าโลหิต ทันทีที่สัมผัสโดน โลหิตกลุ่มนั้นพลันไหลเข้าสู่ร่างกายของเขากลายเป็นธารอุ่น เป่ยหลิงจึงรีบนั่งขัดสมาธิโคจรโลหิตทันที
ขณะเดียวกัน อีกห้องหนึ่งในเรือนพักเผ่าเขาทมิฬ ซูหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิบนพื้น ใบหน้าขาวซีด มุมปากมีคราบโลหิต ทว่าดวงตาของเขากลับสว่างไสว ก้มหน้ามองโลหิตสีเขียวเข้มในกำมือของตน มุมปากเผยรอยยิ้มเย็นชา
“นี่คือโอรสแห่งสวรรค์ของเผ่าร่องลมที่ไม่เคยถูกผู้ใดกดขี่ ทั้งยังสูงศักดิ์อย่างนั้นหรือ! ก็ไม่เห็นจะเก่งกาจสักเท่าไร หากข้าสำเร็จเพลิงแผดเผาครั้งที่สามแล้ว ด้วยหอกนี้ แม้สังหารมันไม่ได้ ทว่าจะให้เจ็บหนักคงไม่ใช่เรื่องยาก!” ซูหมิงเช็ดคราบโลหิตตรงมุมปาก นัยน์ตาฉายแววดุดัน
“ข้าบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้น เพียงโคจรพลังโลหิตก็ฟื้นฟูกลับมาได้ ทว่าเคล็ดวิชาวิชาหมานของมันพิสดารยิ่งนัก” ซูหมิงนึกถึงกองเพลิงเผาศพแห้งที่กำลังลุกไหม้กับเปลวไฟสีเขียว
“หากมีโอกาส คงต้องไปหาพวกเหล่าโอรสแห่งสวรรค์ให้หมดทุกคน! แต่ดูจากท่าทางคลุ้มคลั่งของอูเซินแล้ว เจ้าสิ่งนี้จะต้องสำคัญกับมันมากอย่างแน่นอน!”
ซูหมิงมองโลหิตสีเขียวเข้มในมือ ก่อนวางใส่แก้วเล็ก จากนั้นขบคิดอะไรบางอย่าง เขาชูมือขวาขึ้นคว้าอากาศ ราวกับมีแสงจันทร์พลันโอบล้อมอยู่นอกแก้วเล็ก ก่อนหายวับไป
หลังจากเก็บขวดเล็กเข้าไปในอกเสื้อแล้ว ซูหมิงจึงหลับตาโคจรพลังโลหิต รอจนกว่าตะวันจะทอแสง
เวลาล่วงเลยผ่านไป ไม่นานท้องฟ้าด้านนอกสว่างไสวขึ้นตามแสงสีขาวตรงเส้นขอบฟ้า ก่อนจะเข้าสู่ยามรุ่งอรุณ
ยามเช้าตรู่ในวันนี้แตกต่างจากทุกวัน เพราะว่าวันนี้เป็นงานประลองครั้งใหญ่ที่เผ่าร่องลมจัดขึ้นในทุกๆ หลายปี โดยยังมีเผ่าขนาดเล็กใกล้เคียงเข้าร่วมด้วย
ในงานประลองทุกครั้ง นอกจากจะเป็นการทดสอบนักรบหมานรุ่นเยาว์แล้ว ยังมีการแสดงจากทุกเผ่า แสดงให้เห็นถึงอนาคตของแต่ละเผ่าว่ารุ่นเยาว์มีพรสวรรค์หรือไม่ เพราะนี่จะเป็นตัวกำหนดถึงท่าทีของเผ่าร่องลมในภายภาคหน้า
เมื่อยามรุ่งอรุณมาเยือน
ภายใต้การนำของซานเหินและผู้นำกองรักษาการณ์ เหลยเฉิน อูลาและเป่ยหลิง เดินออกจากเรือนพักตามมัคคุเทศก์นำทางแห่งเผ่าร่องลมไป
ซูหมิงยืนอยู่นอกเรือน มองกลุ่มคนเดินจากไป เขาเห็นเหลยเฉินโบกมือให้ตน ใบหน้าของเขาดูมั่นใจยิ่งนัก
อีกทั้งยังเห็นความเหยียดหยามจากสายตาเรียบเฉยของอูลา นอกจากนี้ยังเห็นเป่ยหลิงที่เงียบขรึม สีหน้ากลับเป็นปกติ เดินจากไปโดยไม่มองตนแม้แต่หางตา
และยังมีท่านปู่ที่อมยิ้มพยักหน้าให้ รวมถึงผู้นำกองรักษาการณ์ที่มองมาด้วยความเสียดาย จนสุดท้ายซูหมิงเห็นซานเหินผู้เงียบขรึมเดินเข้ามาใกล้ หรี่สายตากวาดมองตนอย่างประหลาด
จนกระทั่งทุกคนค่อยๆ เดินลับสายตาไป ซูหมิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม เพียงแต่รูปร่างหน้าตาของเขาเปลี่ยนไปอย่างเชื่องช้า ไม่นานก็กลายเป็นชายหนุ่มร่างกำยำ สีผิวดำเล็กน้อย เผยกลิ่นอายความห้าวหาญ เหมือนกับชาวหมานทั่วไปไม่ผิดเพี้ยน
เพียงแต่รูปร่างของซูหมิงผิดแปลกไปจากเมื่อวาน งอบดำที่ท่านปู่มอบให้ช่างมหัศจรรย์ยิ่งนัก สามารถแปลงโฉมได้ตามใจชอบ
ซูหมิงยังคงยืนอยู่ที่เดิม ไม่มีท่าทีร้อนใจแม้แต่น้อย เพียงแต่มองท้องฟ้าและรอคอยอย่างสงบนิ่ง เขาทราบดีว่าวันนี้เป็นวันที่สำคัญมากสำหรับตนเองและท่านปู่ ในวันนี้เขาซูหมิงอาจจะเป็นดั่งม้ามืด หรือบางที…อาจจะดำดิ่งสู่เหวลึก
ซูหมิงไม่ทราบว่าท่ามกลางเงามืดมีขุมพลังบางอย่างกำลังรบกวนสรรพสัตว์หรือควบคุมโชคชะตาของผู้คนอยู่หรือไม่ ยามนี้เขามองท้องฟ้าสีน้ำเงิน บนผืนสีน้ำเงินมองไม่เห็นขอบฟ้า
“สิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนโลกใบนี้ ใครบ้างที่มองเห็นปลายขอบฟ้า….” คำกล่าวนี้เป็นอารัมภบทในตำราหนังสัตว์ ตอนซูหมิงได้อ่านมันครั้งแรก มันมอบแรงจูงใจและความสับสนแก่เขาอย่างลึกซึ้ง
‘ผู้คนมักใช้คำว่า ‘ใต้หล้า’ สองคำนี้ ความหมายของมันคือ ใต้ท้องฟ้า! หากท้องฟ้ามีชีวิต คงกดขี่ข่มเหง! กดขี่หมานอย่างพวกเรา ปรารถนาให้หมานอับอายในตนเอง….’ ประโยคดังกล่าวผุดขึ้นในความคิดของซูหมิง
บางครั้งเขามักจะรู้สึกว่าท้องฟ้าราวกับมีชีวิตจริงๆ เพียงแต่มันช่างรักสันโดษยิ่งนัก หากไม่รักสันโดษ แล้วเหตุใดผู้คนที่ซูหมิงพานพบถึงได้มีทั้งโอสถแห่งสวรรค์ บุคคลธรรมดา อัจฉริยะล้ำเลิศดั่งท่านปู่ทว่ากลับแก่ชรา กับคนที่เหยียบย่ำผู้อื่นเช่นบุรุษเสื้อคลุมม่วงทว่ากลับเป็นขั้นชำระล้าง!
มีความยุ่งเหยิงของสภาพจิตใจเป่ยหลิง มีอูเซินที่แย่งชิงพลังจากคนอื่น…
“การกดขี่ของสวรรค์ไม่มีรูปลักษณ์ มีเพียงต้องทนและพอใจกับมัน….หากไม่พอใจ ทำได้เพียงต้องพลิกสวรรค์อย่างนั้นหรือ?” ประโยคดังกล่าวเป็นอารัมภบทท่อนสุดท้ายในตำราหนังสัตว์
ซูหมิงยังคงไม่เข้าใจ จนกระทั่งถึงตอนนี้เขาก็เข้าใจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เขาเคยถามท่านปู่ คำตอบของท่านปู่ทำให้เขาเปลี่ยนแนวคิดใหม่!
‘ประโยคนี้ง่ายมาก ทว่าก็ซับซ้อนมากเช่นเดียวกัน ที่ว่าง่ายคือความหมายของมัน สวรรค์ปรารถนากดขี่พวกเราเผ่าหมาน ให้เลือกว่าจะคล้อยตามแล้วอยู่สุขสบาย หรือว่าจะเลือกทรยศ…..ทว่าประโยคสุดท้ายกลับเป็นรูปแบบคำถาม’
‘ตามที่ปู่เข้าใจ บางทีสิ่งที่ถามน่าจะเป็น นอกจากการทรยศแล้ว ยังมีวิธีต่อต้านอย่างอื่นอีกหรือไม่…รอเจ้าเติบใหญ่ก่อน บางทีเจ้าอาจได้เข้าใจมันอย่างลึกซึ้ง หากมีวันนั้นจริงๆ วันที่เจ้าบรรลุถึงระดับเดียวกับคำกล่าวนี้ เจ้าอาจจะนึกออกว่านอกจากคล้อยตามและทรยศแล้ว ยังมีวิธีที่สามอีกหรือไม่’
‘ถึงอย่างไรตำราหนังสัตว์เล่มนี้ก็เป็นสถานที่สุดท้ายที่ปู่ได้ไป ตลอดชั่วชีวิตของปู่ มันเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์หมานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่เคยเห็น! ที่นั่นเรียกว่าต้าอวี๋…เจ้าของตำราหนังสัตว์เล่มนี้ก็คือจ้าวหมานแห่งต้าอวี๋….’
ซูหมิงเงียบขรึม ยังคงมองท้องฟ้าสีน้ำเงิน ผ่านไปครู่ใหญ่มีเสียงฝีเท้าดังเข้ามา
ซูหมิงจึงละสายตาจากท้องฟ้าแล้วมองไป
พบว่าเป็นผู้อาวุโสเสื้อคลุมขาว ผมหงอกทั้งศีรษะ ใบหน้าผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ทว่ากลับดูเฉลียวฉลาด เขาคือสือไห่!
สือไห่มองซูหมิง มองใบหน้าแปลกตาของบุรุษตรงหน้า เขาไม่ทราบว่าเหตุใดจ้าวหมานจิงหนานถึงให้ตนมาจัดการเรื่องนี้ ให้เขามาที่นี่เพื่อแอบพาคนไปเข้าร่วมงานประลอง
“ตามข้ามา” สือไห่มองซูหมิงไม่ออกแม้แต่น้อย กล่าวจบจึงหมุนตัวกลับแล้วเดินไปเบื้องหน้า
ซูหมิงเดินตามหลังเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย
เมื่อเดินออกจากประตูใหญ่แล้ว พบว่าสือไห่สะบัดแขนเสื้อ ก่อนมีหมอกแผ่ขยายมาจากในร่างของเขา ปกคลุมทั่วตัวซูหมิงในชั่วพริบตา ซูหมิงใจสั่นไหวเล็กน้อย ทว่าก็ไม่ได้ถอยหนี ยังคงปล่อยให้หมอกม้วนตัวลอยขึ้นไปพร้อมกับสือไห่ กลายเป็นสายรุ้งห้อเหยียดยาวไกล
สองครั้งแล้วที่ซูหมิงได้มองผืนดินจากบนฟากฟ้า ในใจยังคงวิตกเล็กน้อย ทว่าความวิตกของเขาไม่อยู่ในสายตาของสือไห่ เขาไม่สนใจ แต่กลับเร่งความเร็วให้มากขึ้น ไม่นานก็พาซูหมิงข้ามเผ่าร่องลมเบื้องล่างตรงไปยังพื้นที่ราบกว้างไกลทางเหนือ
ซูหมิงมองพื้นที่ราบกว้างไกลจากบนท้องฟ้า ที่นั่นราวกับทะเลบนผืนดิน มองไปไม่เห็นพรมแดน ทว่าด้วยความเร็วของหมอก ไม่นานซูหมิงกลับรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว เหมือนกับว่าร่างกายปะทะกับสิ่งกีดขวางไร้ลักษณ์บางอย่าง เมื่อทะลวงผ่านไปแล้ว ฟ้าดินโดยรอบพลันบิดเบี้ยวประดุจเกิดระลอกคลื่นบนผิวน้ำ ก่อนได้ยินเสียงเย็นชาของสือไห่ดังขึ้น
“ถึงแล้ว!”
นี่ไม่ใช่พื้นที่ราบอย่างที่เห็น แต่เบื้องหน้ากลับเป็นภูเขาใหญ่ลูกหนึ่ง!
ซูหมิงไม่เคยเห็นภูเขาที่ใหญ่เช่นนี้มาก่อน! สูงกว่าภูเขาทมิฬมาก หากเทียบกันแล้ว ภูเขาทมิฬเป็นเหมือนกับเด็กทารกคนหนึ่ง ทว่าภูขาลูกนี่เป็นดั่งชายกำยำประดุจหอคอยเหล็ก!
มองขึ้นไปดูเหมือนว่าจะเสียบเมฆ ไม่เห็นยอดเขา ที่เห็นอยู่มีเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น ด้านบนมีหมอกขาวมหาศาลปกคลุม ความใหญ่ของมันน่าเหลือเชื่อจริงๆ!
ด้านบนเขา ซูหมิงเห็นรางๆ ว่ามีเส้นทางแบบขั้นบันไดเล็กจำนวนมากทอดยาวขึ้นไปด้านบน และหายไปในหมอกขาว
ตีนเขามีลานวงกลมยักษ์ รูปปั้นใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่รอบลานวงกลมเก้าองค์ ทุกองค์ล้วนแฝงไว้ด้วยกลิ่นอายหมานบรรพกาล ดูค่อนข้างดุดัน
ยามนี้บนลานใหญ่ยักษ์มีผู้คนอยู่หลายร้อยคน พวกเขาต่างแยกกันเป็นกลุ่มราวกับกำลังสนทนากัน การมาของซูหมิงทำให้เป็นเป้าสายตาของทุกคนทันที ทว่าหลังจากมองแล้วก็ละสายตากลับไป ไม่ทราบว่าพวกเขาวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างไร