ตอนที่ 499 เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่เหมือนกัน
ยามนี้โครงกระดูกในวิหารที่เก้าตัวสั่น ลามไปถึงโซ่รอบด้านและตะปูจนสั่นไหว อีกทั้งภูเขาลูกนี้ยังสะเทือนเบาๆ เขาจ้องมือซูหมิง จ้องเส้นผมบนนิ้วมือ ใบหน้าเหี่ยวแห้งค่อยๆ เปล่งแสงอ่อนจาง ขณะแสงลุกลามไป ร่างแห้งของเขาก็ฟื้นคืนพลังชีวิตกลับมา
“เลี่ยซานซิว…” ซูหมิงมีสีหน้าเช่นปกติ
ทว่าในใจกลับเกิดคลื่นลูกใหญ่ นี่คือครั้งแรกที่ได้ยินชื่อนี้ จากคำพูดอีกฝ่าย ชื่อนี้เป็นของเทพหมาน…เป็นของเทพหมานรุ่นหนึ่ง!
“วันนี้ข้าจะไม่เอาวิญญาณมังกรปราณปฐพีไปก็ได้ แต่ด้วยพลังเทพหมานนี้ ข้ามเรื่องที่ว่าเผ่าวิญญาณหยินของเจ้าต้องล้มตายไปก่อน เอาแค่ตรงนี้ที่ผนึกมังกรแดงฉานไว้ ดูแล้วคงจะเป็นสถานที่สำคัญของเผ่าวิญญาณหยิน!
หากทำลายมันจนสิ้นก็คงดี หรือหากข้าทำลายมันไม่ได้ ด้วยตัวข้าที่มีพลังเทพหมานนี้น่าจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร้อุปสรรค
ทว่า…หลังจากนั้น ข้าจะตามล่าเผ่าวิญญาณหยินที่อยู่ลำพังทุกคืนวัน และสังหารให้สิ้น!
ด้วยวิชาของข้า เจ้าก็เคยเห็นมาแล้วว่าข้าทำได้!” ซูหมิงระงับความตะลึงในใจพลางกล่าวอย่างเนิบช้า เขามีพลังของเทพหมาน แม้แต่ร่างแยกตี้เทียนยังสังหารได้ นี่คือสาเหตุที่เขามาช่วยมังกรแดงอย่างมั่นใจ และก็เป็นเป้าหมายแท้จริงที่ทำทุกวิถีทางเพื่อมาวิหารหลังที่เก้า!
หากใช้พลังเทพหมานตอนที่ยังไม่เข้าใกล้ เช่นนั้นการข่มขู่จะไม่ส่งผลอย่างตอนนี้ มีแค่ใช้พลังของตัวเองแล้วค่อยข่มขู่เท่านั้นถึงจะส่งผลที่ดีที่สุด!
โครงกระดูกในวิหารฟื้นร่างกลับมา แสงอ่อนในแววตาเด่นชัดขึ้นทุกที เขาจ้องเส้นผมบนนิ้วของซูหมิง มีสีหน้าซับซ้อนและหวนคะนึงคิด
“เลี่ยซานซิวเป็นคนแรกที่บุกมาถึงวิหารนี้…นั่นคือเรื่องที่เกิดขึ้นมานานมากแล้ว…กลิ่นอายพลังนี้เป็นของเขาไม่ผิดแน่ ไม่คิดเลยว่าเขาจะไปได้ถึงขนาดนั้น…”
พูดถึงตรงนี้ โครงกระดูกก็ถอนหายใจยาวก่อนมองซูหมิง
เขาได้ยินคำข่มขู่ของซูหมิงอย่างชัดเจน หากไม่มีพลังเทพหมาน เรื่องนี้คงเป็นเพียงเรื่องตลก ทว่ายามนี้ไม่ใช่เช่นนั้น!
“พวกเราตกลงกันได้…” โครงกระดูกคืนสภาพอย่างสมบูรณ์ ค่อยๆ ยืนขึ้นจากพื้น โซ่ที่พันธนาการตัวหลอมละลาย ตะปูเหล่านั้นคลายออกทีละจุดแล้วหายไป
จนกระทั่งโครงกระดูกยืนขึ้นเต็มตัว ตัวเขาไม่สูงนัก ไล่เลี่ยกับซูหมิง เขายืนอยู่ตรงนั้น บนตัวค่อยๆ ปรากฏเสื้อคลุมสีเหลืองขึ้น
ซูหมิงไม่กล่าวอันใด เพียงมองโครงกระดูกอยู่อย่างนั้น
“ข้าต้องการวิญญาณมังกรปราณปฐพีตัวนี้ เพราะพลังปราณปฐพีมีประโยชน์กับเผ่าข้ามาก…แต่ตอนนี้ หากเจ้าใช้พลังเทพหมานช่วยเผ่าข้า แค่วิญญาณมังกรเล็กจ้อยก็จะไม่สำคัญอีก!” โครงกระดูกกล่าวช้าๆ ขณะเอ่ยก็ยกมือขวากดไปบนพื้นดิน
สัญลักษณ์มังกรแดงฉานบนพื้นบิดเบี้ยว เสียงร้องคำรามดังก้อง สัญลักษณ์นั้นหลอมละลายปานถูกเปิดผนึก ก่อนจะปรากฏร่างมังกรแดงบินขึ้นมาทันใด สีหน้ามันห่อเหี่ยว บินตรงไปหาซูหมิง
ขณะเดียวกัน ข้างใต้ยอดเขานี้ วิญญาณหยินทั้งหมดในวิหารแปดหลังไม่ลงมืออีก แต่พากันถอยไปกลายเป็นรูปปั้นอีกครั้ง จากนั้นศพพิษก็ห้อเหยียดเข้ามาอยู่ข้างซูหมิง และยังมีงูน้อยพุ่งตามมาด้วย สุดท้ายจิตแรกของซูหมิงก็มาพร้อมกับระฆังเขาหาน
ระหว่างทาง ทั้งเผ่าวิญญาณหยินไม่มีใครขวาง แต่ปล่อยให้พวกเขากลับมาอยู่ข้างซูหมิง
“นี่คือความจริงใจของข้า” โครงกระดูกกล่าวช้าๆ พลางมองซูหมิง
“หากเจ้าตกลง ข้าจะปล่อยมังกรปราณปฐพีให้เจ้า และเจ้ายังได้ผูกมิตรกับเผ่าวิญญาณหยินด้วย มิตรภาพนี้จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์”
ซูหมิงมองระฆังเขาหานกับจิตแรกด้วยสีหน้าเรียบเฉย ก่อนมองโครงกระดูกแล้วกล่าวเสียงเย็นเยียบ
“ได้ยินว่าตอนนั้นเผ่าเชมันกับเผ่าสูงศักดิ์ของเจ้าก็เคยผูกมิตรกันแบบนี้”
ยามนี้โครงกระดูกคนดูเหมือนชายชรามากประสบการณ์ เขาส่ายศีรษะให้กับคำพูดของซูหมิง
“เผ่าเชมันกับเผ่าข้าไม่ได้เป็นมิตรกัน มันเป็นเพียงสัญญาเพื่อผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้น พวกเขาไม่ทำตามสัญญา หาเรื่องใส่ตัวเอง ไม่เกี่ยวกับสายเลือดวิญญาณหยินของข้า”
ซูหมิงขมวดคิ้วขึ้น ไม่กล่าวอะไร
“ช่างเถอะ บอกเจ้าไปคงไม่เป็นไร สัญญาของเผ่าข้ากับเผ่าเชมันคือ เผ่าข้าจะช่วยพวกเขาบุกเบิกที่นี่ในขอบเขตล้านลี้ อนุญาตให้สร้างเมืองเชมัน อีกทั้งยังให้อยู่ที่นี่ได้ และยอมปฏิบัติตามพวกเขาโดยมีของแลกเปลี่ยน
เพื่อเป็นการตอบแทน พวกเขาต้องส่งของที่เผ่าข้าต้องการมาให้ในทุกๆ ช่วงเวลา อีกทั้งทุกครั้งที่คนเผ่าข้าช่วยเหลือ ก็จะต้องมอบของที่พวกข้าต้องการเช่นกัน! นอกจากนี้ยังห้ามเผ่าเชมันส่งผู้แข็งแกร่งเข้ามาเยอะเกินไป…
ทว่าสิบห้าปีก่อน เผ่าเชมันทำลายสัญญา จนทำให้ที่นี่ต้องพังพินาศ” ชายชราสวมเสื้อคลุมเหลืองจากร่างโครงกระดูกกล่าวด้วยน้ำเสียงแก่ชรา
“หากข้าใช้พลังเทพหมานช่วยเผ่าเจ้า ข้าจะไม่มีอะไรให้ข่มขู่อีก หากเผ่าเจ้าเล่นตุกติก ข้าก็จะตกอยู่ในอันตรายมิใช่รึ” นัยน์ตาซูหมิงขยับประกายยามกล่าวช้าๆ
ชายชราเสื้อคลุมเหลืองเงียบงัน ค่อยๆ เดินออกจากวิหารใหญ่ไปยืนอยู่ข้างนอก มองยังฟ้าดิน
ซูหมิงถอยหลังไปหลายก้าว รักษาระยะห่างเอาไว้พอควร
“ทุกคนล้วนมีครอบครัว…” ผ่านไปนาน ชายชราพลันกล่าวด้วยเสียงแหบแห้ง
“เจ้ามี เผ่าเชมันมี เลี่ยซานซิวก็มี…ขณะเดียวกัน เผ่าวิญญาณหยินของข้าก็มีด้วย…ตอนนี้โลกเก้าหยินปิดผนึก คนนอกเข้ามาไม่ได้ คนในก็ออกไม่ได้ เจ้า…อยากออกไปหรือไม่?” ชายชราหันศีรษะมามองซูหมิง
ซูหมิงตะลึงในใจ ช่วงนี้เขาไม่อยากนึกถึงเรื่องนี้มาตลอด เรื่องทุกอย่างของเผ่าชะตาชีวิตทำให้เขาสนใจยิ่งนัก เขามีความรู้สึกรางๆ ว่าหากอยากออกไปจากโลกเก้าหยิน เกรงว่าจะเป็นเรื่องยากยิ่ง
แต่เขาไม่ละทิ้งความหวัง รอให้ทุกอย่างเรียบร้อยก่อน แม้หวังจะริบหรี่ ก็ต้องหาโอกาสออกไปจากที่นี่ให้ได้
“เจ้าช่วยเผ่าข้า และก็เป็นการช่วยตัวเองด้วย…” ชายชรากล่าวเนิบๆ
ซูหมิงเงียบไป
“เผ่าข้าร่วมมือกับเผ่าเชมันก็เพราะอยากได้ความสะดวกสบายที่เผ่าเชมันนำมาให้ สั่งสมของที่ต้องการให้มากพอ หลายต่อหลายปีมานี้ ทั้งหมดก็เพื่อเรื่องเดียวคือ…กลับบ้าน!
เพื่อเรื่องนี้พวกข้าถึงยอมร่วมมือกับเผ่าเชมัน ยอมปฏิบัติตามคำสั่ง และที่เผ่าข้าพามังกรแดงฉานมา ทุกอย่างนี้ก็เพื่อกลับบ้าน…
บ้านของเผ่าข้าไม่ใช่โลกเก้าหยิน ไม่ใช่โลกแท้จริงดาราสัจธรรม แต่คือโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่โลกแท้จริงอันยิ่งใหญ่ อยู่บนท้องฟ้ากระจ่างดาวที่ห่างจากที่นี่ไปไกลมาก!” ชายชรากล่าวเสียงเบา ทว่าด้วยคำพูดของเขา ซูหมิงกลับหายใจกระชั้น ในใจเกิดคลื่นลูกใหญ่โหมซัด
“เผ่าข้ายอมละทิ้งทุกอย่างเพื่อเรื่องนี้…ข้าที่เป็นวิญญาณชั่วร้ายในเผ่ามาหลายยุคสมัย ยอมเล่นละครเพื่อให้ชาวเผ่าเชมันในตอนนั้นเชื่อว่าเผ่าข้าแตกสลาย ศีรษะข้าถูกตัดแล้วถูกบวงสรวงอยู่กลางเมืองเชมัน กลายเป็นเชลยสงครามของเผ่าตรงข้าม และเป็นสัญลักษณ์แห่งความเกรียงไกรในระยะหนึ่งล้านลี้ของพวกเขา…” ชายชราพึมพำเบาๆ
‘โลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์…โลกแท้จริงดาราสัจธรรม….มหาสี่โลกแท้จริง!’
ซูหมิงนึกไปถึงคำพูดของจู๋จิ่วอินก่อนหน้านี้
“เผ่าเชมันไม่ทำตามคำสัญญา วางวงแหวนอาคมเมื่อสิบห้าปีก่อน คิดจะพาเผ่าเชมันจำนวนมากเข้ามา แต่เผ่าเชมันไม่รู้ว่าหากพวกเขาทำเช่นนั้นจริงๆ จะเป็นการสร้างภัยพิบัติให้กับโลกเก้าหยิน!
เพราะถ้ามีกลิ่นอายความตายหยินจากคนนอกเผ่าเข้ามามากเกินไป จะกระตุ้นอาวุธสังหารที่หลับใหลอยู่ของวิญญาณโลกนี้ มันจะเริ่มสังหารสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง…ฉะนั้นข้าจึงลงมือหยุดมันช่วงที่อาวุธสังหารของวิญญาณโลกเพิ่งเริ่มขึ้น!” ชายชราเสื้อคลุมเหลืองส่ายศีรษะ
“วิญญาณโลก?” ซูหมิงอึ้งงัน
“เจ้าเป็นชาวเผ่าของเลี่ยซานซิว มีพลังของเขาคุ้มกันอยู่ จึงไม่ถือว่าเป็นคนนอก…โลกเก้าหยินนี้ดูเหมือนโลกแห่งหนึ่ง ทว่าจริงๆ แล้วมันเป็นของวิเศษโลกแท้จริงของเผ่าวิญญาณหยิน!
ของวิเศษนี้ทรงอานุภาพมาก เป็นการฝึกฝนของฝั่งโลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ ใช้ข้ามผ่านผืนฟ้าดารา มีเพียงของวิเศษเช่นนี้เท่านั้นถึงจะมีพลังทำลายล้างโลก และข้ามผ่านไปมาระหว่างสองโลกแท้จริงได้!
ทว่าในอดีตนานมาแล้ว ข้าต้องปฏิบัติตามคำสั่งของวิญญาณแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ ตอนที่ออกมาข้างนอกเพื่อทำภารกิจ ขณะกำลังข้ามผ่านดันไปเจอกับมวลพายุดาราของโลกแท้จริงเข้า…ของวิเศษจึงเสียหายอย่างหนัก ข้าเลยต้องมาอยู่ที่นี่…จนกระทั่ง…ถึงตอนนี้”
ชายชราเสื้อคลุมเหลืองหวนนึกคิด กล่าวเบาๆ
จิตใจซูหมิงสั่นไหวอย่างรุนแรง ถอยไปหลายก้าวโดยไม่รู้ตัว มีสีหน้าเหลือเชื่ออย่างยากจะปิดบัง
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น เหตุใดถึงมีจู๋จิ่วอิน เหตุใด…” ซูหมิงพลันกล่าว
“จู๋จิ่วอิน สายเลือดจิ่วอิน หนึ่งในเก้าศักดิ์สิทธิ์…สิ่งที่เจ้าเห็นไม่ใช่ว่ามันตายไปแล้วรึ…ภารกิจของเผ่าข้าในตอนนั้นคือคำสั่งที่วิญญาณแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์สั่งการด้วยตัวเอง ให้เผ่าข้าเดินทางไปยังอีกสามโลกแท้จริงแล้วรวบรวมศพที่แข็งแกร่งทั้งหมดมา…ความแข็งแกร่งของบรรพชนของเผ่าข้าห่างไกลเกินกว่าที่เจ้าในตอนนี้จะมองเห็น…” ชายชราเสื้อคลุมเหลืองมองซูหมิง
‘เผ่าค้างคาวศักดิ์สิทธิ์ เผ่าล่องลอย เผ่าวิญญาณหยิน จู๋จิ่วอิน นี่ยังอยู่แค่ในระยะหนึ่งล้านลี้เท่านั้น…หากที่ชายชราพูดเป็นจริง…มิน่าที่นี่ถึงสลับซับซ้อนนัก!’
ซูหมิงหายใจกระชั้น ในความคิดประมวลทุกอย่างที่ชายชราพูดอย่างรวดเร็ว เขารู้สึกรางๆ ว่าอีกฝ่ายน่าจะไม่ได้โกหก
ซูหมิงกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง ทว่าในใจพลันสั่นไหว เขาพลันนึกออกว่าเมื่อครู่ตอนชายชราคนนี้เอ่ยถึงอาวุธสังหารของวิญญาณโลก ก็พูดถึง…กลิ่นอายมรณะหยินจากโลกภายนอก!?
“กลิ่นอายมรณะหยินหมายความว่าอย่างไร?”
“ในอดีตนานมาแล้ว แม้ความแข็งแกร่งของเผ่าข้าจะพอเรียกได้ว่าติดหนึ่งในสิบ หากแต่…เจ้าคิดหรือว่าด้วยระยะเวลาที่ผ่านมาไม่รู้กี่ปีนี้ คนเผ่าข้าทั้งหมดจะมีชีวิต
นิรันดร์…โดยเฉพาะตอนของวิเศษเสียหายอย่างหนักในครั้งนั้น คิดว่าพวกเรา…จะยังมีชีวิตรอดอยู่อีกหรือ?” ชายชราเสื้อคลุมเหลืองเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วมองซูหมิงด้วยสายตาซับซ้อน
ซูหมิงตะลึงงัน หน้าพลันเปลี่ยนสี เขานึกไปถึงตอนที่ชายชรายังไม่ฟื้นคืนชีพ ยังเป็นโครงกระดูกคนตายในวิหารใหญ่!
“จะ…เจ้าตายไปแล้ว?” มีเสียงโครมดังในความคิดซูหมิง
“ก็ใช่” ชายชราถอนหายใจ
“ในเมื่อตายไปแล้ว เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ตรงนี้! ตอนนี้เป็นวิญญาณ? เป็นเศษเสี้ยวจิตหรือ?” ซูหมิงพยายามระงับความตะลึงในใจ เขานึกไปถึงจิตของจู๋จิ่วอิน ก็ยังพออธิบายทุกอย่างได้
ชายชราเงียบงัน เขาเงยหน้ามองท้องฟ้า ผ่านไปนานก็มองซูหมิงอีกครั้ง ความซับซ้อนในสีหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ
“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่เหมือนกัน?”