Skip to content

สู่วิถีอสุรา 510

ตอนที่ 510 เจ็ดสี

บนผิวทะเล ห่างจากซูหมิงไปราวหนึ่งพันลี้ ยามนี้บนท้องฟ้ามีกลุ่มสัตว์ปีกฝูงใหญ่กำลังบินวน ลักษณะสัตว์ปีกเหล่านี้ต่างจากที่ซูหมิงเคยเจอ มันมีสามกรงเล็บ อีกทั้งศีรษะยังใหญ่กว่าเล็กน้อย ทุกตัวมีขนาดราวครึ่งจั้ง

“แกว๊ก…แกว๊กๆ”

เสียงร้องปานเด็กทารกร้องไห้ดังกังวาน นี่เป็นเสียงเฉพาะของสัตว์ปีกชนิดนี้ ตรงกลางวงล้อมสัตว์ปีกมีชาวเผ่าเชมันหกคนหน้าขาวซีด กำลังต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง

ทว่าหกคนนี้มีพลังสูงสุดเพียงจุดสูงสุดของเชมันระดับกลางเท่านั้น ภายใต้การล้อมโจมตีของสัตว์ปีกจำนวนมากจึงยากจะยืนหยัดได้นาน คล้อยหลังเสียงร้องโหยหวนดังขึ้น จากหกคนก็ค่อยๆ กลายเป็นห้าคน ครู่ต่อมาก็เหลือเพียงสองคน

คนหนึ่งเป็นเด็กหนุ่มใบหน้าซีดขาว สีหน้าตื่นกลัว ท่าทางอายุราวสิบห้าสิบหกปี รูปลักษณ์หล่อเหลายิ่งนัก อีกคนหนึ่งเป็นสตรีวัยกลางคน นางมีใบหน้าธรรมดา ทว่าจะปกป้องเด็กหนุ่มเสมอ ดูเหมือนเป็นมารดา ทว่าใบหน้าไม่คล้ายกัน

ยืนหยัดได้ไม่นานนัก สตรีนางนั้นก็ถูกสัตว์ปีกตัวหนึ่งจับศีรษะเอาไว้แล้วกระชากมาในกลุ่ม ก่อนนางจะกลายเป็นเศษเนื้อท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน

“สนมรักของข้า!” เด็กหนุ่มร้องลั่นด้วยความเศร้า น้ำตาคลอเบ้า สีหน้าเศร้าโศก

“เจ้าเป็นสนมคนที่สามสิบเก้าของข้า ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะจากไปแล้ว แล้วข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร…” เด็กหนุ่มมีสีหน้าเศร้าโศกถึงที่สุด ดวงตาแดงเถือก ตะโกนใส่สัตว์ปีกดุร้ายที่กระโจนเข้ามาจากรอบๆ

“ย่ามันเถอะ เราเป็นพวกเดียวกัน พวกเจ้าไม่ไว้หน้าข้าเลย ขะ…ข้าโกรธแล้ว!”

ครั้นเห็นสัตว์ปีกเข้ามาใกล้เรื่อยๆ เด็กหนุ่มก็กัดฟัน ร่างกายส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ ก่อนกลายเป็นหมอกดำ ทำให้สัตว์ปีกเหล่านั้นหยุดชะงักทันใด ขณะเดียวกันหมอกพลันรวมตัวขึ้นกลายเป็นนกกระเรียนดำ!

นกกระเรียนส่งเสียงร้อง กระพือปีกบินวนรอบสัตว์ปีกเหล่านั้นหลายรอบ ราวกับบอกพวกมันว่าตนก็มีปีกเช่นกัน…..

“เห็นหรือไม่? ข้าก็เป็นสัตว์ปีกเช่นกัน พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันนะ…”

หลังจากสัตว์ปีกเหี้ยมโหดหยุดชะงักจากการแปรเปลี่ยนร่างของเด็กหนุ่ม พวกมันก็ตรงเข้ามาอีกครั้งอย่างไม่ลังเล กระเรียนดำพลันเบิกตากว้าง ดูเศร้าโศกอย่างสุดซึ้ง

“พะ….พวกเจ้าทำเกินไปแล้ว!” ตัวกระเรียนดำส่งเสียงดังเปรี๊ยะๆ อีกครั้งก่อนจะกลายเป็นหมอก ทว่าหมอกรวมตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว แล้วกลายร่างเป็นสัตว์ปีกสามกรงเล็บเหมือนกับพวกมันทุกประการ

ครั้งนี้สัตว์ปีกเหล่านั้นพากันอึ้งงัน ด้วยสติปัญญาที่ไม่สูง พวกมันจึงไม่ค่อยเข้าใจเรื่องตรงหน้า นัยน์ตาเหี้ยมโหดฉายแววลังเลใจ แต่ถึงกระนั้นกลับทำให้กระเรียนดำที่กลายร่างเป็นพวกมันตึงเครียดอย่างยิ่ง

“แกว๊ก…แกว๊กๆ…แกว๊กๆๆ…”

กระเรียนดำรีบร้องด้วยความตระหนก เลียนแบบเสียงของสัตว์ปีกกลุ่มนี้และตะโกนเร็วๆ

บางทีเสียงพิลึกนี้อาจได้ผล หรืออาจเป็นเพราะไกลออกไปมีสายรุ้งยาวพลันปรากฏขึ้น จึงดึงดูดความสนใจของสัตว์ปีกไป หลังจากนกกระเรียนดำร้อง สัตว์ปีกโดยรอบก็หันไปมองสายรุ้งยาวที่อยู่ไกลๆ ก่อนร้องเสียงดังปานเด็กทารกร่ำไห้พร้อมกับบินไปทางนั้น

เดิมทีนกกระเรียนดำคิดจะจากไป ทว่ากลับต้องติดตามอยู่ในกลุ่มสัตว์ปีก ไม่กล้าออกไปตัวเดียว เพราะจะดึงดูดความสนใจเข้า จึงกัดฟันตามกลุ่มสัตว์ปีกไปยังสายรุ้งยาวด้วย

ขณะบินเห็นสัตว์ปีกรอบตัวร้องเสียงแหลม มันจึงร้องตะโกนอย่างเต็มที่โดยไม่ลังเล

“แกว๊ก…แกว๊กๆ…แกว๊กๆๆ…แกว๊กๆๆๆ…” กระเรียนดำร้องไปร้องมาก็รู้สึกคล่องปาก นึกขึ้นได้ว่าที่ตนรอดมาได้ก็เพราะร้องเสียงแบบเดียวกันจึงลำพองใจ ทำอย่างสุดความสามารถยิ่งกว่าเดิม ในกลุ่มสัตว์ปีกจำนวนมากนี้ เสียงแกว๊กๆ ของเขาดังมากที่สุด

ซูหมิงแปลงเป็นสายรุ้งยาวบินผ่านไปอย่างรวดเร็ว บ้างก็ใช้การเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาเพื่อหลบภยันตรายรวมถึงการไล่ล่าที่สลัดไม่หลุด และยังได้สัมผัสกับสิ่งมีชีวิตแกร่งกล้าในทะเลมรณะและบนอากาศอย่างลึกซึ้ง เพียงแค่ไม่กี่วันเขาก็เจอมาหลายตัวแล้ว

หากมิใช่เพราะมีจิตสัมผัสแก่กล้าและยังใช้การเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาได้ เกรงว่าคงยากจะหลบพ้น

ยามนี้ขณะห้อเหยียด ไม่นานนัยน์ตาเขาก็เพ่งสมาธิมอง เห็นตรงหน้ามีสัตว์ปีกที่ไม่เคยเห็นมาก่อนกลุ่มหนึ่งกำลังบินเข้ามาพร้อมส่งเสียงร้อง สัตว์ปีกเหล่านี้ดูต่างจากสัตว์ปีกที่ซูหมิงเคยเห็นมาก่อนอย่างชัดเจน อีกทั้งความเร็วยังมากกว่าไม่น้อย

นอกจากนี้พวกมันยังกระจัดกระจายกัน ขวางเส้นทางตรงหน้าซูหมิงไว้ พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้ ซูหมิงมีสีหน้าเย็นชา ตรงไปยังกลุ่มสัตว์ปีกอย่างไม่ลังเล

ทั้งสองฝ่ายเพิ่งเข้าใกล้กัน ข้างกายซูหมิงพลันมีแสงดำขยับวูบวาบ สัตว์ปีกที่ขวางอยู่ตรงหน้าทยอยกันกรีดร้องขณะร่างถูกทะลวง ซูหมิงลงมืออย่างเด็ดขาด เขาไม่หยุดเพียงเท่านี้ ดูจากลักษณะแล้วเหมือนอยากจะฝ่าออกไปจากพันธนาการสัตว์ปีก

เรื่องแบบนี้ซูหมิงเคยทำมาหลายครั้งในช่วงหลายวันที่ผ่านมา ไม่ต้องสังหารทั้งหมด ขอแค่เปิดเป็นช่องว่างแล้วทะลวงผ่านก็จะสลัดสัตว์ปีกเหล่านี้ออกไปได้ เว้นแต่จะเจอกับนกยูงห้าสีเมื่อสามวันก่อน มิเช่นนั้นแล้วก็ไม่มีปัญหา

ครั้นนึกถึงนกยูงตัวนั้น ซูหมิงยังคงหวาดกลัวอยู่บ้าง ความแกร่งของมันคือแสงห้าสีซึ่งมีพลังปั่นป่วนจิตใจ!

ขณะเดินหน้า ซูหมิงชูนิ้วชี้มือขวา ทุกครั้งที่กดลงจะมีสัตว์ปีกตัวหนึ่งร่างแหลกกระจุย ผ่านไปราวสิบลมหายใจ ซูหมิงก็ฝ่าเข้ามาถึงส่วนลึกของฝูงสัตว์ปีก อีกไม่ไกลเขาก็จะทะลวงออกจากพันธนาการสัตว์ปีกดุจลูกศรได้

ทันใดนั้น เขาเห็นสัตว์ปีกสามกรงเล็บตัวหนึ่งกำลังร้องแกว๊กๆ เหมือนคิดจะถอย ทว่ากลับถูกสัตว์ปีกตัวอื่นที่กำลังพุ่งเข้ามาขวางเอาไว้ มันจึงถูกผลักไปหาซูหมิง

ซูหมิงก้าวเดินพลางยกมือขวาขึ้น ชี้ไปยังสัตว์ปีกที่มีสีหน้าหวาดกลัวและร้องแกว๊กๆ ไม่หยุด แต่วินาทีที่กดปลายนิ้วลง สัตว์ปีกตัวนั้นไม่ร้องแกว๊กๆ อีก แต่เบิกตากว้างแล้วร้องเสียงแหลม

“ข้าเอง ข้าเอง…ข้าไม่ใช่พวกมัน ขะ…ข้าคือนกกระเรียนตัวนั้น!” สัตว์ปีกที่กลายร่างจากนกกระเรียน ยามนี้ร้องตะโกนเสียงดังด้วยความตื่นกลัว เหมือนกลัวว่าซูหมิงจะไม่เชื่อ ใบหน้ามันจึงกลายเป็นหมอกดำ แล้วเผยให้เห็น….ศีรษะนกกระเรียนแทน

ซูหมิงตะลึงงัน นิ้วชี้มือขวาพลันหยุดชะงัก ยังไม่ทันจะได้ขบคิด แสงห้าสีก็ขยับวูบวาบมาทางซูหมิง พบว่าเป็นสัตว์ปีกลักษณะนกยูงห้าสีที่ไล่ตามเขาเมื่อหลายวันก่อน ตอนนี้มันกำลังตรงเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุด

ซูหมิงหน้าเปลี่ยนสี ไม่สนใจกระเรียนดำอีก แต่หมุนตัวทะลวงไปยังสัตว์ปีกข้างหน้า เสียงระเบิดดังก้องกังวาน เขาพุ่งออกมาจากวงล้อมสัตว์ปีกเหล่านั้นและใช้ความเร็วสูงสุดบินไกลออกไป

สัตว์ปีกกลุ่มนั้นส่งเสียงร้องก่อนบินตาม และยังมีนกยูงห้าสีตัวนั้น มันขยับวูบไหวบินผ่านกลุ่มสัตว์ปีก ไล่ตามซูหมิงไป นัยน์ตาฉายแววเคียดแค้น ประหนึ่งว่าหากไล่ไม่ทันก็จะไม่ยอมเลิกรา

ซูหมิงอยู่ข้างหน้า นกยูงห้าสีอยู่ข้างหลัง สัตว์ปีกกลุ่มใหญ่อยู่หลังสุด พริบตาเดียวก็ห่างออกไปไกล เหลือไว้เพียงนกกระเรียนดำที่เผยเพียงใบหน้ากระเรียน มันกะพริบตาปริบๆ จากนั้นหัวเราะเสียงดังด้วยความลำพองใจ ทั้งยังมีสีหน้าตื่นเต้นกว่าเดิม

“มารดาเจ้าเถอะ จะเปลี่ยนทั้งทีต้องเป็นนกใหญ่ห้าสีตัวนั้นถึงคู่ควรกับฐานะของข้า! ข้าอยากรู้นัก หลังจากเป็นนกใหญ่แล้วใครจะกล้ารังแกข้าอีก!

ใครรังแกข้า ข้าจะทำให้มันตกใจตายก่อน!” ขณะกระเรียนดำลำพองใจ ร่างมันก็ส่งเสียงเปรี๊ยะๆ แล้วกลายเป็นหมอกดำ ก่อนค่อยๆ รวมขึ้นเป็นนกยูงห้าสี

มันมองตัวเองอย่างตื่นเต้น เชิดหน้าขึ้นอย่างสง่างาม ค่อยๆ บินไกลออกไป…

“ห้าสีก็ยังน่ากลัวขนาดนี้ ถ้าข้าเปลี่ยนเป็นเจ็ดสีจะน่าตกใจกว่านี้หรือไม่?”

บินไปได้ไม่ไกล นกยูงห้าสีจากกระเรียนดำครุ่นคิด ทั้งตัวกลายเป็นหมอกดำอีกครั้ง ครู่ต่อมาก็ปรากฏนกยูงเจ็ดสีที่งดงามตัวหนึ่งกลางฟ้าดิน บินไปไกลพร้อมกับความหยิ่งยโสและอวดดี

กลับมาที่ซูหมิง หลังจากเคลื่อนย้ายติดต่อกันหลายครั้ง ในที่สุดก็หลุดพ้นจากนกยูงห้าสีชั่วคราว หลายวันก่อนตอนที่เจอกับนกยูงห้าสีครั้งแรกก็เคยต่อสู้กันครั้งหนึ่ง ทว่าแสงห้าสีของนกยูงไม่เพียงแต่ปั่นป่วนสติ มันยังแฝงไว้ด้วยพลังพิลึก ขั้นพลังซูหมิงจึงถูกระงับเอาไว้ไม่ให้ใช้ได้ทั้งหมด

อีกทั้งทุกครั้งที่นกยูงปรากฏตัว มักจะมีสัตว์ปีกรวมตัวเข้ามาจากโดยรอบจำนวนมาก เมื่อเป็นเช่นนั้นการต่อสู้ก็จะยิ่งยาก หากถูกสัตว์ปีกหลายหมื่นไปจนหนึ่งล้านตัวปิดล้อม ซูหมิงคงต้องแย่แน่ๆ

เวลานี้หลุดพ้นจากนกยูงแล้ว ซูหมิงจึงหยิบแผ่นไม้บันทึกขึ้นมา เมื่อตรวจสอบตำแหน่งครู่หนึ่งแล้วก็สูดลมหายใจเข้าลึก จากนั้นห้อเหยียดต่อไป

หลายวันต่อมาซูหมิงบินอ้อมรอบใหญ่หลายรอบเพื่อหลบพื้นที่น่าเกรงขามในความรู้สึก จนในที่สุดก็มาถึงผิวทะเลเชี่ยวกรากจุดหนึ่ง

เขายืนอยู่กลางอากาศ ก้มหน้ามองผิวทะเล มีสีหน้าปลงอนิจจังเล็กน้อย ดูตามแผนที่แล้ว ที่นี่ก็คือถ้ำของเขา

เพียงแต่ว่าตอนนี้มันอยู่ในส่วนลึกของทะเล…

ตอนนี้ซูหมิงได้สัมผัสอย่างลึกซึ้งถึงคำว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เขาเงียบอยู่พักหนึ่ง ก่อนวูบไหวตัวมายังผิวทะเลแล้วหายลงไปข้างใต้

เพิ่งดำดิ่งลงมา ซูหมิงพลันรู้สึกถึงแรงผลักมหาศาลจากน้ำทะเล มันม้วนตัวเขา ผลักให้ไกลออกไป เป็นแรงผลักนี้เองที่ขับเคลื่อนทะเลมรณะ

ซูหมิงขยับแสงสีทองวูบวาบทั้งตัว ฝืนต้านแรงผลักนี้เอาไว้ อีกทั้งยังแผ่ขยายจิตสัมผัสพลางว่ายไปยังก้นทะเลอย่างรวดเร็ว โดยรอบมืดมิด ดีที่ว่าแม้จิตสัมผัสจะขยายไปได้ไม่ไกลนัก แต่ก็ยังเห็นรอบๆ ตัว

อีกทั้งก้นทะเลไม่ได้ลึกมาก ครู่ต่อมาซูหมิงก็หลบสัตว์ทะเลดุร้ายจำนวนหนึ่ง จนค่อยๆ เห็นเทือกเขาคล้ายปากมังกรตรงก้นทะเลลึก…และยังมีรอยแยกยักษ์นอกเทือกเขา รวมถึงม่านแสงสลัวๆ…

ม่านแสงนี้คือวงแหวนอาคมของหงหลัวที่วางเอาไว้ในตอนนั้น ยามนี้ผ่านมาสิบห้าปีแล้วก็ยังคงอยู่ เพียงแต่มันดูอ่อนลงไปมากอย่างเห็นได้ชัด ฉะนั้นจึงไม่อาจอำพรางเทือกเขานี้ได้อีก แต่การป้องกันก็ยังพอใช้ได้

ซูหมิงตรงเข้าไปยังม่านแสงในพริบตาเดียว หลังจากใช้มือขวากดแล้ว ร่างเขาก็หลอมละลายเข้าไปด้านใน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version