ตอนที่ 55 ค่ำคืนแสงจันทร์เป็นของเขา
ณ บันไดขั้นที่เจ็ดสิบเก้า ซูหมิงยังคงนั่งอยู่ที่เดิม เมื่อมองไปรอบๆ โดยเฉพาะดวงจันทร์บนท้องฟ้าแล้ว อีกไม่นานจะเข้าสู่กลางดึก แม้จะกล่าวเช่นนั้น ทว่าในค่ำคืนแสงจันทร์นี้ซูหมิงก็ยังค่อนข้างรู้สึกสบาย
หลังจากฝึกวิชาหมานเพลิง ซูหมิงชอบค่ำคืนแสงจันทร์ยิ่งขึ้น โดยเฉพาะดวงจันทร์เต็มดวง ทว่าตั้งแต่ฝึกวิชาหมานเพลิงมา เขายังไม่เคยเห็นดวงจันทร์เต็มดวงเลย
แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยปรากฏมาแล้วหนึ่งครั้ง ทว่าในวันนั้นกลับเป็นคืนเมฆดำปกคลุมจันทรา ในถ้ำภูเขาไฟเขาสัมผัสได้ถึงอาการเต้นตุบๆ ไม่หยุดในร่างกาย ทว่าท้ายที่สุดก็เปลี่ยนแปลงไปไม่มาก ตามที่ซูหมิงวิเคราะห์ หากคืนนั้นไม่มีเมฆดำปกคลุม บางทีอาจจะเกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนกว่านี้
ทว่าน่าเสียดาย ยามนี้ดวงจันทร์ไม่เต็มดวง ทว่าซูหมิงก็ยังรู้สึกสบายอยู่ดี ในขณะเดียวกัน เขายังสัมผัสได้ว่าแรงต้านจากบนเขาตามจำนวนขั้นบันไดเหมือนจะเพิ่มมากขึ้นอย่างเด่นชัด และเริ่มรุนแรงขึ้น
“จ้าวหมานเผ่าร่องลมเคยบอกว่า แรงต้านยามค่ำคืนบนเขาจะเพิ่มมากขึ้น คงเป็นเช่นนั้นจริงๆ” ซูหมิงยิ้มเล็กน้อย ก่อนเลิกสนใจเรื่องดังกล่าว ในความคิดของเขา ค่ำคืนเพิ่มแรงต้านให้เขาลูกนี้ก็จริง ทว่ามันเป็นช่วงเวลาที่พลังซูหมิงถึงจุดสูงสุดเช่นเดียวกัน
ซูหมิงในยามค่ำคืน น่ากลัวกว่ายามเที่ยงวันหลายขุม!
ซูหมิงละสายตาจากดวงจันทร์ แล้วนั่งขัดสมาธิลงบนขั้นที่เจ็ดสิบเก้า สูดลมหายใจเข้าลึก สัมผัสถึงความเปลี่ยนแปลงตรงบริเวณนี้อย่างสุขุม
เป็นดั่งที่เขาคิดเอาไว้จริงๆ ตรงจุดนี้มีแรงต้านที่สมดุลกัน แม้จะกล่าวเช่นนั้น ทว่ากลับมีความรุนแรงยิ่งกว่าขั้นที่สามสิบสองมาก เหมาะสำหรับการฝึกฝนควบคุมความละเอียดอ่อนของพลังโลหิตในร่างยิ่งนัก ทำให้การปรากฏและลดลงของเส้นเลือดแม่นยำมากยิ่งขึ้น
ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงซูหมิงในเวลานี้ หลังจากควบคุมโลหิตในกายได้แล้ว ทำให้ก่อนหน้านี้ปรากฏเส้นเลือดเพิ่มขึ้นมาอีกสามเส้น อีกเส้นเดียวก็จะทะลวงสู่ลำดับห้าขั้นรวมโลหิต! นี่เป็นสิ่งที่ซูหมิงเฝ้าปรารถนา เขาอยากทราบว่าเมื่อฝึกฝนขั้นที่เจ็ดสิบเก้าเพียงพอแล้ว ตอนเขายืนขึ้นเพื่อก้าวต่อไป จะปรากฏเส้นเลือดเพิ่มมากี่เส้น!
ซูหมิงหลับตาอย่างเชื่องช้า โคจรพลังโลหิตอย่างเงียบๆ และเริ่มควบคุมโดยละเอียดอ่อนอีกครั้ง ลองทำให้ความเร็วในการโคจรโลหิตลดลงตามใจปรารถนาทีละน้อย
เส้นเลือดห้าสิบสองเส้นบนตัวเขาค่อยๆ ลดน้อยลงอย่างต่อเนื่องและมั่นคง จนไปถึงขีดจำกัดตอนอยู่บนขั้นที่สามสิบสอง เพียงแต่เหตุเพราะได้เพิ่มมาอีกสามเส้น จึงทำให้บนตัวของเขาในยามนี้เหลือเส้นเลือดสี่สิบเส้น!
สีหน้าซูหมิงเรียบเฉยไม่ร้อนรน ค่อยๆ โคจรพลังโลหิต ตั้งสมาธิอยู่กับการควบคุมความละเอียดอ่อน ไม่นานก็ผ่านไปหนึ่งชั่วยาม
บนภูเขาในตอนนี้มีหลายคนหยุดเดินต่อ เลือกนั่งบำเพ็ญอยู่บนขั้นบันได ในขณะพักฟื้นร่างกาย พลางสังเกตอันดับรายชื่อบนตราหินในมือพร้อมกับรอตะวันทอแสงเพื่อแข่งขันต่อ
อูเซินหอบหายใจแรง ใบหน้าขาวซีด ยามนี้กัดฟันขึ้นไปจนถึงขั้นที่สองร้อยเก้าสิบห้า จนในที่สุดก็ทนไม่ไหวจึงนั่งลง สีหน้าของเขามืดทะมึน มองทอดยังหมอก นัยน์ตาเริ่มฉายแววสับสน
‘โลหิตต้นกำเนิดพลังซากศพของข้า…สมควรตาย เจ้าคนนั้นชิงโลหิตต้นกำเนิดของข้าไป ไม่มีโลหิตนั่น ไม่เพียงแต่การฝึกฝนของข้าจะไม่ก้าวหน้า แม้แต่ความเร็วยังลดลง…ตอนนี้ข้ารู้สึกได้ถึงความอ่อนแอของตนแล้ว…
เรื่องนี้จะบอกท่านปู่ไม่ได้เด็ดขาด หากท่านปู่รู้ว่าโลหิตต้นกำเนิดพลังซากศพหายไป ต่อให้ช่วยข้าได้ ข้าก็คงไม่อยู่ในสายตาของเขาอีกต่อไป…’ นึกถึงผลลัพธ์ที่น่ากลัวเช่นนี้ อูเซินจึงกำหมัดแน่น ความสับสนในแววตาเผยความหวาดกลัวเล็กน้อย
‘ยิ่งจะให้คนอื่นรู้ไม่ได้เด็ดขาด โดยเฉพาะพวกคนที่มอบโลหิตซากศพให้แก่ข้า หลายปีมานี้ที่บังคับพวกเขาได้ ก็เพราะความแข็งแกร่งและฐานะของข้า ทว่าหากพวกเขารู้ว่าโลหิตต้นกำเนิดหายไป เกรงว่าต้องคิดหักหลังข้าทันที ควรทำอย่างไรดี….ทำอย่างไรดี…..’ สีหน้าอูเซินเกรี้ยวกราด กัดฟันด้วยความโมโห แต่ที่มากกว่าคือความสับสน
เฉินชงหอบหายใจแรง เดินไปพลางบ่นไปพลาง ยามนี้ดวงจันทร์ไร้หมอกปกคลุม ส่องแสงสว่างไสว ใจคิดอยากหยุดพักและรอเดินต่อในวันพรุ่ง ทว่ากลับเห็นอันดับรายชื่อบนตราหิน คนที่ชื่อปี้ซู่แซงหน้าตนไปแล้วสองขั้น จึงเกิดความไม่ยอมแพ้
“มารดาเจ้าเถอะ ข้าไม่เชื่อ!” เฉินชงกัดฟัน มุ่งหน้าเดินต่อไป
ในขณะเดียวกัน ปี้ซู่แห่งเผ่าภูผาดำเริ่มหอบเช่นเดียวกัน มองตราหินในมือพลางกัดฟัน ก้าวเดินต่อไปท่ามกลางแรงต้านที่เพิ่มขึ้นจากแสงจันทร์ ประหนึ่งฝืนตัวก้าวเดินคู่กับเฉินชง
จนกระทั่งผ่านไปครึ่งชั่วยาม เฉินชงขาสั่น ร้องตะโกนเสียงดังก่อนนั่งลง แล้วตะโกนอย่างต่อเนื่องใส่หมอกเงียบสงบโดยรอบหลายครั้ง
“ไป เจ้าไปเลย มารดามันเถอะ วันนี้ข้าไม่แข่งแล้ว พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่!”
ไม่ทราบว่าปี้ซู่สัมผัสได้หรือไม่ เมื่อเดินไปได้หลายก้าว ก็นั่งลงบนพื้นดังตุบ ทว่าพอมองอันดับรายชื่อของตนแล้ว กลับยกมุมปากขึ้นเผยรอยยิ้มเย็นชา
ส่วนเหลยเฉินนั่งอยู่บนขั้นที่หนึ่งร้อยสามสิบกว่า ถอนหายใจหลายครั้ง สีหน้าไม่ยอมแพ้
ยามนี้มีคนหลายคนเริ่มหยุดพักผ่อนกันแล้ว ทว่ามีเพียงคนเดียวที่ยังเดินหน้าต่อไป
“ห้าร้อยหกสิบสาม…ห้าร้อยหกสิบเจ็ด…ห้าร้อยเจ็ดสิบสอง…ไม่อยากเชื่อว่าเยี่ยวั่งจะเดินต่อในยามค่ำคืน!”
“อันดับสองปี้ซู่ ได้เพียงสามร้อยเก้าสิบเจ็ดขั้นเท่านั้น แต่เยี่ยวั่งไปห้าร้อยกว่าแล้ว หรือว่าเขาจะเดินต่อโดยไม่สนใจเรื่องแรงต้านยามค่ำคืน!”
“สมกับเป็นหมายเลขหนึ่งในรุ่นเดียวกัน จิตใจแน่วแน่นี้ไม่ใช่สิ่งที่ผู้อื่นจะเทียบได้!”
ผู้คนหลายร้อยคนบนลาน เวลานี้ล้วนจ้องไปยังอันดับหนึ่งบนรูปปั้น ตอนนี้ทั้งอันดับรายชื่อ มีเพียงอันดับหนึ่งเท่านั้นที่ยังมีการเปลี่ยนแปลง ส่วนผู้เข้าร่วมคนอื่นๆ ล้วนหยุดกันหมดแล้ว
“ห้าร้อยแปดสิบเจ็ด! ห้าร้อยแปดสิบเก้า!”
“เปลี่ยนอีกแล้ว ครั้งนี้ห้าร้อยเก้าสิบห้า!”
มีเสียงฮือฮาดังขึ้นบนลาน ทุกคนล้วนมองไปยังอันดับหนึ่ง แม้แต่ผู้นำจากเผ่าอื่นยังแอบถอนหายใจ ค่อนข้างเคารพรุ่นเยาว์เยี่ยวั่ง
“โม่ซัง เยี่ยวั่งของเผ่าข้าพรสวรรค์สูงส่งนัก เทียบกับเจ้าตอนนั้นแล้วว่าอย่างไรบ้าง?” จิงหนานจ้าวหมานเผ่าร่องลมยิ้มมองอันดับรายชื่อ กล่าวขึ้นเรียบๆ
สีหน้าท่านปู่โม่ซังเรียบเฉย ยิ้มเล็กน้อย
“ไม่เลว”
จิงหนานอมยิ้ม และไม่ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ต่อ
บนภูเขาในยามนี้ เยี่ยวั่งมีสีหน้าเด็ดเดี่ยว มีเม็ดเหงื่อผุดขึ้นตรงหน้าผาก ทว่าก็ยังเอามือไพล่หลังเดินต่อไปทีละก้าว แม้ทุกก้าวที่เหยียบลงจะยากเข็ญนัก ทว่าเขากลับไม่ลังเลแม้แต่น้อย จนกระทั่งไปถึงขั้นที่หกร้อยจึงหยุดพัก บนใบหน้าเผยรอยยิ้ม นั่งขัดสมาธิลงด้านข้าง
‘ครั้งก่อนในวันแรกข้าไปได้ห้าร้อยแปดสิบขั้น ครั้งนี้ได้มากกว่ายี่สิบขั้น ถือว่าเยี่ยมแล้ว…ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะมีบททดสอบของขั้นที่ห้าร้อยหกสิบสองหรือไม่…ดูท่าน่าจะเหมือนกับครั้งก่อน ไม่มีใครมีคุณสมบัติพอจะสัมผัสได้ถึงการขัดเกลาความคิดของขั้นที่ห้าร้อยหกสิบสอง”
เขากล่าวเสียงเบา สีหน้าทะนงตน ห้าร้อยหกสิบสองเป็นหนึ่งบททดสอบ ในครั้งแรกเขาล้มเหลว ทว่าครั้งที่สองกลับสำเร็จได้ ยามนี้เป็นครั้งที่สาม เขาจึงไม่ใส่ใจนัก นอกจากนี้ในความคิดของเขา ผู้เข้าร่วมแข่งขันเหล่านี้ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะเทียบกับตน ไม่มีใครมีค่าพอให้เขาสนใจ
แม้กระทั่งป้ายตราเขายังไม่เคยมอง สิ่งที่เขาต้องการจะแข่งด้วย ไม่ใช่ผู้เข้าร่วมแข่งขันเหล่านั้น แต่เป็นตัวเขาเอง
ช่วงที่เขาหยุดพัก บนลานด้านนอกมีเสียงสนทนาดังขึ้นไม่หยุดหย่อน ในความคิดของทุกคน การแข่งขันในวันนี้นับว่าสิ้นสุดลงเมื่อเยี่ยวั่งหยุดพัก ต้องรอวันพรุ่งถึงจะเริ่มใหม่
“อันดับหนึ่งเยี่ยวั่ง อันดับสองปี้ซู่ อันดับสามเฉินชง…อันดับยี่สิบอูเซิน….จบเพียงเท่านี้ ในสิบอันดับแรกของวันนี้ มีเพียงคนเดียวที่มาจากเผ่าอื่น ส่วนที่เหลือเป็นเผ่าร่องลมของพวกเราทั้งหมด!
แต่ว่าอันดับสี่สิบแปดเป่ยหลิงกับอันดับสี่สิบเก้าซือคงกลับเป็นคนจากเผ่าอื่น ไม่รู้ว่าสองคนนี้จะรักษาอันดับให้อยู่ในห้าสิบคนแรกได้หรือไม่ เพราะวันที่สองต่างหากที่เป็นช่วงเวลาสำคัญ!”
“ปี้ซู่มาจากเผ่าไหนกันแน่ ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้ผู้คนตื่นตะลึงได้ถึงเพียงนี้ ได้อันดับสองอยู่เหนือกว่าเฉินชง ภายภาคหน้าจะต้องเป็นบุคคลมีชื่อเสียงอย่างแน่นอน!”
“มันยังไม่จบ บางทีอาจจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน….”
เสียงสนทนาเหล่านั้นค่อยๆ เบาลง ผู้คนหลายร้อยในยามนี้ส่วนใหญ่นั่งขัดสมาธิบำเพ็ญเพียรเพื่อรอการมาเยือนของวันใหม่ ไม่นาน นอกจากเสียงลมหายใจแล้ว ทุกอย่างก็เงียบสงัด
“โม่ซัง กลับเผ่าไปเล่นหมากกับข้าดีกว่า รอวันพรุ่งนี้ค่อยมาดูกันว่าซูหมิงของเจ้าจะติดหนึ่งในห้าสิบได้หรือไม่” จิงหนานยิ้ม มองไปทางโม่ซัง
ท่านปู่ไม่กล่าว เพียงแต่มองชื่อของซูหมิงที่ยามนี้ตกอันดับจากหนึ่งร้อยสิบเก้ามาอยู่หนึ่งร้อยยี่สิบสาม ก่อนพยักหน้า ทว่าก่อนทั้งสองจะเดินจากไป ท่านปู่พลันหรี่ตา บนลานยังมีบางคนที่ไม่ยอมพักผ่อน แต่มองอันดับรายชื่ออยู่ตลอดเวลา ทันใดนั้นมีคนร้องเสียงดังขึ้น
“ขยับแล้ว! เจ้าคนที่ชื่อโม่ซูขยับแล้ว!” เสียงของเขาทำให้ผู้คนโดยรอบลืมตาขึ้นแล้วมองไป สีหน้าของพวกเขาดูค่อนข้างประหลาดใจ
จิงหนานที่เตรียมจะจากไปพลันชะงักฝีเท้า เพ่งสมาธิมองไป ไม่เพียงแค่เขา ผู้คนบนลานทั้งหมดรวมถึงจ้าวหมานเผ่ามังกรทมิฬ จ้าวเผ่าภูผาดำ และผู้นำจากเผ่าอื่นๆ ล้วนมอง ถึงอย่างไรตอนนี้ก็เป็นยามดึก ผู้เข้าแข่งขันทุกคนควรจะหยุดพักผ่อน ทว่าเวลานี้กลับมีเพียงหนึ่งเดียวที่ขยับอยู่ ย่อมเป็นที่สนใจอย่างแน่นอน!
ณ เขาลึกบนขั้นที่เจ็ดสิบเก้า ซูหมิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิพลันลืมตาขึ้น การควบคุมเส้นเลือดในกายของเขาเสถียรภาพเหลืออยู่ที่ยี่สิบแปดเส้น ถึงขีดจำกัดจนไม่อาจฝึกฝนต่อได้แล้ว ครั้งนี้ราบรื่นกว่าครั้งก่อนมากนัก อีกทั้งยังใช้เวลาไม่นาน นั่นเป็นเพราะว่าเวลานี้เป็นยามค่ำคืนแสงจันทร์!
ท่ามกลางแสงจันทร์ ในดวงตาทั้งสองข้างของซูหมิงมีเงาจันทราสีแดงอ่อน เขาค่อยๆ ยืนขึ้นมองไปยังบันไดคดเคี้ยวเบื้องหน้า แววตาฉายประกายวูบผ่าน
“จุดต่อไป…..”
ซูหมิงยกเท้าขวาขึ้น ภายใต้ค่ำคืนแสงจันทร์ ตอนที่ทุกคนบนเขานอกจากตัวเขา เฉินชงก็ดี ปี้ซู่ก็ดี แม้แต่เยี่ยวั่ง ล้วนไม่มีใครกล้าเดินต่อ ทว่าเขาซูหมิงกลับเดินขึ้นไป!
ค่ำคืนแสงจันทร์เป็นของเขา!