ตอนที่ 56 ลำดับห้าขั้นรวมโลหิต
ดวงตาของซูหมิงแฝงไว้ด้วยความปราดเปรียวและประกายแสง ท่ามกลางค่ำคืนแสงจันทร์ ในตอนที่ไม่มีผู้ใดกล้าขยับตัวปีนต่อ เขาแหงนหน้ามองยอดเขาที่ขับแรงต้านรุนแรง พลันยกเท้าขึ้นและก้าวเดินต่อไปทีละก้าว
ขั้นที่แปดสิบ แปดสิบเอ็ด แปดสิบสอง…
แรงต้านจากยอดเขาสูงรุนแรงมากกว่ายามเที่ยงวันหลายเท่านัก อีกทั้งยิ่งขึ้นสูง แรงต้านจะยิ่งน่าสะพรึง แต่ด้วยเวลานี้เป็นค่ำคืนแสงจันทร์ มันจึงเป็นค่ำคืนของซูหมิง
ขณะซูหมิงกำลังเดินทาง ดวงจันทร์บนท้องฟ้าเปล่งแสงสุกสกาว มองดูแล้วธรรมดา ทว่ากลับมีแสงจันทร์หลายเส้นที่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นย่างกรายมาจากฟากฟ้า หลอมรวมเข้าสู่ร่างของซูหมิง ทำให้เงาจันทราอ่อนในดวงตาของเขาค่อยๆ เด่นชัดขึ้น
ไอหนาวเย็นไหลเวียนในร่างของซูหมิง ทำให้เขาก้าวฝีเท้าได้รวดเร็วขึ้นเรื่อยๆ แปดสิบเจ็ด แปดสิบแปด เก้าสิบสาม…..ไม่นานซูหมิงก็มาถึงขั้นที่เก้าสิบเก้า
ในช่วงที่เหยียบฝีเท้าลงบนขั้นดังกล่าว ซูหมิงตัวสั่นสะท้าน ไอร้อนจากโลหิตพลันระเบิดขึ้นในร่าง ปรากฏเส้นเลือดห้าสิบสองเส้นขึ้นบนตัว เส้นเลือดเหล่านี้ราวกับบิดเบี้ยว คลับคล้ายรวมเป็นรูปสัญลักษณ์ประหลาด
ซูหมิงพลันชะงักฝีเท้า แหงนหน้าตะโกนขึ้นฟ้า เสียงของเขาไม่ดังมากนัก เพียงก้องกังวานโดยรอบ ทันใดนั้นพลันปรากฏเส้นเลือดเส้นที่ห้าสิบสามขึ้นบนตัวของเขา การปรากฏขึ้นของมันแสดงให้เห็นว่าซูหมิงทะลวงสู่ลำดับห้าขั้นรวมโลหิตเป็นที่เรียบร้อย!
ทันใดนั้น ในร่างกายของเขาราวกับมีเสียงฟ้าร้องดังก้องกังวานโดยรอบติดกันหลายครั้ง มันคล้ายถูกหมอกดำสองข้างทางกลืนกิน ไม่ทราบว่าหายไปที่แห่งใด
ช่วงที่ซูหมิงทะลวงสู่ลำดับห้าขั้นรวมโลหิต ณ ขั้นบันไดอีกเส้นที่อยู่ห่างไม่ไกลนัก เฉินชงกำลังนั่งแผ่อยู่บนพื้น บ่นไปพลางเตรียมพักผ่อนไปพลาง พลันกระตุกเล็กน้อย เมื่อหันไปมองหมอกดำทั้งสองข้างทาง หูได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น เสียงนั้นเขาคุ้นเคยดี!
“นี่…นี่…นี่มันสมควรตาย ไม่อยากเชื่อว่าจะมีคนทะลวงขั้นพลังในนี้!”
เฉินชงเหม่อลอยไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาฉายแววเหลือเชื่อ เนื้อบนใบหน้าสั่นไหวเล็กน้อย เขาไม่เคยได้ยินเรื่องการทะลวงพลังในด่านแรกนี้มาก่อน ครั้งนี้จะกล่าวว่าเป็นครั้งแรกก็คงไม่ผิด!
เฉินชงออกแรงขยี้ตา เขาคิดว่ามันไม่ถูกต้อง รีบถูใบหูอีกหลายครั้ง ก่อนเอียงศีรษะตั้งใจฟัง กลับพบว่าใบหูของเขาสั่นไหวพิลึกหลายครั้ง ก่อนพลันเปลี่ยนเป็นสีแดง
ตั้งแต่วัยเยาว์เฉินชงเกิดมาพร้อมกับพรสวรรค์ประหลาด หูทั้งสองข้างของเขาต่อให้อยู่ไกลมากจนผู้อื่นไม่ได้ยิน ทว่าเขากลับได้ยินมันอย่างชัดเจน
เรื่องนี้เขาชำนาญมาแต่เยาว์วัย โดยเฉพาะยามนี้ขั้นพลังของเขาสูงขึ้น มันก็ยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้น ทำให้เขาลำพองใจเป็นอย่างมาก
ขณะฟังไปฟังมา สีหน้าเกิดความขมขื่น ทั้งยังแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ
“มารดาเถอะ จะโชคดีอะไรเช่นนี้ ไม่อยากเชื่อว่าจะทะลวงพลังในที่แห่งนี้ได้! สวรรค์ เหตุใดถึงไม่ให้ข้าประสบเรื่องเช่นนี้บ้าง…” เฉินชงถอนหายใจยาว ดูท่าทางริษยายิ่งนัก
เสียงฟ้าร้องดังก้อง นอกจากเฉินชงที่ใช้ความพิสดารของใบหูได้ยินแล้ว ผู้คนที่เหลืออยู่ส่วนใหญ่ไม่ได้ยิน มีเพียงปี้ซู่แห่งเผ่าภูผาดำที่อยู่ใกล้ซูหมิงมากที่สุดเท่านั้น เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่บนขั้นบันได เวลานี้พลันลืมตาขึ้น หันกลับไปมองหมอกด้านหลังด้วยความประหลาดใจ
“มีคนทะลวงขั้นพลัง!” ปี้ซู่มีสีหน้ามืดครึ้ม เพราะก่อนหน้านี้เขาได้ยินเสียงเส้นเลือดปรากฏขึ้น พอนำมาเชื่อมกันแล้ว แววตาเป็นประกายวูบ ทว่ากลับไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพียงแต่หยิบตราหินขึ้นมาสำรวจการเปลี่ยนแปลงของอันดับ แทบจะเป็นแวบแรก เขาก็มองเห็นอันดับรายชื่อและจำนวนขั้นทั้งหมดของผู้เข้าร่วมแข่งขัน แต่มีอยู่ชื่อหนึ่งกำลังไต่ขึ้นมาอย่างรวดเร็ว!
ยามนี้บนลานนอกภูเขายักษ์ การเคลื่อนไหวของซูหมิงทำให้เกิดเสียงฮือฮาดังขึ้นราวกับพายุคลั่ง แทบจะทุกคนในลานแห่งนี้ล้วนจ้องไปยังแถบรายชื่อของโม่ซูบนรูปปั้น
ในค่ำคืนมืดมิด จากด่านแรกในงานประลองครั้งก่อน ทุกคนล้วนพักผ่อน บนลานก็เป็นแบบนั้นเช่นเดียวกัน ทว่าในค่ำคืนนี้กลับแตกต่างจากครั้งก่อนโดยสิ้นเชิง!
ทั้งหมดเป็นเพราะอันดับรายชื่อที่กำลังพุ่งพรวดขึ้นในยามนี้!
“ขยับแล้ว! เก้าสิบเก้าขั้น จากเจ็ดสิบเก้าขึ้นมาเก้าสิบเก้าขั้นเพียงอึดใจเดียว ครั้งก่อนก็เป็นเช่นนี้ พอพักผ่อนจนเต็มที่แล้วจะพุ่งพรวดอย่างบ้าคลั่ง!”
“เขาชื่อโม่ซู ข้าจำเขาได้! เดิมทีเขาอยู่อันดับสุดท้าย ก่อนหน้านี้ก็พุ่งขึ้นมาอยู่อันดับที่หนึ่งร้อยสิบเก้า จากนั้นก็หยุดอีกครั้งจนตกไปอยู่อันดับหนึ่งร้อยยี่สิบสาม!”
“พวกเจ้าดู ตอนนี้เขาอยู่อันดับที่หนึ่งร้อยสิบสามแล้ว…ไม่ใช่ หนึ่งร้อยเก้า หนึ่งร้อย…อันดับที่หนึ่งร้อย! ไม่น่าเชื่อเลยว่าจะติดหนึ่งในร้อยอันดับแรกแล้ว เก่งจริงๆ!”
“ฮ่าๆ ไม่คิดเลยว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในค่ำคืนวันนี้ ดี มาดูโม่ซูคนนี้กันว่าจะไปได้ถึงอันดับไหน!”
เสียงฮือฮาดังขึ้นระงม กระทั่งยังครึกครื้นกว่ายามเที่ยงวันเสียอีก แม้แต่คนที่ไม่สนใจพวกอันดับหนึ่งร้อยเป็นต้นไปบางส่วนยังต้องลืมตาขึ้นมอง
ในประวัติศาสตร์งานประลอง แทบไม่มีใครสนใจพวกหางแถว มักจะให้ความสนใจเพียงแค่ห้าสิบอันดับแรก กระทั่งสามสิบอันดับไปจนถึงสิบอันดับแรก และอันดับหนึ่งในสาม ทว่าครั้งนี้กลับแตกต่าง นับว่าหาได้ยากยิ่งที่ผู้คนจะสนใจอันดับเช่นนี้
ทว่าเสียงฮือฮาและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของผู้คนในยามนี้ ความจริงแล้วพวกเขาไม่ได้ให้ความสำคัญมากนัก ในความคิดของพวกเขา โม่ซูเป็นแค่คนที่หาเวลามาทำเรื่องให้น่าขำขันขณะที่คนอื่นกำลังพักผ่อนก็เท่านั้น
เมื่อตะวันทอแสง ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ เคลื่อนไหว พวกเขาก็จะเลิกสนใจโม่ซูไปเอง ถึงอย่างไรหากเทียบกับโอรสแห่งสวรรค์เหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นจำนวนขั้นบันไดหรืออันดับ ก็ยากจะเทียบเคียงได้
กระทั่งการเคลื่อนไหวของซูหมิงในเวลานี้ ยังไปดึงดูดความสนใจของผู้เข้าร่วมแข่งขันคนอื่นๆ จำนวนมาก พวกเขามองตราหินในมือขณะกำลังพักผ่อน โดยเฉพาะคนที่กำลังถูกไล่ตามหลัง อดเป็นกังวลเล็กน้อยมิได้ ทว่าเหล่าคนที่อยู่เหนือกว่า ส่วนใหญ่เพียงกวาดสายตามองแวบหนึ่ง ก่อนเลิกสนใจ
อูลาวิตกกังวลยิ่งนัก นางนั่งอยู่บนขั้นที่หนึ่งร้อยสิบสอง เบิกตาโพลงมองตราหินในมือ นางให้ความสนใจกับคนชื่อโม่ซูอย่างมาก เพราะก่อนหน้านี้เขาพุ่งพรวดขึ้นมาจากอันดับสุดท้ายเพียงอึดใจเดียว ทำให้อูลารู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาล
‘ข้าพยามมาตลอดทั้งวัน กัดฟันเดินมาจนถึงตอนนี้ ในที่สุดก็อยู่อันดับหนึ่งร้อย เจ้าโม่ซูสมควรตาย เขาเป็นใครกันแน่ เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ ตอนที่ทุกคนต่างพักผ่อน อีกทั้งแรงต้านยังเพิ่มขึ้นในค่ำคืนแสงจันทร์ เขาทำได้อย่างไรกัน!’
อูลากัดริมฝีปากล่าง รู้สึกคับอกคับใจ
ทว่าไม่นานก็พบว่าโม่ซูที่อยู่อันดับหนึ่งร้อยหนึ่ง ราวกับไม่มีการเปลี่ยนแปลง คลับคล้ายจะหยุดลงอีกครั้ง อูลาจึงถอนหายใจโล่งอก
“ถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว…”
ยามนี้เหลยเฉินนั่งอยู่บนขั้นที่หนึ่งร้อยสามสิบห้า กำลังมองตราหินในมือ เห็นชื่อของโม่ซู ทว่าสีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อยราวกับกำลังขบคิดอะไรบางอย่าง
ขณะเดียวกัน เป่ยหลิงที่อยู่ขั้นสองร้อยหกกำลังมองอันดับรายชื่อบนตราหินเช่นเดียวกัน ทว่ากลับไม่แยแส ในความคิดของเขา โม่ซูก็เป็นแค่คนที่อยากให้เป็นที่สนใจของผู้คนเท่านั้น ยามเที่ยงวันไม่เดิน ดันมาเดินในยามค่ำคืน เห็นได้ชัดว่ากำลังพยามเรียกร้องความสนใจอยู่
“ฝีมืออ่อนหัด!” เป่ยหลิงยิ้มเยาะ
ในเวลาเดียวกัน ซือคงแห่งเผ่ามังกรทมิฬกำลังขมวดคิ้วอยู่ขั้นสองร้อยกว่า ต่ำกว่าเป่ยหลิง ในวันนี้เขาดูอันดับรายชื่อบนตราหินหลายรอบ และหาชื่อของซูหมิงมาโดยตลอด ทว่าก็ยังไม่พบ ส่วนชื่อของโม่ซูที่กำลังไต่ขึ้นมา เขาไม่สนใจแม้แต่น้อย
ในความคิดของเขา อันดับของซูหมิงน่าจะต้องใกล้เคียงกับเขาถึงจะถูก ไม่มีทางตกไปอยู่หลังอันดับหนึ่งร้อยแน่ หากเป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาก็ยากจะยอมรับได้ว่าตนพ่ายแพ้ให้กับคนอ่อนแอเช่นนั้น
ณ เส้นทางบันไดอีกสายหนึ่ง ไป๋หลิงกำลังแหงนหน้ามองดวงจันทร์อยู่บนขั้นที่หนึ่งร้อยสามสิบกว่า นางไม่ได้ดูอันดับรายชื่อ แต่สีหน้าดูสับสน ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่
หลังจากผู้คนบนลานรออยู่ครู่ใหญ่ๆ ทว่าก็ยังไม่เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของโม่ซูจากอันดับหนึ่งร้อยหนึ่ง ทุกคนต่างมีสีหน้าผิดหวัง ทว่าก็ปล่อยวาง ราวกับคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่แรกแล้ว
ผู้นำแต่ละชนเผ่าต่างค่อยๆ ละสายตา เลิกสนใจอีก ยายเฒ่าเผ่ามังกรทมิฬหลับตาลง นางไม่ได้มองไปตั้งแต่ต้นจนจบ ราวกับไม่สนใจแม้แต่น้อย
ชายร่างกำยำจ้าวเผ่าภูผาดำเผยรอยยิ้มเหยียดหยาม สิ่งที่เขาสนใจมีเพียงแค่ปี้ซู่ ถ้าหากยังมีอีกก็คงเป็นเยี่ยวั่ง ในความคิดของเขา คู่ต่อสู้ของปี้ซู่มีเพียงเยี่ยวั่งเท่านั้น!
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ไม่เห็นโม่ซูมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เสียงสนทนาบนลานก็เริ่มเบาลง
“เห็นได้ชัดว่าเขากักตุนแรงเอาไว้และใช้ตอนที่ทุกคนพักผ่อน ดูท่าคงรู้ดีว่าไม่มีใครสนใจ ก็เลยใช้วิธีแบบนี้มาสร้างชื่อเสียงให้กับตัวเอง”
“ไม่เลว วิธีนี้ฉลาดมาก อย่างน้อยข้าก็จำชื่อเขาได้ อยากรู้จริงๆ ว่าเขาเป็นใคร”
“ช่างเถอะ พักผ่อนกันดีกว่า พรุ่งนี้ต่างหากที่เป็นของจริง บางทีห้าสิบอันดับแรกอาจมีการเปลี่ยนแปลง….เฮ้ย ขยับแล้ว ขยับแล้ว!”
ในขณะที่ความดุเดือดก่อนหน้านี้กำลังมลายหายไป พลันเกิดเสียงร้องดังขึ้นกึกก้องโดยรอบ
พบว่าชื่อของโม่ซูกำลังไต่ขึ้นอีกครั้ง จำนวนขั้นบันไดหลังชื่อของเขากำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและบ้าคลั่งจนผู้คนบนลานไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง
หนึ่งร้อย หนึ่งร้อยสาม หนึ่งร้อยเจ็ด หนึ่งร้อยสิบสามขั้น…