Skip to content

สู่วิถีอสุรา 59

ตอนที่ 59 การเคลื่อนไหวอันน่าทึ่ง

นี่เป็นวันที่สองในด่านแรกของงานประลองครั้งใหญ่!

แทบจะเป็นช่วงตะวันทอแสงแรก เมื่อหมอกดำที่ผนึกสัตว์ประหลาดหมานบรรพกาลและเพิ่มแรงต้านในยามค่ำกลับคืนสู่ปกติ เยี่ยวั่งเป็นคนแรกที่เคลื่อนไหว

เขาลืมตาขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย ยันกายขึ้นแล้วเหยียบไปบนขั้นหกร้อยหนึ่ง เรื่องเมื่อคืนวานเขาไม่ทราบแม้แต่น้อย ด้วยความที่เขาเป็นคนทะนงองอาจ จึงไม่สนใจตราหินในมือ เขายังคงคิดว่าไม่มีใครมีค่าพอจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขา มีเพียงผู้เดียวที่มีสิทธิ นั่นคือตัวเขาเอง

เยี่ยวั่งเดินขึ้นไปทีละก้าวด้วยใบหน้าหยิ่งยโส เสื้อสีแดงราวกับเปลวเพลิง ในใจมีความแน่วแน่ว่าในด่านแรกของงานประลองครั้งนี้ เขาจะต้องไปให้ถึงขั้นเก้าร้อยให้ได้ เขาจำได้แม่นว่าครั้งก่อนตนไปได้เพียงแปดร้อยกว่าขั้น นั่นก็ถึงขีดจำกัดของเขาแล้ว ไม่อาจก้าวเดินต่อไป ขณะกำลังจะยอมแพ้ เขาแหงนหน้าขึ้นไปมองยอดเขาที่ห่างไกล เห็นเหมือนกับว่าตรงนั้นมีรูปปั้นพิลึกอยู่หนึ่งองค์

น่าเสียดาย รูปปั้นหินดังกล่าวอยู่ไกลเกินไป จึงทำให้เขามองเห็นลักษณะไม่ชัด ทว่าเพียงแค่พริบตาเดียว กลับทำให้เยี่ยวั่งยึดมั่น ในใจของเขา ความเย่อหยิ่ง ความต่างจากผู้อื่น ได้หลอมรวมเข้าสู่กระดูก เขาจะต้องไปดูยอดเขาที่ผู้อื่นไม่อาจมองเห็นนั้นให้ได้!

เขายืนด้วยความเฝ้าปรารถนา ก้มหน้าลงมองสรรพสิ่งเบื้องล่าง ก่อนค่อยๆ เดินห่างไปไกลท่ามกลางหมอก แม้ว่าเขาจะไม่ดูอันดับรายชื่อ ทว่าในใจของเขาทราบดีว่าตัวเองต้องเป็นอันดับหนึ่งแน่นอน!

เวลานี้เฉินชงแยกเขี้ยว บ่นไปพลางกัดฟันเดินขึ้นไปพลาง หอบหายใจแรง ทว่าก็ยังไม่เห็นเขาหยุดพัก เพียงแต่มองอันดับของปี้ซู่บนตราหินในมือตลอดเวลา

ปี้ซู่ยังคงไปได้ไกลกว่าเขาสามก้าว ทั้งสองคนคลับคล้ายกัน แข่งขันกันอยู่ตลอดเวลา ทว่าเพราะเรื่องนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อวานแล้ว เฉินชงจึงไม่มีท่าทีเกรี้ยวกราดมากนัก

“มารดามันเถอะ เจ้าบอกมาว่าเจ้าจะเลือกเดินเร็วแล้วทิ้งระยะห่างจนทำให้ข้าไม่สนใจ หรือว่าจะเลือกเดินช้าลงหน่อย หากเป็นอย่างนี้ต่อไป เจ้าจะไม่เหนื่อยอย่างนั้นหรือ เจ้าเหนื่อย ข้าก็เหนื่อยเหมือนกัน!”

เฉินชงมีเหงื่อไหลท่วม แม้จะเป็นยามกลางวัน ทว่าเขาที่ขึ้นมาได้สี่ร้อยกว่าขั้นกลับสัมผัสได้ถึงแรงต้านจากยอดเขาจนรู้สึกหายใจติดขัด ความรู้สึกเหนื่อยล้าหลั่งทะลักเข้าสู่ร่างกายประดุจน้ำเชี่ยว

ยามนี้ปี้ซู่หอบหายใจกระชั้นถี่เช่นเดียวกัน แม้จะได้พักผ่อนมาตลอดทั้งคืน ทว่าด้วยจำนวนขั้นที่สูงขึ้น ทำให้แรงต้านมีมากขึ้นเช่นเดียวกัน ความหยิ่งผยองในใจของเขาค่อยๆ ถูกกดลง โดยเฉพาะตอนที่เห็นจำนวนขั้นหกร้อยกว่าของเยี่ยวั่งยังคงเพิ่มขึ้นไปได้อย่างราบรื่น จึงทำให้เขาอดรู้สึกยำเกรงมิได้

เมื่ออันดับหนึ่งไม่มีหวัง เขาจึงเริ่มเพ่งเล็งมาที่เฉินชง สาบานว่าจะเหยียบอีกฝ่ายให้จมเท้าให้ได้ ในความคิดของเขา คู่ต่อสู้ของเขามีเพียงเฉินชง หากเหยียบย่ำอีกฝ่ายได้ ต่อให้แพ้เยี่ยวั่งในด่านแรก มันก็เพียงพอที่จะทำให้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังแล้ว

โดยเฉพาะท่านปู่ในยามนี้…ปี้ซู่ยิ้มเยาะ นัยน์ตาฉายแววเพ้อฝันและเฝ้ารอคอย

อูเซินมีสีหน้าผิดหวัง การพักผ่อนเมื่อคืนวาน ไม่ทำให้สภาพของเขาดีขึ้นเลย อีกทั้งผลจากการเสียโลหิตต้นกำเนิดในร่างยังเริ่มปรากฏให้เห็นทีละน้อย เขามีสีหน้ามืดทะมึน เดินต่อไปทีละก้าวพลางมองอันดับรายชื่อบนตราหิน เห็นชื่อปี้ซู่อยู่อันดับสอง ในใจเกิดความไม่ยินยอม

อันดับของเขาแม้จะยังอยู่ที่สิบสอง ทว่าอูเซินทราบดี ตนไม่มีหวังติดหนึ่งในสิบแล้ว หลายอันดับก่อนหน้าเขา ปกติในชนเผ่าไม่อาจสู้ตนได้ ทว่าตอนนี้…

อูเซินถอนหายใจเงียบๆ

หากเทียบกับพวกเขาแล้ว ซูหมิงดูสงบนิ่งกว่ามาก เขาไม่ได้เดินขึ้นเขาต่อ แต่ยังคงนั่งขัดสมาธิอยู่บนขั้นสองร้อยสี่สิบแปด และฝึกควบคุมความเร็วในการโคจรพลังโลหิตไม่หยุดหย่อน ทำให้เส้นเลือดห้าสิบเก้าเส้นบนตัวเขาลดลงอย่างต่อเนื่อง บ้างก็เพิ่มขึ้น

เขาใช้ความสามารถทั้งหมดที่มียืมแรงต้านสมดุลตรงจุดนี้ มาทำให้เส้นเลือดของตนเสถียรภาพทุกครั้งไม่ว่าจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงก็ตาม

ในความรู้สึกของเขา การควบคุมความละเอียดเป็นสิ่งที่น่าสนใจยิ่งนัก เหมือนกับที่เขาหลอมเม็ดโอสถ เพียงแต่ใช้ร่างกายแทนหมอฮวง ใช้พลังโลหิตในกายเป็นเปลวเพลิง ใช้ร่างกายเป็นสมุนไพรกึ่งสำเร็จ ควบคุมความอ่อนแรงของเปลวเพลิงและหลอมร่างกาย

เวลาดำเนินผ่านไป ผู้คนหลายร้อยบนลานด้านนอกต่างมองอันดับรายชื่อบนรูปปั้น ทั้งยังสนทนากันตลอดเวลา

“เยี่ยวั่งเป็นอันดับหนึ่งแน่นอนไม่ต้องเป็นห่วง เขาในตอนนี้ไปถึงหกร้อยแปดสิบกว่าขั้นแล้ว ไม่มีใครตามทันแน่”

“อันดับสองกับอันดับสาม ไม่เป็นเฉินชงก็ปี้ซู่แน่นอน เจ้าดูสองคนนั่นไล่กวดกันตลอด ดูท่าตอนนี้พวกเขาต่างคุมเชิงกันแล้ว”

“น่าเสียดายอูเซิน ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่มีใครเข้าใจเลยจริงๆ”

“น่าเสียดายโม่ซู จนถึงตอนนี้แล้วยังไม่ขยับเลย อันดับก็ถูกแซงหน้าไปเรื่อยๆ จนอยู่อันดับสี่สิบเจ็ดแล้ว…”

ขณะผู้คนกำลังสนทนา รายชื่อแถบหนึ่งอันดับหนึ่งร้อยกว่าบนรูปปั้น พลันมีแสงเทาวูบผ่าน ทำให้รายชื่อดังกล่าวเป็นสีเทา เหตุการณ์นี้ดึงความสนใจของผู้คนทันที ทว่าสีหน้าของพวกเขากลับดูไม่แปลกใจ

“มีคนยอมแพ้แล้ว!”

“ในประวัติศาสตร์งานประลอง วันที่สองของด่านแรกจะเริ่มมีคนยอมแพ้จำนวนมาก พวกเขาไม่มีแรงเดินต่อไป และไม่อาจทนต่อแรงต้าน หากไม่ออกมาก็อาจจะเป็นอันตรายกับพลังโลหิตได้”

ทันใดนั้นท้องฟ้าพลันบิดเบี้ยว ก่อนมีหมอกตรงเข้ามาแล้วจงหายไป ด้านในพบว่าเป็นชายหนุ่มอายุราวยี่สิบปี ใบหน้าซีดขาว ยืนขาสั่นอยู่บนพื้น เห็นได้ชัดว่าถูกส่งกลับมา เหมือนว่าเขาจะรู้สึกไม่ดีกับสายตาของผู้คนที่จับจ้อง จึงก้มหน้าแล้วเดินไปยังเผ่าของตนอย่างฉับไว นั่งลงเงียบๆ ด้วยสีหน้าผิดหวัง

ในช่วงบ่ายมีผู้เข้าแข่งขันยอมแพ้เช่นนี้มากขึ้นเรื่อยๆ อันดับรายชื่อล้วนกลายเป็นสีเทา พร้อมกับเงาคนในหมอกดำถูกส่งกลับมาอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นภาพที่ดึงดูดสายตาของผู้คนในวันที่สอง

ผู้เข้าแข่งขันที่ยอมแพ้เหล่านั้น ส่วนใหญ่เดินกลับไปยังเผ่าของตนพลางถอนหายใจ หนึ่งในนั้นก็มีไม่น้อยที่มาจากเผ่าร่องลม

“อันดับหนึ่งร้อยเป็นต้นไปล้วนยอมแพ้หมดแล้ว เฮอะเฮอะ พวกเจ้าคอยดูเถอะ ฟ้ามืดวันนี้เมื่อไร หลังอันดับห้าสิบขึ้นไปทุกคนจะต้องยอมแพ้อย่างแน่นอน อีกทั้งเมื่อถึงกลางดึกย่อมมีไม่น้อยที่ยอมแพ้ แม้ว่าพวกเขาจะไม่เดินต่อในยามค่ำคืน แต่ด้วยความเหนื่อยล้าก็ยากจะทนรับแรงต้านมหาศาลยามดึกได้”

“ในงานประลองด่านแรกทุกครั้ง ที่ต้องดูไม่ใช่แค่อันดับรายชื่อเท่านั้น ต้องดูพวกคนที่ยอมแพ้เหล่านี้ด้วย เป็นเรื่องที่น่าสนุกจริงๆ”

“จริงดังว่า โดยเฉพาะพวกอันดับสูงๆ พอยอมแพ้กลับมาแล้ว เห็นท่าทางตึงเครียดกลัวว่าจะถูกแซงอันดับแล้วก็น่าสนุกจริงๆ”

ขณะเสียงสนทนาดังกึกก้องลาน มีชาวเผ่าคนหนึ่งมองรูปปั้นอยู่ตลอดเวลา ทันใดนั้นสีหน้าเผยความตื่นเต้น

“โม่ซูขยับแล้ว!” เพียงกล่าว พลันเป็นที่สนใจของแทบทุกคนทันที สายตาจำนวนมากต่างจ้องไปยังแถบชื่อของซูหมิงบนรูปปั้นแต่ละรูป

ซูหมิงลืมตาขึ้น จากการฝึกฝนควบคุมความละเอียดอ่อนมาครึ่งวันเต็มๆ เส้นเลือดในกายเขาเหลือเพียงยี่สิบเอ็ดเส้นเท่านั้น ทว่าก็ไม่อาจฝึกฝนต่อไปได้แล้ว

ซูหมิงจึงแหงนหน้ามองขั้นบันไดเบื้องหน้า ค่อยๆ ยืนขึ้นอย่างเชื่องช้า

เขาไม่ทราบว่าตนกำลังเป็นที่สนใจของผู้คนจำนวนมาก ตอนนี้ในสมองของเขามีแค่สองความคิดเท่านั้น คือฝึกฝนควบคุมความละเอียดอ่อนและไม่ทำให้ท่านปู่ผิดหวัง

“ใช้ทั้งหมดที่ข้ามี ทำมันให้เต็มที่!” ถึงอย่างไรซูหมิงก็ยังเป็นเด็กหนุ่ม มีความฮึกเฮิมของเด็กหนุ่ม มีความไม่ย่อท้อของวัยนี้

นัยน์ตาเขาเป็นประกายวูบ ก่อนก้าวเดินขึ้นไป ในช่วงที่เหยียบลงบนขั้นสองร้อยสี่สิบเก้า พลันมีแรงต้านมหาศาลกดทับให้ซูหมิงตัวสั่นสะท้าน

“แรงต้านรุนแรงมาก!” ซูหมิงหน้าซีดเล็กน้อย เขารู้สึกราวกับว่าบนขั้นบันไดแห่งนี้มีสัตว์ร้ายกำลังแผดเสียงคำรามกระโจนเข้าใส่

แววตาซูหมิงแน่วแน่ ในช่วงที่แรงต้านถาโถมเข้ามา พลังโลหิตในกายพลันหมุนโคจร เส้นเลือดห้าสิบเก้าเส้นปรากฏขึ้น ก่อนพาร่างทะยานขึ้นไป

สองร้อยห้าสิบเอ็ด สองร้อยห้าสิบห้า สองร้อยห้าสิบแปด…..เพียงหนึ่งลมหายใจ ซูหมิงเดินติดต่อกันยี่สิบกว่าก้าว จนกระทั่งยืนอยู่บนขั้นสองร้อยเจ็ดสิบ จึงเริ่มช้าลง

บนหน้าผากของเขามีเม็ดเหงื่อซึม การเดินในยามกลางวัน ไม่มีแสงจันทร์ช่วยบำรุงร่างกายเช่นนี้ มันค่อนเปลืองแรงสำหรับซูหมิง ทว่ายิ่งเป็นเช่นนั้น เขากลับยิ่งแน่วแน่ อีกทั้งที่สำคัญคือ ในช่วงที่แรงต้านมหาศาลจู่โจมเส้นเลือดห้าสิบเก้าเส้นในกายเขา มันทำให้ซูหมิงมีลางสังหรณ์ว่าเส้นเลือดจะต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

เขาทราบดี นั่นเป็นเพราะเขาค้นพบความลับของตัวเลขทั้งหก อีกทั้งยังฝึกควบคุมการโคจรโลหิตอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่จะควบคุมโลหิตได้อย่างแม่นยำแล้วเท่านั้น มันยังดึงศักยภาพในร่างกายของเขาออกมาอย่างไม่หยุดยั้ง

โดยเฉพาะเคล็ดวิชาหมานบรรพกาลที่แท้จริงกับโลหิตหมานหนึ่งหยดของท่านปู่ สิ่งเหล่านี้ล้วนถูกปล่อยออกมาในการฝึกควบคุมความละเอียดอ่อนทุกครั้ง และภายใต้แรงต้านที่กดทับมาจากยอดเขาขณะเดินขึ้น จึงทำให้เขาดูดซับพวกมันได้อย่างแท้จริง

ซูหมิงกัดฟัน ยกขาขึ้นกระโดดทะยานไปด้านบนด้วยความเร็วสูง เสียงระเบิดดังกึกก้องในร่างกายของเขา ไม่นานพลันปรากฏเส้นเลือดเส้นที่หกสิบ!

หกสิบเอ็ดเส้น หกสิบสองเส้น…ในช่วงที่ซูหมิงเหยียบอยู่บนขั้นสามร้อยหนึ่ง เส้นเลือดในกายเขามีถึงหกสิบเจ็ดเส้น!

เส้นเลือดทั้งหกสิบเจ็ดเส้นพันรอบตัวซูหมิง ทำให้เขารู้สึกราวกับมีพละกำลังห้าวหาญไม่กลัวเกรง แม้เหงื่อจะชโลมไปทั้งตัวเขา ทว่าในแววตายามนี้กลับดูแน่วแน่กว่าแต่ก่อน

ซูหมิงไม่ทราบเลยว่า การเคลื่อนไหวของเขาในครั้งนี้ จากสองร้อยสี่สิบแปดขึ้นเป็นสามร้อยหนึ่งขั้น ทำให้ผู้คนหลายร้อยบนลานด้านนอกต้องตกตะลึงเพียงใด!

จ้าวเผ่าภูผาดำพลันมองเข้าไป สีหน้าดูเคร่งขรึมอย่างยากจะพบเห็นได้จากเขา

“หกสิบขั้นอีกแล้ว! โม่ซูคนนี้ไม่ขยับก็อยู่เฉยๆ แต่พอขยับทีหนึ่งมันน่าตกตะลึงยิ่งนัก!”

“ฮ่าๆ ข้ารอเขาเคลื่อนไหวมาตลอด ไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ โม่ซู ติดหนึ่งในสามสิบให้ได้ อย่างดีที่สุดก็ติดหนึ่งในสิบ!”

“เขานิ่งไปตลอดทั้งวัน แม้ว่าตอนนี้จะขยับแล้ว แต่อันดับก็ยังอยู่ที่สามสิบหกอยู่ดี สู้เมื่อวาน…..”

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ มีคนกล่าวขึ้นอย่างไม่แยแส ทว่าแฝงไว้ด้วยความริษยา ทันใดนั้นเขาพลันเบิกตากว้าง กลืนคำพูดที่กำลังจะกล่าวลงไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version