ตอนที่ 603 ผู้อาวุโสจ้าว
งูเหลือมตัวนี้เป็นสีดำทึบเหมือนกับสีซุ้มประตูภูเขา หากมันไม่ขยับก็ง่ายที่จะถูกมองว่าเป็นเครื่องตกแต่ง ยามนี้มันจ้องพวกซูหมิงสามคนอย่างเย็นชา กลิ่นอายดุร้ายโชยมากระทบใบหน้า ซูหมิงรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าชายแซ่จางและจั่วแห่งสำนักวิญญาณอสูรมีสีหน้าเคารพในทันที
“ศิษย์จางเริ่น คารวะสัตว์ศักสิทธิ์ประตูภูเขา”
“ศิษย์จั่วซิงสวิน คารวะสัตว์ศักสิทธิ์ประตูภูเขา” สองคนรีบประสานมือคารวะงูเหลือมดำบนประตู
ยามนี้เอง จางเริ่นก็คลายวงแขนปล่อยซูหมิงลง แล้วไม่สนใจอีก
งูเหลือมแลบลิ้นขู่ฟ่อ เมื่อมองชายแซ่จางและจั่วสองคนแล้วก็มองซูหมิง
ซูหมิงก็มองงูเหลือมตัวนี้เช่นกัน แม้ขั้นพลังยังไม่ฟื้นกลับมา ทว่าในความรู้สึกเขา งูเหลือมตัวนี้สร้างความน่าเกรงขามให้กับเขาได้น้อยจริงๆ ตามการคาดเดา มันเป็นเพียงสัตว์ร้ายเทียบเท่าขั้นวิญญาณหมานตอนกลางเท่านั้น
แม้สัตว์แบบนี้จะหายากยิ่ง ทว่าสำหรับซูหมิงแล้ว หากขั้นพลังฟื้นกลับมา เพียงนิ้วเดียวก็สามารถสังหารมันได้
แทบเป็นวินาทีที่งูเหลือมมองซูหมิง มันพลันขยับตัวด้วยความเร็วที่ชายแซ่จางและจั่วตาเห็นพร่ามัว โผล่ร่างมาจากซุ้มประตูภูเขา ศีรษะใหญ่ปรากฏห่างจากตรงหน้าซูหมิงครึ่งจั้ง กระทั่งยังแลบลิ้นออกมาคล้ายจะโดนตัวซูหมิง
เหตุการณ์กะทันหันเช่นนี้ทำให้ชายแซ่จางและจั่วอึ้งงันไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็หน้าเปลี่ยนสีทันที ก่อนพากันถอยหลังไป ไม่กล้าขวางงูตัวนั้นแม้แต่น้อย
ในมุมมองพวกเขา ต่อให้เป็นผู้อาวุโสจ้าวเห็นงูเหลือมอารักขาภูเขาตัวนี้ก็ยังต้องเกรงใจ แม้ต้องมอบเด็กหนุ่มคนนี้ให้กับผู้อาวุโสจ้าว แต่ก็จะไม่ยอมไม่ล่วงเกินงูเหลือมศักดิ์สิทธิ์ผู้อาฆาตตัวนี้เป็นอันขาด
ซูหมิงยืนอยู่ที่เดิม ไม่ถอยแถมสีหน้ายังปกติ แต่นัยน์ตามีความเฉียบคมวูบผ่าน เขามองงูเหลือมที่จ้องตนอยู่พลางกล่าวช้าๆ
“ไสหัวไป!”
สิ้นเสียง ชายแซ่จางและจั่วพลันเบิกตากว้าง พวกเขาพาคนมาสำนักวิญญาณอสูรไม่น้อย ทว่าแทบทุกคนพอเห็นงูเหลือมตัวนี้แล้วจะเกิดความยำเกรงไม่กล้าเสียมารยาทเอ่ยให้ไสหัวไปเช่นนี้
โดยเฉพาะซูหมิงในตอนนี้ ในความรู้สึกพวกเขาต่างจากก่อนหน้านี้อย่างเห็นได้ชัด ราวกับเป็นอีกคนหนึ่ง
พวกเขารู้สึกเหลือเชื่อและตะลึงงันอยู่ตรงนั้น หลังจากซูหมิงเอ่ย งูเหลือมก็ถอยกลับไปเล็กน้อย แลบลิ้นขู่ฟ่อถี่ขึ้น ดวงตาวาววับ มันค่อยๆ ถอยไป สุดท้ายก็กลับไปบนประตูภูเขาอีกครั้งท่ามกลางดวงตาเบิกกว้างของชายแซ่จางและจั่วสองคน
ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่งดังเดิม สัตว์ร้ายที่มีขั้นพลังเช่นนี้ย่อมมีสติปัญญาเป็นพิเศษ ซูหมิงเอ่ยคำนั้น บางทีมีใครได้ยินเข้าอาจคิดว่าธรรมดา แต่ในความรู้สึกงูเหลือม นั่นเป็นกลิ่นอายชั่วร้ายที่สร้างความตื่นตกใจให้กับมัน
กลิ่นอายชั่วร้ายนี้ทำให้มันรู้สึกอย่างชัดเจนว่าบุคคลที่คล้ายจะอ่อนแอตรงหน้านี้ไม่ธรรมดา ฉะนั้นมันจึงค่อยๆ ถอยกลับไป
ขณะชายแซ่จางและจั่วสองคนอึ้งงัน ซูหมิงเดินไปทางซุ้มประตูภูเขาจนมาหยุดอยู่ข้างชายแซ่จางและจั่ว เขาหยุดชะงักครู่หนึ่งก่อนกล่าวเสียงเบา
“ไปกันเถอะ”
ชายแซ่จางและจั่วมองซูหมิงด้วยความประหลาดใจ รีบเดินตามไปหลายก้าว ออกจากซุ้มประตูเข้าไปในสำนักฝ่ายนอกวิญญาณอสูร ทั้งสองคนนี้ยังไม่อาจสงบลงได้ ภาพเมื่อครู่ยังคงวนเวียนอยู่รอบๆ
สายตาที่มองซูหมิงมีความตกใจระคนสงสัยเล็กน้อย การปฏิบัติตัวก็ดีกว่าก่อนหน้านี้มาก
ชายแซ่จางและจั่วนึกสงสัยในใจตลอดทาง มองซูหมิงเงียบๆ เป็นบางครั้ง จนกระทั่งเดินอ้อมกลุ่มวิหารใหญ่สีดำทมิฬตรงกลางยอดเขามาแล้ว สิ่งที่ปรากฏตรงหน้าก็คือลานบ้านค่อนข้างเงียบเหงาห่างไกลผู้คน
ลานบ้านนี้ตั้งชิดกับหน้าผาภูเขา มีเรือนพักสีดำสามห้อง โดยรอบเงียบสงบยิ่งนัก มีความรู้สึกอึดอัดวนเวียนอยู่รอบๆ ตรงปากทางเข้าลานนี้มีรูปปั้นตั้งอยู่สองรูป
รูปปั้นสองรูปนี้ดูคล้ายกับรูปปั้นระหว่างทางเดินขึ้นเขา คือมีวิญญาณร้ายอยู่ ทำให้ลานนี้ดูอึมครึมยิ่งกว่าเดิม
โดยเฉพาะด้านบนของที่นี่คือจุดที่ปล่อยหมอกควันจากยอดเขาสำนักวิญญาณอสูร ฉะนั้นแสงตะวันที่นี่จึงมืดสลัว มักจะไม่ค่อยเห็นแสงสว่างนัก ความรู้สึกของคนที่นี่เลยเย็นเยียบและมืดทะมึน
ชายแซ่จางและจั่วหยุดอยู่นอกลาน ประสานมือคารวะไป
“ศิษย์จางเริ่น คารวะผู้อาวุโสจ้าว”
“ศิษย์จั่วซิงสวิน คารวะผู้อาวุโสจ้าว เด็กบ้านตระกูลเฉินมาถึงแล้ว บุคคลนี้นามเฉินซู เป็นน้องชายของศิษย์น้องเฉิน” ชายแซ่จางและจั่วคารวะอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าเงยหน้า
นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย ก้มหน้าลงประสานมือคารวะเช่นกัน
เขาไม่ได้กังวลเรื่องความปลอดภัยของตนมากนัก เว้นแต่จะเจอศัตรูแกร่งอย่างตี้เทียน มิเช่นนั้นต่อให้เจอนักรบขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ หากเขาฟื้นตัวกลับมาก็สู้ไหว
ตอนนี้แม้ขั้นพลังฟื้นฟูกลับมาเพียงส่วนเดียว ทว่าจากการสังเกตร่างกายมาตลอดหนึ่งปี ก็พบว่ากระดูกหมานทั้งตัวยังอยู่ เพียงแต่มัวหมองยิ่งนักราวกับเปื้อนฝุ่น แต่แม้จะเป็นอย่างนั้น ความแกร่งของร่างกายก็ยังคงอยู่ตามเดิม หากคนอื่นคิดจะทำร้ายเขาย่อมมิใช่เรื่องง่าย
อีกทั้งที่สำคัญที่สุดคือจิตสัมผัสฟื้นฟูกลับมาเล็กน้อยแล้ว ถุงเก็บวัตถุก็เปิดได้ แม้งูน้อยจะหลับใหลมาตลอดหนึ่งปี ทว่าก็ยังมีเค้ารางจะตื่นขึ้น นอกจากนี้มังกรแดงฉานก็เช่นกัน ระฆังเขาหานก็ยังใช้การได้
แม้ระฆังเขาหานจะเสียหาย ทว่าพลานุภาพของมันใช่ว่าจะดูถูกกันได้ง่ายๆ
ส่วนกระเรียนขนร่วง หลังจากซูหมิงตื่นมาก็ไม่เห็นมันอีก ดูแล้วมันคงขี้ขลาดเลยอาศัยจังหวะหนีไปแล้ว
แม้ด้วยความสามารถของซูหมิงบวกกับของวิเศษและความแกร่งของร่างกายจะปกป้องตัวเองได้ แต่หากสู้ไม่ได้ เขาจะไม่ลงมือเด็ดขาด ถึงอย่างไรตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือฟื้นขั้นพลังโดยเร็ว
‘ไม่รู้ว่าเป้าหมายของผู้อาวุโสจ้าวคืออะไร ทว่าคงไม่น่าจะลงมือทำร้ายลูกหลานตระกูลเฉินที่เขาคิดว่าใช่ในทันที มิเช่นนั้นก็ไม่ต้องพาข้ามาให้ยุ่งยาก เพียงลงเขาครั้งเดียวไปจัดการให้สิ้นซากก็เรียบร้อย’ ด้วยประสบการณ์ของซูหมิง หลังจากเรื่องราวเหล่านี้แล่นผ่านในใจเขา มันก็ชัดเจนขึ้นมากกว่าครึ่ง
ยามนี้มีเสียงแหบแห้งดังมาจากลาน เสียงนี้น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ช่วงที่เสียงแว่วมา ไอหนาวโดยรอบพลันหนาขึ้นมาก กระทั่งวิญญาณร้ายยังตัวสั่น
“ให้เขาอยู่ที่นี่ ส่วนพวกเจ้ากลับไปเถอะ”
ชายแซ่จั่วและจางรีบขานรับด้วยความนอบน้อม ก่อนถอยหลังไปอย่างเร็ว จนกระทั่งออกจากลานนี้ไปไกลแล้ว พวกเขาสองคนก็ปาดเหงื่อบนใบหน้าแล้วหันหลังไปมองแวบหนึ่ง จากนั้นมองหน้ากันและกัน
“จะเกิดจะตาย จะมั่งมีศรีสุขขึ้นแต่ฟ้าลิขิต เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเรา ถึงอย่างไรพวกเราก็แค่ทำตามคำสั่งเท่านั้น…” จางเริ่นส่ายศีรษะ
“ใช่ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเรา หากผู้อาวุโสจ้าวระเบิดตายนั่นก็เป็นเพราะเขาเอง…ศิษย์พี่จาง ท่านว่าเจ้าเฉินนั่น…เขาจะเป็นยอดฝีมือปลอมตัวมาหรือไม่?”
ชายแซ่จั่วคิดเช่นนั้น พอลังเลครู่หนึ่งก็เอ่ยเสียงเบา
“เงียบ เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับพวกเรา!” ชายแซ่จางรีบตะคอกเสียงเบา มีท่าทีตึงเครียดอย่างยิ่ง หลังจากจูงมือชายแซ่จั่วออกไปไกลอีกหลายก้าวแล้วค่อยเอ่ยเบาๆ
“แปดส่วนเป็นเช่นนั้น เจ้าไม่เห็นหรือว่างูเหลือมศักดิ์สิทธิ์ยังกลัวเลย เจ้าเคยเห็นมันมีนิสัยดีแบบนี้เมื่อไรกัน…พวกเราจะเข้าไปเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้ และก็ต้องเงียบเอาไว้ห้ามพูดกับใครเด็ดขาด มิเช่นนั้นแล้วดีไม่ดีพวกเราได้ล่วงเกินใครแน่ๆ”
“อืม ดีที่คนอื่นไม่รู้เรื่องนี้…..ตะ…แต่ว่าระหว่างทางก็มีคนเห็นไม่น้อย โดยเฉพาะศิษย์พี่ซาน…..ใช่แล้ว ท่านยังเอาเนื้อวิญญาณเขามาด้วย”
“เรื่องนี้เจ้ากับข้าต้องตกลงกันให้ดี เจ้าคงไม่มีธุระอะไรแล้ว ไป ไปคุยกับข้าตรงนั้นดีกว่า” ชายแซ่จางได้ยินคำว่าเนื้อวิญญาณก็หน้าเจื่อน ครั้นมองไปรอบๆ แล้วก็ดึงมือชายแซ่จั่วรีบจากไป
กลับมาที่ซูหมิง เขายืนอยู่นอกลาน ยามนี้เงยหน้าขึ้นพิจารณาลาน ลานนี้ไม่ใหญ่มาก บนพื้นข้างในมีหมอกดำมรณะลอยโชย กลายเป็นร่างเงามายาดุร้ายหลายตัวกลางอากาศ หลังจากหายไปก็จะตกลงสู่พื้นดิน วนเวียนเป็นวัฏจักรไป ทำให้ผู้พบเห็นเป็นต้องตกตะลึงกับความพิลึก
ช่วงที่ซูหมิงมองลานนี้ ประตูลานก็เปิดเองอย่างเงียบเชียบ
ซูหมิงไม่ส่งเสียงอะไร เมื่อรออยู่ครู่หนึ่งแล้วก็เดินผ่านประตูอย่างช้าๆ วินาทีที่เหยียบเข้าไปในลาน ประตูด้านหลังพลันปิดเอง
“มีความกล้าดี พอๆ กับพี่ชายของเจ้าในตอนนั้น นี่คือคุณสมบัติสำหรับคนที่จะมาเป็นศิษย์ของข้า!” ขณะเดียวกับที่ประตูลานปิดลงก็มีเสียงแหบแห้งดังก้องในลาน
“ข้าจ้าวชง มีลูกศิษย์สามคน ทว่าตอนนี้ตายหมดแล้ว พี่ชายของเจ้าคือศิษย์คนที่สามของข้า และก็เป็นศิษย์คนที่ข้าพอใจมากที่สุด ก่อนเขาตายข้าเคยรับปากเอาไว้ว่าจะมอบสมบัติของเขาให้กับครอบครัวเจ้า ทั้งยังขอให้ข้ารับน้องชายหรือน้องสาวเขาเป็นศิษย์คนหนึ่ง
จากนี้ไป เจ้าคือศิษย์คนที่สี่ของข้า!”
“คุณสมบัติร่างกายเจ้าเป็นหมาน ไม่เหมาะจะฝึกฝนวิชาวิญญาณอสูรของข้า หนึ่งปีจากนี้ข้าจะให้เจ้าแช่บ่ออสูรเพื่อชะล้างกายหมาน แล้วจากนั้นถึงจะฝึกอภินิหารของสำนักอสูรได้
ทว่าในหนึ่งปีนี้ หากเจ้าไม่อยากตายในบ่ออสูรก็ต้องกินยาอสูรอาฆาตทุกวัน…ยานี้จะทำให้ร่างกายเจ้าสามารถสูบรับกลิ่นอายชั่วร้ายเพื่อสร้างรากฐานในอนาคต” เสียงแหบแห้งดังมาถึงตรงนี้ ก็มีน้ำเต้าลอยมาจากเรือนหนึ่งตรงกลางในสามหลัง
น้ำเต้านี้เป็นสีดำทุกส่วน แผ่กระจายหมอกดำเข้มข้นออกมา ขณะเดียวกันยังมีใบหน้าภูตผีวนเวียนอยู่รอบๆ คนธรรมดามองไม่เห็น แต่ในสายตาซูหมิงกลับเห็นอย่างชัดเจน
น้ำเต้านั้นลอยมาตกตรงหน้าเขา
“เรือนทางขวาคือที่พักของเจ้า ไปเถอะ!” เสียงแหบแห้งกล่าวจบก็ไม่พูดอะไรอีก
ซูหมิงเก็บน้ำเต้าขึ้นมาด้วยสีหน้าปกติ แล้วจึงเดินไปยังเรือนทางขวา
‘หรือว่าจะหลอมเฉินต้าสี่เป็นยาไปแล้ว?’ ระหว่างที่ซูหมิงผลักประตูเรือนก็เหลือบสายตามองเรือนตรงกลางแวบหนึ่ง ตอนนี้จิตสัมผัสยังฟื้นกลับมาไม่มาก มิเช่นนั้นแล้วเขาก็อยากจะเห็นว่าผู้อาวุโสจ้าวมีหน้าตาเป็นอย่างไร