ตอนที่ 61 ปลดเชือก
น่าเสียดาย การยืนหยัดของไป๋หลิงและอูลา เมื่อผ่านยามโพล้เพล้ ดวงจันทร์บนท้องฟ้าเริ่มปรากฏเป็นครึ่งเสี้ยว ชื่อของพวกนางก็กลายเป็นสีเทา แทบจะเป็นในจังหวะเดียวกัน ท้องฟ้าพลันบิดเบี้ยว มีหมอกดำลอยเข้ามาสองก้อน เมื่อหมอกสลายไปแล้ว จึงเห็นเป็นเด็กสาวใบหน้าซีดขาวสองคน
ไป๋หลิงมีสีหน้าเรียบเฉย เพราะนางพยามเต็มที่แล้ว ความเป็นจริงในงานประลองครั้งนี้ หลังจากนางไม่เห็นซูหมิงก็ไม่มีกะจิตกะใจแข่งขัน ยามนี้พอได้กลับมาอยู่ท่ามกลางสายตาของผู้คนหลายร้อย ไป๋หลิงจึงก้มหน้าแล้วเดินไปทางชนเผ่าของนาง ไม่พูดไม่จา นั่งลงข้างหลังยายเฒ่าแล้วมองอันดับรายชื่อบนรูปปั้น มองชื่อของโม่ซูพลางกัดริมฝีปาก ไม่ทราบว่ากำลังคิดอะไรอยู่
ยายเฒ่าข้างนางเหมือนจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่าไป๋หลิงไม่ได้ตั้งใจฟังเลยไม่ได้ยิน จึงไม่ได้กล่าวอะไร
เทียบกับความสงบนิ่งของไป๋หลิงแล้ว อูลามีท่าทีไม่ยินยอม เดินกลับไปยังเผ่าเขาทมิฬเงียบๆ สิ่งที่ต้อนรับนางก็คือรอยยิ้มและคำปลอบใจอ่อนโยนของผู้นำกองรักษาการณ์
“อูลา นี่เจ้าก็ทำได้เยี่ยมมากแล้ว เข้าร่วมงานประลองครั้งแรกก็ติดหนึ่งในเจ็ดสิบได้ หลังจากกลับไปแล้วก็ตั้งใจฝึกฝนเล่า ครั้งหน้าจะต้องติดหนึ่งในห้าสิบได้แน่”
อูลาพยักหน้าเบาๆ แม้ว่านางจะไม่พอใจ ทว่าลึกๆ แล้วกลับมีความภูมิใจ นางคิดว่าคะแนนของตนไม่ถือว่าเลวร้ายมากนัก เป็นดังที่ผู้นำกองรักษาการณ์ว่า ครั้งแรกทำได้ถึงขนาดนี้ก็ยอดเยี่ยมพอแล้ว
ขณะเงยหน้า อูลามองอันดับรายชื่อบนรูปปั้น เห็นชื่อของเป่ยหลิงอยู่อันดับสี่สิบเก้า เห็นเหลยเฉินอยู่อันดับห้าสิบสาม ทั้งยังเห็นของโม่ซู ในตอนที่นางเห็นชื่อโม่ซูสองพยางค์นี้ แววตาของนางเป็นประกาย
“เขาเป็นใคร….”
เวลาดำเนินผ่านไปอย่างเชื่องช้า ทว่ายามนี้ในงานประลองด่านแรกอันดุเดือดกลับทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับมันผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวบนท้องฟ้าไม่ใช่จันทร์เสี้ยวอีกต่อไป แต่เป็นดวงจันทร์ส่องแสงสุกสกวาวลอยสูงบนท้องฟ้า
อีกไม่นานจะเข้าสู่กลางดึก แรงต้านบนเขาค่อยๆ เพิ่มมากขึ้น
เหลยเฉินขอยอมแพ้ อันดับของเขาอยู่ที่ห้าสิบสอง เมื่อปรากฏขึ้นบนลานแล้ว สีหน้าของเขาดูไม่ผิดหวัง แต่ยังคงยิ้มซื่อๆ ในระหว่างเดินกลับมีหลายคนกล่าวทักทายเขา เห็นได้ชัดว่าในช่วงเวลาที่มายังเผ่าร่องลม เหลยเฉินมีเพื่อนใหม่ไม่น้อย
ในช่วงที่เขากลับมาถึงกลุ่มเผ่าเขาทมิฬ เป่ยหลิงและซือคงขอยอมแพ้ ก่อนถูกพากลับมายังลานด้วยหมอกดำ เป่ยหลิงยังคงมีสีหน้าเย็นชา อันดับของเขาอยู่ที่สี่สิบเก้า ถือว่าสมดังปรารถนา ติดหนึ่งในห้าสิบ
การติดห้าสิบอันดับแรกในครั้งนี้ ไม่เหมือนกับเมื่อหลายปีก่อน ตอนนั้นเขาได้อูเซินช่วยจึงทำสำเร็จ ทว่าครั้งนี้ เขาทำสำเร็จได้ด้วยตัวเอง เป่ยหลิงเชื่อว่า หากเขาไม่ได้มอบโลหิตตรงระหว่างคิ้วให้แก่อูเซินเมื่อหลายวันก่อน บางทีอันดับของเขาอาจจะสูงกว่านี้
เป่ยหลิงเดินกลับกลุ่มเผ่าเขาทมิฬด้วยความภาคภูมิใจเต็มเปี่ยม
“อูลา เจ้าทำได้ดีมาก แม้จะไม่ติดหนึ่งในห้าสิบ ทว่าได้เท่านี้ก็ดีพอแล้ว แต่เจ้าอย่าเพิ่งพอใจมากนัก ยังมีด่านสองอีก” เป่ยหลิงมองอูลา กล่าวขึ้นเรียบๆ
อูลารีบยันกายขึ้น พยักหน้าเบาๆ สายตาที่มองเป่ยหลิงฉายแววเคารพ ได้เข้าร่วมงานประลองครั้งนี้ด้วยตัวเอง ทำให้นางได้เข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าการจะติดหนึ่งในห้าสิบเป็นเรื่องที่ยากเพียงไหน
“ส่วนเจ้า…..เหลยเฉิน เจ้าน่าจะติดหนึ่งในห้าสิบได้ ตอนนี้เจ้าอยู่อับดับห้าสิบสอง ช่างเถอะ ในด่านที่สองเจ้าต้องพยามมากกว่านี้ ในเผ่าเขาทมิฬมีพวกเราสามคนที่เข้าร่วม พวกเราจะต้องทำมันให้เต็มที่!” เป่ยหลิงมองเหลยเฉิน กล่าวขึ้นเรียบๆ
เหลยเฉินก้มหน้าไม่กล่าวสิ่งใด
ไกลออกไป เมื่อซือคงกลับมาแล้ว สีหน้าของเขาดูผิดหวังยิ่งนัก ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ยังอยู่อันดับห้าสิบ เดินคอตกกลับไปยังกลุ่มเผ่าของตน มองไป๋หลิงแวบหนึ่งเหมือนจะกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่ากลับเห็นสายตาเย็นชาของนาง เขาจึงกลืนคำพูดลงไปทันที
เวลาผ่านไป ในอันดับห้าสิบแรกเริ่มมีคนของยอมแพ้ รายชื่อเหล่านั้นกลายเป็นสีเทาทีละคน ก่อนถูกส่งกลับมา ทำให้บนลานในเวลานี้เริ่มครึกครื้น
คนที่ติดหนึ่งในห้าสิบเหล่านั้น พอกลับมาแล้วมักจะมีสีหน้าภูมิใจ อีกทั้งมีหลายคนเข้าไปรุมล้อมขอแสดงความยินดีอีกด้วย เรียกเสียงหัวเราะลำพองใจจากพวกเขาได้ไม่น้อย
มีคนยอมแพ้ ย่อมมีคนยืนหยัดเช่นเดียวกัน เฉินชงในเวลานี้กำลังกัดฟันสู้อย่างบ้าคลั่ง เหงื่อชุ่มไปทั้งตัว เนื้อบนใบหน้าสั่นไหวไม่หยุด พร้อมกับเดินขึ้นไปอย่างต่อเนื่อง
เขาหอบหายใจแรง มองเห็นราวกับมีดาวจำนวนมากล้อมรอบตัว ทำให้เขาเหนื่อยจนแทบจะทนไม่ไหว แต่ถึงกระนั้นเขาก็ยังบ่นอยู่ตลอดเวลา
“มารดามันเถอะ ข้าเหนื่อยจะตายอยู่แล้ว!”
“ห้าร้อยสามสิบเจ็ด…..ห้าร้อยสามสิบเก้า…..เจ้าปี้ซู่สมควรตาย ข้าเสียเวลากับเจ้ามามากพอแล้ว ข้าไม่ยอมจบกับเจ้าแน่!” เฉินชงปาดเหงื่อ สีหน้าดูคลุ้มคลั่ง เสียงบ่นเริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ
“เจ้าว่าเจ้าบ้าหรือไม่ เหตุใดถึงต้องมาแข่งกับข้า มารดาเจ้าเถอะ ปี้ซู่ ข้าเหนื่อยจะตายแล้วจริงๆ ต่อให้เป็นผีข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไว้! ห้าร้อยสามสิบแปด…..หืม ไม่สิ ห้าร้อยสามสิบเก้า”
เฉินชงมีสีหน้าทุกข์ระทม หอบใจแรงดังสายฟ้า ใช้ทั้งมือและเท้าทั้งสี่แบกรับแรงต้านที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ปีนขึ้นไปหัวใจเต้นตึกตักราวกับจะระเบิด จำนวนของเม็ดเหงื่อเยอะจนเห็นได้ชัดว่าบนขั้นบันไดด้านหลังมีรอยเหงื่อเป็นทาง
“เหนื่อยจะตายอยู่แล้ว มารดาเจ้าคงอยากให้ข้าเหนื่อยจนตาย! เหงื่อของข้า ครั้งนี้คงได้ผอมแล้ว ได้ผอมแน่ๆ…” เฉินชงหอบหายใจแรงไม่หยุด ขณะกำลังปีน ใบหูพลันกระดิก หลังจากตั้งใจฟังได้ครู่หนึ่ง ก็หัวเราะเสียงดังทันที
“เหนื่อยตายไปซะ กล้ามาแข่งกับข้า เจ้าบ้าปี้ซู่!” ใบหูพรสวรรค์พิลึกของเขา ได้ยินเสียงหอบหายใจแรงพอๆ กับเขาดังมาจากทางขั้นบันไดแห่งหนึ่งค่อนข้างไกล
ปี้ซู่มีสภาพไม่ต่างกัน เหงื่อหยดเป็นทางต่อเนื่อง ดวงตาราวกับมีเพลิงลุกโชติช่วง หลังจากแข่งกับเฉินชงมานาน ยามนี้กัดฟันปีนขึ้นไปอย่างบ้าคลั่ง เขาเหนื่อยหอบหายใจแรงติดกันจนรู้สึกเจ็บหน้าอก ทว่าก็ยังไม่ยอมแพ้
“เฉินชง ข้าจะต้องเอาชนะเจ้าให้ได้! นอกจากเยี่ยวั่งแล้ว ข้านี่แหละคือผู้แข็งแกร่งที่สุดในรุ่นเดียวกัน!”
เพียงแต่ว่ายิ่งขึ้นสูง โดยเฉพาะเมื่อถึงขั้นห้าร้อยกว่า ระดับแรงต้านรวมกับแรงเสริมในยามค่ำคืน มันช่างน่ากลัวยิ่งนัก เฉินชงกับปี้ซู่เมื่อยามเที่ยงวันยังพอได้ ทว่าเวลานี้ใกล้เข้าสู่กลางดึก แม้แต่ยกเท้ายังว่ายากเช่นกัน
นอกจากสองคนนี้แล้ว คนอื่นที่ยังยืนหยัดก็ไม่ต่างอะไรกัน โดยเฉพาะอูเซิน เขากัดฟันก้าวเดินไปทีละก้าวไม่หยุดหย่อน เขาไม่อยากถูกใครแซงหน้าอีก แม้จะไม่ติดหนึ่งในสิบ ทว่าอันดับสิบสองนี้จะต้องรักษาเอาไว้ให้ได้
ไม่นานก็เข้าสู่กลางดึก แรงต้านจากยอดเขาบรรลุถึงขีดสูงสุด มีหลายคนที่เริ่มหยุดพัก ถึงอย่างไรตามกฏงานประลองลองในด่านแรก พรุ่งนี้ยามรุ่งสางถึงจะเป็นศึกตัดสิน!
เมื่อกลางดึกคืบคลานเข้ามา เฉินชงตัวสั่นสะท้าน สัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงระดับความน่ากลัวของแรงต้านจากยอดเขา
“ห้าร้อยสี่สิบเจ็ด…ห้าร้อย…มารดาเถอะ ข้าไม่แข่งแล้ว! ปี้ซู่ เจ้าเอาที่สองไปเลย ข้าให้เจ้า! ขืนแข่งต่อไปข้าคงได้เหนื่อยตายจริงๆ แน่ เจ้าร่างกายบ้า….” เฉินชงนั่งแผ่ลงบนพื้น ร้องตะโกนเสียงดังไปรอบตัว
“ที่สามก็ที่สาม ไม่เป็นไร ขอแค่ไม่หลุดอันดับสาม ข้าก็ไม่ขายหน้า! ถึงอย่างไรอูเซินก็ยังอยู่ด้านหลัง ปี้ซู่ เจ้าเก่งนักก็เดินไป เดินให้เหนื่อยตายไปเลย! มารดาเถอะ หากข้าทะลวงพลังได้เหมือนโม่ซู จะต้อง……หืม อ๊า!” เฉินชงหอบหายใจแรง ใช้มือทำเป็นพัด ขณะกำลังบ่นอยู่พลันตัวสั่น ใบหูตั้งขึ้น สีหน้าเริ่มเปลี่ยนเป็นตื่นตะลึง
ปี้ซู่มองอันดับรายชื่อบนตราหิน หลังจากเห็นจำนวนขั้นบันไดของเฉินชงไม่ขยับ จึงแหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง นัยน์ตาฉายแววเหี้ยมโหด
“นอกจากเยี่ยวั่งแล้ว ข้าแข็งแกร่งที่สุด!” เขาหายใจกระชั้นถี่พลางกัดฟันเดินขึ้นไปได้หลายขั้น จนถึงขั้นที่ห้าร้อยห้าสิบสามจึงหยุดลง มองตราหินแวบหนึ่ง สีหน้าลำพองใจพลันแข็งค้าง เขาเห็นชื่อของโม่ซูอันดับที่ยี่สิบเอ็ดเริ่มขยับแล้ว!
คนที่เห็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ยังมีอูเซินและเหล่ายี่สิบอันดับแรก นอกจากเยี่ยวั่งแล้ว ทุกคนต่างมองเห็นเป็นตาเดียวกัน โม่ซูขยับแล้ว!
ในขณะเดียวกันบนลานด้านนอก พลันเกิดเสียงฮือฮาดังลมพายุโหมกระหน่ำ ราวกับจะพลิกฟ้าดิน! ผู้คนบนลานทั้งหมด ยายเฒ่ามังกรทมิฬ ผู้นำเผ่าทุกเผ่า รวมถึงจ้าวเผ่าภูผาดำที่ไม่เคยแยแส ล้วนมองไปทันที
สายตาจำนวนมาก เหลยเฉิน อูลา ไป๋หลิง ซือคง เป่ยหลิง และยังมีผู้เข้าแข่งขันอันดับยี่สิบเป็นต้นไปที่ยอมแพ้ ทั้งหมดล้วนหยุดหายใจ มองไปยังชื่อหนึ่งบนรูปปั้นเป็นตาเดียว
ท่านปู่โม่ซังนัยน์ตาเป็นประกาย จ้องมองอันดับรายชื่อบนรูปปั้น ประกายแสงในแววตาเด่นชัดยิ่งนัก จิงหนานที่อยู่ข้างเขา ยามนี้ไม่ได้ทำเมินเฉยอีก แต่หรี่ตาแล้วมองเข้าไป
ซูหมิง ขยับแล้ว!
ยามกลางดึกนี้เป็นของเขา ท่ามกลางแสงจันทร์สาดส่อง
เขายันกายขึ้นอย่างช้าๆ ภายใต้การควบคุมความละเอียดอ่อนของเขา เส้นเลือดในร่างกายเหลือเพียงสิบห้าเส้น ก่อนค่อยๆ จางหายไป
เขาแหงนหน้ามองดวงจันทร์บนท้องฟ้า ในดวงตาของซูหมิงเริ่มปรากฏเป็นเงาจันทร์สีแดง เส้นผมที่ถูกมัดด้วยเชือกฟางตั้งขึ้น ก่อนเคลื่อนไหวแม้ไร้ลมท่ามกลางแสงจันทร์ เขาสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วใช้มือขวาแกะเชือกมัดผมออก ทำให้เส้นผมปลิวไสว พลันยกเท้าขึ้นเหยียบบนขั้นสามร้อยเจ็ดสิบสอง
ในช่วงที่เหยียบลง เส้นเลือดทั้งหมดในตัวของซูหมิงปะทุขึ้น และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ความเร็วสูงสุดของตนในตอนนี้!
แสงโลหิตเปล่งประกายโดยรอบ ซูหมิงเป็นดั่งเงาโลหิตห้อเหยียดหายไปในพริบตา!
สามร้อยเจ็ดสิบสอง สามร้อยเก้าสิบสาม สี่ร้อยยี่สิบสี่ สี่ร้อยสี่สิบแปด สี่ร้อยเจ็ดสิบเอ็ดขั้น…ความเร็วของเขาในค่ำคืนแสงจันทร์แห่งนี้ ประดุจคลื่นลมพายุคลั่ง ทำให้ผู้คนบนเขาและบนลานด้านล่างทุกคนที่มองอยู่ล้วนเงียบกริบ….