ตอนที่ 62 อำนาจคุกคามแข็งแกร่ง
พวกเขาต้องเงียบ เพราะว่าทุกอย่างมันเพิ่งเริ่มต้น!
บนรูปปั้นทั้งเก้า เวลานี้ผู้เข้าแข่งขันบนเขาเหลือไม่ถึงยี่สิบคน อันดับรายชื่อของซูหมิงบนตราหินในมือของพวกเขา กำลังพุ่งทะยานขึ้นอย่างบ้าคลั่ง!
อันดับยี่สิบ อันดับสิบเก้า อันดับสิบเจ็ด อันดับสิบห้า อันดับสิบสี่ อันดับสิบสาม อันดับสิบ
ในช่วงที่ทะลวงเข้ามาอยู่อันดับสิบ ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นอีกครั้ง พลันเปลี่ยนเป็นอันดับเก้า!
อูเซินยืนเหม่อลอยอยู่บนขั้นสี่ร้อยห้าสิบเจ็ด มองอันดับรายชื่อบนตราหินด้วยความตกตะลึง ไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง แม้ว่าเขาจะคาดการณ์เอาไว้ก่อนแล้วว่าเมื่อโม่ซูเคลื่อนไหวต้องน่าตะลึงอย่างแน่นอน ทว่ากลับไม่เคยคิดเลยว่ามันจะน่าสะพรึงถึงเพียงนี้!
แทบจะเป็นในช่วงพริบตาเดียว อูเซินตกจากอันดับสิบสองมาเป็นอันดับสิบสาม ไม่มีโอกาสให้เขาได้ตั้งตัวหรือต่อสู้ดิ้นรนแม้แต่น้อย
คนที่ตกตะลึงไม่ใช่มีเพียงแค่เขา นอกจากเขาแล้ว จากอันดับสิบไปจนถึงอันดับยี่สิบทุกคนล้วนถูกเปลี่ยนอันดับในชั่วพริบตา การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ทำให้พวกเขารู้สึกหมดแรง กระทั่งแรงฮึดสู้ยังไม่มี เหลือเพียงความตื่นตะลึงและเฝ้ารอความเมตตา
อูเซินคำรามเสียงต่ำ เส้นเลือดสีเขียวปูดขึ้นบนใบหน้า กัดฟันเดินต่ออย่างบ้าคลั่ง เขาไม่ยอม! จากการเคลื่อนไหวของเขา ทำให้ผู้เข้าแข่งขันที่โดนซูหมิงแซงหน้าล้วนยืนขึ้นจากการพักผ่อน แล้วกัดฟันไล่ตามไป!
คนที่ติดหนึ่งในยี่สิบได้ย่อมไม่ธรรมดา ความหยิ่งผยองไม่ทำให้พวกเขายอมแพ้ง่ายๆ เวลานี้พวกเขาล้วนเคลื่อนไหวโดยไม่สนใจเรื่องแรงต้านมหาศาลยามกลางดึก!
แม้แต่เฉินชงที่นั่งพักอยู่บนขั้นห้าร้อยสี่สิบเจ็ดยังพลันสะดุ้ง เหม่อมองตราหินในมือ สูดลมหายใจเข้าลึก เสียงระเบิดที่เขาได้ยินเมื่อครู่นี้เป็นเสียงการเพิ่มจำนวนเส้นเลือด นี่เป็นเสียงที่ทำให้เขาอิจฉาและเฝ้าปรารถนาก่อนหน้านี้!
ณ ขั้นห้าร้อยห้าสิบสาม ปี้ซู่ก็สัมผัสได้อย่างชัดเจนเช่นเดียวกัน ระยะห่างระหว่างเขากับซูหมิงมีแค่หมอกหนาทึบเป็นตัวกั้นเท่านั้น ทำให้เขาได้ยินเสียงดังสนั่นและสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่า บนทางขั้นบันไดใกล้ๆ นี้ คนชื่อโม่ซูกำลังเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนน่าสะพรึง!
ไม่ใช่มีเพียงแค่พวกเขาทั้งสองคน เวลานี้คนที่ตึงเครียดที่สุดคงจะเป็นอันดับสี่ไปจนถึงอันดับแปด ทั้งห้าคนนี้เป็นคนจากเผ่าร่องลม แม้จะไม่มีชื่อเสียงโด่งดังเฉกเช่นเฉินชงหรืออูเซินพวกนั้น ทว่าก็ไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน
ขณะนี้ความรู้สึกตึงเครียดของพวกเขา ทำให้หัวใจเต้นระรัว ต่างพากันหยุดพักผ่อนแล้วยืนขึ้น ก่อนเริ่มเคลื่อนไหวต่อทันที!
ทว่านี่เป็นยามค่ำคืน เป็นช่วงกลางดึก และเป็นช่วงที่เขาร่องลมมีแรงต้านรุนแรงมากที่สุด ฉะนั้นจึงต้องรับแรงต้านมหาศาลราวกับฟ้าถล่ม เพียงพอจะทำให้พวกเขารู้สึกตายทั้งเป็น
โดยเฉพาะตอนที่ทุกคนยืนขึ้นแล้วเดินไปได้ไม่กี่ก้าว สายตาของพวกเขาที่กำลังมองอันดับรายชื่อบนตราหิน จากตื่นตะลึงพลันกลายเป็นหวาดกลัว ฝีเท้าของพวกเขาหยุดชะงักทันที
เส้นผมของซูหมิงปลิวไสว พอไม่มีเชือกมัดอยู่แล้ว เส้นผมของเขาเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระแม้ไร้ลม ดวงตาของเขาเป็นสีแดงฉาน ภายในมีดวงจันทร์กำลังไฟลุกโชติช่วง!
ซูหมิงเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องจนมาถึงขั้นสี่ร้อยเจ็ดสิบเอ็ดจึงหยุดลง เส้นเลือดเพิ่มขึ้นมาทีละเส้น ทว่าเขากลับไม่สนใจเส้นเลือดเหล่านั้น พลันยกเท้าขึ้นแล้วก้าวเดินต่อไป
แรงต้านจากยอดเขาถาโถมเข้าใส่ ประดุจยอดเขาจำนวนมากกำลังกดทับก็มิปาน ทำให้ซูหมิงรู้สึกราวกับไม่อาจทนรับไหว พลังโลหิตในร่างโคจรอย่างรวดเร็ว แสงจันทร์โอบล้อมรอบตัว ภายใต้แรงต้านมหาศาล ซูหมิงยืนหยัดห้อเหยียดต่อไป!
สี่ร้อยเจ็ดสิบสอง สี่ร้อยแปดสิบสาม สี่ร้อยเก้าสิบสี่ ห้าร้อยหก…ห้าร้อยยี่สิบสาม ห้าร้อยสามสิบเจ็ด…ห้าร้อยสี่สิบหก! จนกระทั่งซูหมิงมาถึงขั้นห้าร้อยสี่สิบหก เขาจึงหยุดลง เม็ดเหงื่อชโลมไปทั้งตัว หายใจกระชั้นถี่ ทว่าในดวงตากลับยังคงหนักแน่น!
ร่างกายของเขาส่งเสียงดังต่อเนื่อง เส้นเลือดแปดสิบเจ็ดเส้นพลันปรากฏขึ้นเมื่อเขาหยุดชะงัก พันรอบตัดสลับกันบนตัวของเขา กลายเป็นกลิ่นอายพลังแข็งแกร่งโอบล้อมทั้งตัว
อันดับสี่ โม่ซู ห้าร้อยสี่สิบหกขั้น!
เบื้องหน้าของเขามีเพียงสามคนเท่านั้น! ด้านหลังของเขาเป็นผู้เข้าแข่งขันที่เหลืออยู่ทั้งหมด! แม้จะมองกราดลงไปไม่ได้ ทว่าซูหมิงในเวลานี้กลับยืนอยู่บนยอดสูงสุด!
ยามนี้เฉินชงตัวสั่น แม้เขาจะมองไม่เห็นซูหมิง ทว่ากลับสัมผัสได้ถึงอำนาจพลังที่กระทบใบหน้าจากตราหินในมือ อีกทั้งด้วยใบหูของเขายังได้ยินเสียงดังสนั่นจนตื่นกลัว
เขามองไม่เห็นอีกฝ่าย ทว่ากลับรู้สึกได้ว่าโม่ซูคนนี้ทำให้เขาตื่นกลัวได้มากกว่าปี้ซู่ บางทีอาจเป็นเพราะมองไม่เห็น และอาจเป็นเพราะความลึกลับของอีกฝ่าย เฉินชงจึงเกิดความหวาดกลัวอย่างหาได้ยากยิ่ง
ดูเหมือนเฉินชงจะโอนอ่อนตาม ทว่าความจริงแล้วจิตใจของเขายังคงหยิ่งผยอง เขาไม่แยแสต่อปี้ซู่เลยขอยอมแพ้ อีกทั้งยังเป็นเพราะเขาเหนื่อยจริงๆ ด้วยเป็นคนนิสัยปล่อยวาง จึงไม่อยากแข่งมากนัก แล้วเหตุใดเขาจะต้องยอมเหนื่อยขนาดนั้นด้วยเล่า แต่ที่สำคัญคือในความคิดของเขา ปี้ซู่ไม่มีค่าพอให้เขาเรียกว่าคู่ต่อสู้
แซงหน้าเขาแล้วยังไง? ไม่มีพลังอำนาจพอจะทำให้ตัวสั่น ทั้งยังจืดชืดไปหมดเสียทุกอย่าง ในความคิดของเฉินชง ทุกคนที่เขาเคยพบ มีเพียงเยี่ยวั่งคนเดียวที่มีพลังอำนาจนั้น!
ทว่ายามนี้ เขากลับพบแล้วว่าบนชื่อของโม่ซูมีพลังอำนาจแบบเดียวกับเยี่ยวั่ง! สีหน้าของเฉินชงเคร่งขรึม หยุดบ่น ทว่าบนตัวของเขาค่อยๆ แสดงพลังของผู้แข็งแกร่ง
เขายืนขึ้นมองลึกเข้าไปในหมอกจาง เห็นเงาคนยืนอยู่บนขั้นห้าร้อยสี่สิบหกตรงเส้นทางขั้นบันไดบางแห่ง กำลังแหงนหน้ามองท้องฟ้า เงาของเขาปล่อยพลังอำนาจที่ทำให้เฉินชงสนใจยิ่งนัก
เทียบกับเฉินชงแล้ว ในจุดนี้ปี้ซู่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เวลานี้สีหน้าของเขาดูดุร้าย เผยกลิ่นอายโหดเหี้ยมอำมหิต จ้องเข้าไปในหมอกเขม็ง กระทั่งเขายังสัมผัสได้ถึงเสียงลมหายใจของเงาคนด้านหลังหมอก
“ไม่ว่าเจ้าจะเป็นใคร หากคิดจะแซงหน้าข้าปี้ซู่คนนี้ ไม่มีทาง!” ปี้ซู่แผดเสียงตะโกนไปในหมอก เสียงของเขาหลอมรวมกับหมอกก่อนค่อยๆ กระจายออกไป
เวลานี้ ณ บนเขา ชาวเผ่าร่องลมผู้หนึ่งในอันดับสุดท้าย หลังจากขบคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็เลือกยอมแพ้ ออกจากที่นี่ไป เขาทราบดีว่างานประลองในด่านแรกนี้ ไม่จำเป็นต้องรอจนถึงฟ้าสาง ตอนนี้ก็เป็นศึกตัดสินแล้ว เพียงแต่ศึกตัดสินครั้งนี้เขาไม่อาจเข้าร่วมได้ ภูเขาลูกนี้เป็นของคนเหล่านั้น เขาไม่อยากเป็นใบไม้ที่ขับให้พวกนั้นเด่น สู้ออกไปเลยไม่ดีกว่าหรือ
รู้จักความพอประมาณ รู้จักเดินหน้าและถอยหลัง ตรงจุดนี้บางทีอาจพบเห็นได้ยากในหมู่คนจำนวนมาก ทว่าสำหรับผู้มีพรสวรรค์ที่ติดหนึ่งในยี่สิบแล้ว ส่วนใหญ่ทราบดี
ส่วนมากแล้วผู้แข็งแกร่งจะเคารพซึ่งกันและกัน ต่อให้ไม่ใช่เผ่าเดียวกันก็ตาม
เมื่อเขาคนนี้ขอยอมแพ้ อันดับสี่เป็นต้นไป นอกจากอูเซินและอีกสองคนแล้ว คนที่เหลืออยู่ต่างเริ่มขอยอมแพ้ และมอบที่แห่งนี้ให้กับสี่คนที่อยู่ยอดสุด ยกสถานที่ทำศึกตัดสินให้แก่พวกเขา!
อูเซินยืนหยัดมาได้พักหนึ่ง ก็ถอนหายใจยาว แล้วขอยอมแพ้เช่นเดียวกัน อีกสองคนที่เหลือเหมือนจะไม่ยอม ขณะลังเลกลับเห็นคนอื่นยอมแพ้กันไปหมดแล้ว จึงเลือกขอตามไปด้วย
หมอกดำลอยเข้ามาในลานเงียบสงัดท่ามกลางค่ำคืนอย่างต่อเนื่อง ทว่าไม่มีผู้ใดสนใจ ในเวลานี้ทุกคนบนลานล้วนมองไปยังอันดับรายชื่อบนรูปปั้น หายใจกระชั้นถี่
ยายเฒ่าเผ่ามังกรทมิฬยืนขึ้น สีหน้าจริงจัง ชายร่างกำยำด้านข้างก็เช่นเดียวกัน ทว่าไม่ใช่แค่พวกเขา คนจากทุกเผ่าล้วนเป็นเช่นนี้ ไม่มีใครนั่งต่อ ไม่เว้นแม้แต่จ้าวเผ่าภูผาดำ ยามนี้มีใบหน้าเคร่งขรึม จ้องอันดับรายชื่อบนรูปปั้นเขม็ง
เป่ยหลิง ซือคง ไป๋หลิง เหลยเฉิน อูลา….ทุกคนล้วนกำลังมองอันดับรายชื่ออย่างสุขุม แม้แต่พวกอัจฉริยะที่ยอมแพ้กลับมาเหล่านั้น ยังไม่ถือสาที่พวกเขาไม่ได้รับความสนใจ แต่พากันมองไปบนรูปปั้น มองอันดับรายชื่อสี่แถบที่ยังคงสว่างไสวท่ามกลางแถบรายชื่อสีเทาทั้งหมด
ท่านปู่โม่ซังมองด้วยสีหน้าจริงจังเช่นเดียวกัน ส่วนจิงหนานข้างกายเขามองไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ซูหมิงยืนอยู่บนขั้นห้าร้อยสี่สิบหก สูดลมหายใจเข้าลึก แรงต้านตรงจุดนี้รุงแรงยิ่งนัก ทำให้ยากจะใช้ความเร็วเหมือนก่อนหน้านี้ได้ เขายกเท้าขึ้นแล้วเหยียบบนขั้นห้าร้อยสี่สิบเจ็ด แล้วค่อยๆ เดินต่อไปทีละก้าว
จังหวะก้าวของเขาไม่เร็ว ทว่ากลับมั่นคง
ซูหมิงได้ยินเสียงตะโกนเบาๆ มาจากในหมอกด้านข้าง เหมือนกับมีคนกำลังกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่าเขาไม่ได้สนใจฟัง แต่เลือกเดินต่อไปทีละก้าวอย่างต่อเนื่อง
เฉินชงมีสีหน้าจริงจัง เขาไม่บ่นแม้สักคำ และก็ไม่ดูอันดับรายชื่อบนตราหิน ทว่ากลับดูเคร่งขรึมยิ่งนัก เขาฉีกเสื้อท่อนบนออกเผยให้เห็นรูปร่างค่อนข้างหนา ก่อนเดินต่อไปเช่นเดียวกัน
ส่วนปี้ซู่ เขามีสีหน้าเกรี้ยวกราด กัดฟันด้วยความโมโห ใช้ศีรษะดันแรงต้านมหาศาล แบกรับความเจ็บปวดราวกับถูกบดขยี้จากในร่างกายเดินขึ้นไปทีละก้าว พลางมองอันดับรายชื่อบนตราหินอยู่ตลอดเวลา!
อันดับหนึ่ง เยี่ยวั่ง เจ็ดร้อยเก้าสิบเอ็ด
อันดับสอง ปี้ซู่ ห้าร้อยห้าสิบสี่
อันดับสาม เฉินชง ห้าร้อยสี่สิบแปด
อันดับสี่ โม่ซู ห้าร้อยสี่สิบเจ็ด
ทั้งสี่คน มีเพียงปี้ซู่เท่านั้นที่มองอันดับรายชื่ออยู่ตลอดเวลา อีกสามคนที่เหลือไม่สนใจแม้แต่น้อย เยี่ยวั่ง เดิมทีเขาไม่สนใจอะไรอยู่แล้ว เขาคิดเสมอว่าคนที่เป็นคู่ต่อสู้ของเขามีแค่ตัวเขาเอง
เฉินชงก็มีความหยิ่งผยอง เขาสัมผัสได้ถึงอำนาจคุมคามจากซูหมิง จึงทำให้เขาค่อนข้างสนใจ ทว่าเขาก็ไม่ดูอันดับรายชื่อ เพราะกลัวจิตใจว้าวุ่น
ซูหมิงไม่ดูเช่นเดียวกัน เพียงแต่เดินไปเบื้องหน้าทีละก้าว ทุกครั้งที่เหยียบลง เขาจะตัวสั่นสะท้าน เม็ดเหงื่อจำนวนมากถูกขับออก สัมผัสได้ถึงแรงต้านมหาศาล ทว่าด้วยนิสัยเป็นคนหนักแน่นและยังมีความตั้งใจอันแน่วแน่ ทำให้เขาต่อสู้ดิ้นรนต่อไปภายใต้แรงต้าน ประดุจดังต้นไม้เล็กท่ามกลางลมพายุคลั่ง!
“สิ่งมีชีวิตทุกอย่างบนโลกใบนี้ ใครบ้างที่มองเห็นปลายขอบฟ้า…”
ซูหมิงมองท้องฟ้า เดินไปพลางกล่าวพึมพำ…..