ตอนที่ 63 ขั้นบันไดเกลาความคิด
พระจันทร์ลอยสูงบนท้องฟ้า ดวงจันทร์ในค่ำคืนนี้ผิดแปลกไปเล็กน้อย บนท้องฟ้าไร้เมฆา ทำให้ดวงจันทร์ส่องสว่างยิ่งนัก แสงจันทร์อาบผืนดินราวกับผ้าม่านอ่อนนุ่ม
มองไกลๆ ดูสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ ทว่าบนเขายักษ์สูงเสียบเมฆไม่เห็นยอดเขาลูกนี้ กลับทำให้ดวงจันทร์ดูน่าสะพรึง!
ภายใต้แสงจันทร์ แรงต้านจากเขาลูกนี้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนน่าใจหาย ก่อขึ้นเป็นคลื่นลมพายุคลั่งไร้ลักษณ์ บิดเบือนเขาลูกนี้ ทำให้ยามแหงนหน้ามอง จะเห็นราวกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวกำลังบิดเบี้ยว
ตอนนี้เป็นยามกลางดึกเที่ยงคืน และเป็นยามที่แสงจันทร์เด่นชัดที่สุด อีกทั้งยังเป็นช่วงที่แรงต้านจากยอดเขารุนแรงมากที่สุด! พวกซูหมิงที่ยืนอยู่บนขั้นห้าร้อยกว่า ยามนี้หากบนเขาไม่มีหมอก หากมีคนแหงนหน้ามองมาจากข้างล่าง ก็จะเห็นได้รางๆ ว่าพวกเขาทั้งสามคนแทบจะยืนอยู่บนปลายสุดท้องฟ้า ราวกับเพียงชูมือขึ้นก็แตะถึงสวรรค์!
เมื่อเดินได้มากกว่าห้าร้อยขั้น ก็จะเหมือนกับการได้เข้าสู่แดนสวรรค์ เยี่ยวั่งในยามนี้เป็นเช่นนั้น เขาไม่ทราบถึงเรื่องที่เกิดขึ้นจากโลกภายนอก และไม่ทราบด้วยว่ายังมีอีกสามคนที่กำลังกัดฟันสู้อยู่ด้านหลังเขา เขาเพียงแค่เดินบนเส้นทางของตัวเอง ค่อยๆ เดินทีละก้าว หอบหายใจแรง
“วันนี้ จะต้องไปให้ถึงแปดร้อยสามขั้นให้ได้!” เยี่ยวั่งกัดฟัน เดินต่อไปด้วยความหยิ่งผยองที่แผดเผาดวงตาของคนรอบข้างได้
ภายใต้แรงต้านเช่นนี้ หากไม่มีความถือมั่นอย่างหนักแน่นแล้ว คงไม่มีใครเดินไปได้หลายสิบก้าวเช่นนี้ ปี้ซู่ยังคงยืนหยัด เพียงแต่ว่าในความถือมั่นของเขากลับขาดความเชื่อมั่นในตนเอง มิเช่นนั้นแล้ว ทุกก้าวที่เขาเดินจำเป็นต้องมองอันดับรายชื่อบนตราหินตลอดอย่างนั้นหรือ
“ห้าร้อยห้าสิบหก ห้าร้อยห้าสิบเจ็ด….สมควรตาย เฉินชงแซงหน้าข้าไปแล้ว เจ้าบ้านั่นได้ห้าร้อยห้าสิบแปด!”
สีหน้าของปี้ซู่ดูไม่ยินยอม เขากัดฟันก่อนเดินต่อไปอีกก้าว ทว่าเมื่อเหยียบลงกลับตัวสั่นสะท้าน ราวกับได้ยินเสียงคำรามเบาๆ ดังมาจากบนยอดเขา
เสียงคำรามดังกล่าว ไม่ใช่เสียงของมนุษย์ แต่มาจากสัตว์!
ท่ามกลางเสียงแผดร้องคำรามกึกก้อง ปี้ซู่ตัวสั่นไปทั้งตัว รู้สึกเจ็บหน้าอก กระอักโลหิตมาหนึ่งกอง ขณะร่างกายซวนเซแทบจะล้มศีรษะฟาดพื้น
ใบหน้าของเขาซีดขาว เหตุการณ์เมื่อครู่นี้เขารู้สึกราวกับทั้งยอดเขากลายเป็นสัตว์ประหลาดที่มองไม่เห็นตัว อ้าปากกว้างราวอ่างเลือดโผทะยานเข้ามา
และยังมีเฉินชงที่รู้สึกเช่นกัน เขายืนอยู่บนขั้นห้าร้อยห้าสิบแปด ขณะกำลังก้าวเดินพลันตัวสั่นสะท้านอย่างรุนแรง พอแหงนหน้ามอง ดวงตาทั้งสองข้างเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย โลหิตสดไหลมาจากมุมปาก
ซูหมิงหมิงมีเม็ดเหงื่อชโลมไปทั้งตัว ทว่าความมุ่งมั่นในแววตากลับไม่ลดลง ในทางตรงกันข้ามกลับมีมากขึ้น เขาเดินขึ้นไปทีละก้าว ห้าร้อยสี่สิบแปด ห้าร้อยสี่สิบเก้า…จนกระทั่งยืนอยู่บนขั้นห้าร้อยห้าสิบเจ็ด เขาพลันได้ยินเสียงร้องคำรามดังเข้ามา
เสียงคำรามดังกล่าวอันแน่นไปด้วยความเคียดแค้น ตรงเข้ามาใส่ร่างของซูหมิง ทั้งตัวเขาพลันแข็งค้าง รู้สึกเจ็บปวดตรงหน้าอก ก่อนกระอักโลหิตมาหนึ่งกองโดยไม่อาจชั่งใจได้ เสียงคำรามแฝงไว้ด้วยแรงต้าน ราวกับต้องการให้ผู้ฟังยอมศิโรราบ
ทว่าช่วงที่โลหิตของซูหมิงคล้ายย้อมเบื้องหน้าเป็นสีแดง จันทร์โลหิตในดวงตาเขาเปล่งแสงจ้าเด่นชัดยิ่งนัก ก่อนพลันลุกไหม้โชติช่วง!
เขาไม่มีทางยอมศิโรราบ!
ซูหมิงแหงนหน้ามองไปทางยอดเขา พลันแผดเสียงคำรามดังสนั่นประดุจสายฟ้า ก้องกังวานโดยรอบ เส้นผมยามปลิวไสว เปลวเพลิงแผดเผาในดวงตาเหมือนกับต้องการจะระบายออกมา เขายกเท้าขวาขึ้นก่อนเหยียบไปบนขั้นห้าร้อยห้าสิบแปดอย่างหนักแน่น
ทันทีที่ฝ่าเท้าเหยียบลง ซูหมิงตัวสั่น เส้นโลหิตดำปูดโปนไปทั้งตัว เส้นเลือดปรากฏแน่นขนัด ภายในนั้นแฝงไว้ด้วยความเจ็บปวดที่ไม่อาจบรรยายได้ ทว่าซูหมิงก็ยังคงไม่ยอมแพ้!
เขาจะต้องเดินไปถึงขั้นห้าร้อยหกสิบสามให้ได้ ต้องฝึกควบคุมความละเอียดอ่อนต่อ จะไม่ยอมทิ้งโอกาสนี้ไปแน่ และจะไม่ยอมทำให้ท่านปู่ผิดหวัง เขาซูหมิงหากไม่เคลื่อนไหวก็แล้วกันไป ทว่าหากเคลื่อนไหวเมื่อไหร่จะไม่ทำให้ตัวเองเสียใจภายหลังอย่างแน่นอน!
สิ่งที่เขาต้องทำคือ ทำทุกอย่างให้สุดความสามารถ จะได้ไม่ต้องนึกเสียใจภายหลัง!
ห้าร้อยห้าสิบเก้า ห้าร้อยหกสิบ ห้าร้อยหกสิบเอ็ด! ซูหมิงเดินต่อไปอีกสามก้าว ทุกครั้งที่เหยียบลงร่างกายของเขาจะสั่นไหวอย่างรุนแรง มีเสียงที่ร่างกายไม่อาจทนรับไหวดังขึ้นต่อเนื่อง เหมือนกับเลือดเนื้อและกระดูกกำลังจะถูกบดขยี้เป็นผุยผง ความเจ็บปวดนี้ สำหรับเด็กหนุ่มอายุสิบหกปีคนหนึ่ง แทบจะทนรับไว้ไม่ไหว
‘อีกสองก้าว อีกสองก้าว!’ ซูหมิงแผดเสียงคำรามดังขึ้นในใจ เขาบอกตัวเองเสมอว่าจะต้องไปถึงขั้นห้าร้อยหกสิบสามให้ได้!
ซูหมิงแผดเสียงตะโกนอีกครั้ง พลันเดินขึ้นไปอีกหนึ่งก้าว เมื่อเหยียบลงเขายังคงมีความรู้สึกราวกับแผ่นดินไหว ทว่าความเป็นจริงเขาทราบดี สิ่งที่สั่นไหวไม่ใช่ผืนแผ่นดิน ไม่ใช่ยอดเขา แต่เป็นตัวเขาเอง
ความรู้สึกเหมือนแผ่นดินไหวดังกล่าว ทำให้ใบหน้าของซูหมิงไร้เลือดฝาด เขาแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า บนฟ้าที่เขามองไปราวกับค่อยๆ ห่างไกล เหมือนกับว่าตัวเขากำลังเคลื่อนไหวอย่างเอื่อยๆ เวลาคล้ายดั่งช้าลง
ซูหมิงสัมผัสได้ว่าร่างกายของเขาค่อยๆ ล้มลง ผืนดินไม่สั่นไหว ภูเขาไม่สั่นสะเทือน เป็นร่างกายของเขาเองที่ไม่อาจทนรับได้ เมื่อถึงขีดจำกัดแล้วจึงล้มลงไปด้านหลังอย่างเชื่องช้า
‘ห้าร้อยหกสิบสอง แค่ผ่านอุปสรรคตรงนี้ไปได้…..’ ซูหมิงยิ้มอย่างขมขื่น
‘ผืนดินไม่สั่นไหว ยอดเขาไม่แกว่งไกว ทว่าหากเคลื่อนไหวร่างกาย ทุกอย่างก็ยังเหมือนเดิม…’
‘ท่านปู่ เหตุใดตอนข้าวิ่งห้อถึงได้เห็นเหมือนกับต้นไม้สองข้างทางกำลังขยับ? ข้าสับสน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะข้ากำลังวิ่ง หรือว่าต้นไม้เหล่านั้นกำลังถอยหลังอยู่กันแน่ ท่านปู่ มันเกิดอะไรขึ้น?’
ในความคิดของซูหมิงฉายภาพเหตุการณ์ตอนเยาว์วัย เขากำลังถามปัญหาท่านปู่
‘ดวงตาเป็นสิ่งลวงหลอก ซูหมิง เมื่อเจ้าเติบใหญ่ก็จะเข้าใจเอง สิ่งที่เจ้ามองเห็นไม่แท้จริงเสมอไป บางทีดวงตาอาจกำลังหลอกเจ้า เจ้าดูต้นไม้ต้นนั้น มันขยับจริงๆ หรือไม่ เป็นเพราะร่างกายของเจ้าขยับหรือว่าต้นไม้ขยับกันแน่ หรือว่า…ยังมีสิ่งอื่นอีก?’
ซูหมิงจำได้ว่าตอนนั้นพอได้ฟังคำตอบก็งุนงงเล็กน้อย ไม่ค่อยเข้าใจ ทว่ายามนี้พอนึกถึงมันอีกครั้ง กลับทำให้เขาเหม่อลอยไปชั่วครู่
‘ไม่อาจเปลี่ยนแปลงผืนดิน ไม่อาจเปลี่ยนแปลงยอดเขา เพราะร่างกายเคลื่อนไหว ทุกอย่างเลยเคลื่อนไหว…..ทว่าความจริงแล้ว ผืนดินไม่ได้เคลื่อนไหว ยอดเขาก็ไม่ได้เคลื่อนไหว….สิ่งที่เคลื่อนไหวคือ…’ ซูหมิงพลันเบิกตากว้าง รู้สึกเหมือนเจอเบาะแสอะไรบางอย่าง
“ที่เคลื่อนไหวก็คือความคิดของข้า!”
“ตอนเด็กที่ข้ากำลังวิ่งห้อ คือร่างกายกำลังเคลื่อนไหว ต้นไม้ไม่ได้ขยับ แต่สิ่งที่ดวงตาเห็นคือต้นไม้กำลังขยับ นั่นก็เป็นเพราะความคิดของข้า…..ความคิดของข้าถูกดวงตาหลอกจนใจสั่นไหว…..
ผืนดิน ยอดเขา ต้นไม้ ทุกอย่างก็ดี ต่อให้ร่างกายข้าขยับ หากความคิดข้าไม่เคลื่อนไหว…ทุกอย่างก็จะไม่เคลื่อนไหว! กระทั่งร่างกายยังหลอกเราได้ ดวงตาทั้งสองข้าง ร่างกาย ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนสามารถหลอกความคิดของข้า ทำให้ข้ารู้สึกราวกับกำลังเคลื่อนที่…”
ซูหมิงสั่นสะท้านไปทั้งตัว เมื่อเข้าใจอย่างลึกซึ้งแล้วพลันมีเสียงดังสนั่นขึ้นในความคิด ความดังของมันทำให้เขาเกิดอาการวิงเวียนศีรษะ เมื่ออาการดังกล่าวค่อยๆ ทุเลาลง ซูหมิงยังคงยืนเหม่อลอยอยู่ที่เดิม
เขาก้มหน้ามองผืนดินใต้ฝ่าเท้า ทั้งยังมองไปรอบๆ
เขาในยามนี้ยังคงยืนอยู่บนขั้นบันได เท้าขวาเหยียบบนขั้นห้าร้อยหกสิบสอง เท้าซ้ายเหยียบบนขั้นห้าร้อยหกสิบเอ็ด
ร่างกายของเขาแท้จริงแล้วเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่เริ่ม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
ซูหมิงยกเท้าซ้ายขึ้นเงียบๆ เหยียบไปบนขั้นห้าร้อยหกสิบสอง เขาสูดลมหายใจเข้าลึก ดวงตาทั้งสองข้างฉายแววเข้าใจอย่างแจ่มแจ้ง
“ข้าเข้าใจแล้ว…..หากความคิดไม่เคลื่อนไหว ทุกสรรพสิ่งย่อมไม่เคลื่อนไหว! นี่คือความละเอียดอ่อน….”
ซูหมิงกล่าวพึมพำ พลางเดินขึ้นไปบนขั้นห้าร้อยหกสิบสาม ใบหน้าขาวซีดเผยรอยยิ้ม ก่อนนั่งขัดสมาธิลงอย่างเชื่องช้า หลังจากเข้าใจอย่างแจ่มชัดแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเข้าถึงความละเอียดอ่อนอย่างแท้จริง
ในครั้งนี้แตกต่างจากสี่ครั้งก่อนโดยสิ้นเชิง ก่อนหน้านี้เขาทำแบบงูๆ ปลาๆ ใช้พละกำลังทั้งหมดไปกับความเร็วในการควบคุมพลังโลหิต สิ่งนี้เรียกว่าพลังภายนอก!
ทว่ายามนี้เขาเข้าใจแล้ว ความละเอียดอ่อนที่แท้จริงไม่ใช่การพึ่งพาพลังภายนอกเพื่อปรับแก้ความเร็วการโคจรโลหิต แต่ต้องใช้ความคิดของเขา!
เมื่อความคิดเคลื่อนไหวมันก็จะเคลื่อนไหว หากความคิดไม่ขยับ โลหิตก็จะไม่ขยับ!
ขณะซูหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิ ในเวลาเดียวกัน ปี้ซู่กำลังแผดเสียงคำรามอย่างไม่ยอมแพ้ ขาขวาของเขาสั่นระริก ค้างอยู่บนขั้นห้าร้อยหกสิบสอง แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจเหยียบลงได้ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าหากเหยียบลงไป เขาจะต้องทนไม่ไหวอย่างแน่นอน ความรู้สึกนี้เด่นชัดยิ่งนัก ทำให้เขาต้องยอมเชื่อ และหยุดลงด้วยสีหน้าเจ็บปวด เขา….ไม่กล้าเสี่ยง!
เฉินชง สีหน้าจริงจังของเขานับว่าหาได้ยากยิ่ง เขายืนอยู่บนขั้นห้าร้อยหกสิบเอ็ด มองขั้นห้าร้อยหกสิบสองอยู่นาน เขาเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับขั้นนี้มาก่อน…..
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฉินชงพลันกัดฟัน ก้าวเดินขึ้นไป ทว่าขณะที่เท้าของเขาเหยียบลง ทั้งตัวราวกับแข็งค้างก็มิปาน ยืนตะลึงอยู่อย่างนั้น ดวงตาเบิกโพลง เวลาผ่านไปหลายลมหายใจ หลังลมหายใจที่เจ็ด เฉินชงกระอักโลหิตมาหนึ่งกองใหญ่ ก่อนล้มลงระหว่างขั้นห้าร้อยหกสิบเอ็ดและขั้นห้าร้อยหกสิบสอง ท้ายที่สุดแล้วเขาก็ไม่อาจฝ่าขั้นแห่งการเกลาความคิดนี้ไปได้
ทว่าหากเทียบกับปี้ซู่แล้ว เฉินชงมีความคิดที่จะแปรเปลี่ยนเป็นผู้แข็งแกร่งได้!
บนลานด้านนอกเงียบสงัด ไม่มีเสียงสนทนา ไม่มีเสียงดังเกรียวกราว ผู้คนในเวลานี้ส่วนใหญ่หายใจกระชั้นถี่ มองอันดับรายชื่อบนรูปปั้น ความตื่นตะลึงในจิตใจเข้ามาแทนที่ทุกความรู้สึก
อันดับหนึ่ง เยี่ยวั่ง แปดร้อยสามขั้น
อันดับสอง โม่ซู ห้าร้อยหกสิบสามขั้น
อันดับรายชื่อสองแถบนี้ตกเป็นเป้าสายตาของทุกคน โม่ซู ชื่อธรรมดาๆ อีกทั้งยังไม่เคยมีใครได้ยินมาก่อนในงานประลอง ทว่าตอนนี้กลับมีชื่อเสียงโด่งดัง!
เวลาเดินเคลื่อนผ่านไป ในค่ำคืนแห่งนี้ ได้ลิขิตแล้วว่าจะต้องไม่ธรรมดา ลิขิตแล้วว่าต้องทำให้ผู้คนตื่นตะลึงยิ่งกว่าเมื่อวาน ลิขิตแล้วว่านี่เป็นศึกตัดสินของพวกเขาทั้งสองที่อยู่บนยอดสุด!
บนลานด้านนอก ไม่มีใครรู้สึกเบื่อหน่าย พวกเขายังคงรอคอยอย่างเงียบๆ รอคนทั้งสองเคลื่อนไหวอีกครั้ง เมื่อกลางดึกผ่านไป อีกไม่นานจะเข้าสู่รุ่งอรุณ ทันใดนั้น จำนวนขั้นบันไดด้านหลังชื่อของโม่ซูบนรูปปั้นทั้งเก้าพลันขยับขึ้น
การเคลื่อนไหวครั้งนี้ ฟ้าดินไม่ได้เปลี่ยนสี ไม่ได้มีเมฆลมแปรปรวน แต่กลับเป็นลมพายุคลั่ง โหมกระหน่ำซัดสาดในจิตใจของทุกคนที่มองไป!