Skip to content

สู่วิถีอสุรา 643

ตอนที่ 643 เซียนกับอสูร

ต่อให้ตี้เทียนไม่ลงมือ การทะลวงขั้นวิญญาณหมานครั้งนี้ก็มีโอกาสสำเร็จน้อยมากมากอยู่แล้ว ก่อนหน้านี้ซูหมิงมีลางสังหรณ์แบบนั้นอยู่ และในขณะทะลวงขั้นพลังก็ยังได้สัมผัสลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม

แต่ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ซูหมิงก็จะไม่หลบ ต่อให้ล้มเหลวก็ต้องหาแสงสว่างแห่งความสำเร็จในความล้มเหลวให้พบ ทว่าความล้มเหลวครั้งนี้ไม่ใช่เพราะเขาคนเดียว แต่เป็นเพราะผนึกของตี้เทียน!

ถูกขัดขณะทะลวงขั้นพลังครั้งนี้ ทำให้จิตสังหารที่เขามีต่อตี้เทียนมากยิ่งกว่าเดิม!

ซูหมิงเช็ดคราบโลหิตตรงมุมปาก ดวงตาเต็มไปด้วยเส้นเลือด ผ่านไปพักใหญ่จึงจะหายไป แม้จิตสังหารในดวงตาถูกปิดซ่อนไว้ แต่ก็ยังเผยให้เห็นในสีหน้าถมึงทึง

“ถ้าไม่ฆ่าตี้เทียน ก็ยากจะทะลวงสู่วิญญาณหมาน!” ซูหมิงเอ่ยกับตัวเองทีละคำ ทุกคำล้วนแฝงไว้ด้วยความคิดจะสังหารตี้เทียน

ความล้มเหลวครั้งนี้ก็ใช่ว่าซูหมิงจะไม่ได้อะไรกลับมา อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าการทะลวงขั้นวิญญาณหมานทำให้ผนึกไร้รูปในด้านความทรงจำคลายออกได้ ทว่ามันจะดึงดูดความสนใจของตี้เทียนและถูกรบกวนในที่สุด!

ฉะนั้นหากไม่สังหารตี้เทียน การทะลวงขั้นวิญญาณหมานครั้งที่สองก็จะเป็นเช่นเดิม ครั้งที่สามก็เช่นกัน นี่คือเรื่องที่เขายอมรับไม่ได้ เส้นทางตรงหน้ามีเพียงอย่างเดียว นั่นก็คือ…สังหารตี้เทียน!

ทว่าขั้นพลังตี้เทียนแกร่งอย่างยิ่ง ซูหมิง…ไม่มีความมั่นใจเลย

ซูหมิงหลับตาลงด้วยสีหน้าเคร่งเครียดแล้วปรับสมดุลพลังในร่างกาย ทำให้พลังที่ยุ่งเหยิงจากความล้มเหลวในการทะลวงวิญญาณหมาณค่อยๆ สงบลง ในร่างกายกลับมาเป็นปกติจากสภาวะยุ่งเหยิงทีละนิด สุดท้ายก็ผสานรวมกันก่อนโคจรไปทั่วร่าง

ร่างกายซูหมิงขยับแสงทองวิบวับ นั่นคือเลือดเนื้อกระดูกทุกส่วนในร่างกายที่กลายเป็นหมาน กลิ่นอายพลังแข็งแกร่งยังคงแผ่ออกจากร่าง มีผลให้ดินรอบๆ กระเด็นถอยไป เส้นชีพจรผลึกใต้ร่างกลายเป็นผุยผง

กลิ่นอายพลังนี้และพลังแก่กล้าจากตัวซูหมิงแข็งแกร่งกว่าก่อนทะลวงขั้นวิญญาณหมานเล็กน้อย พอโคจรขั้นพลังในร่างจนฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติแล้ว วินาทีที่ลืมตาขึ้น ประกายแวววาวในดวงตามากพอจะทะลวงผ่านพื้นดินทั้งเก้ายมโลก

ส่วนลึกของพื้นดินสั่นไหวเบาๆ ราวกับไม่อาจรับแรงกดดันจากการลืมตาของเขาไหว

“ทะลวงขั้นวิญญาณหมานล้มเหลว แต่ขั้นพลังไม่ลดลง ในทางกลับกันมันเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย…ข้าในตอนฟื้นฟูพลังแปดส่วนหรือเก้าส่วนจะต่อสู้สูสีกับนักรบขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ เป็นคู่ต่อสู้ที่สมน้ำสมเนื้อ!

หลังจากฟื้นฟูพลังจนสมบูรณ์ ก่อนทะลวงขั้นวิญญาณหมานข้าน่าจะเอาชนะนักรบขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ได้! ตอนนี้…” นัยน์ตาซูหมิงเย็นชา กล่าวกับตัวเองเบาๆ

“ครึ่งก้าว…ก่อนสร้างชะตา?” ซูหมิงเงียบไปพักหนึ่งก่อนส่ายศีรษะ

“หลังจากทะลวงขั้นวิญญาณหมาน ต่อให้ข้าเพิ่งอยู่ครึ่งก้าวสร้างชะตา ตอนนี้ก็ทำได้เพียงเฉียดเข้าใกล้อย่างไร้ขีดจำกัดเท่านั้น แต่ที่ด้อยกว่าขั้นสร้างชะตาลงไป คนที่เอาชนะข้าได้มีไม่มาก!” ซูหมิงยืนขึ้นช้าๆ ก่อนวูบไหวตัวหายไป ตอนปรากฏกายก็ยังอยู่ตรงส่วนลึกของพื้นดินอยู่ เขาเคลื่อนย้ายชั่วพริบตาอีกหลายครั้งจนมาปรากฏอยู่ในถ้ำ ส่วนลึกในใจเขามีเสียงเรียกของเป่าชิวดังแว่วเข้ามาอย่างร้อนรน

อีกทั้งจากท่าทางของนางน่าจะไม่ใช่เรียกตนครั้งเดียว แต่เพราะซูหมิงฟื้นพลังอยู่ตรงส่วนลึกของใต้ดินและยังทะลวงขั้นวิญญาณหมาน เสียงเรียกจึงถูกกลบไปภายใต้แรงกดดันและระลอกคลื่น

ซูหมิงเงยหน้ามองผนังหินด้านบนแวบหนึ่ง เมื่อตรึกตรองอยู่ชั่วครู่แล้วจึงเดินไปทางประตูใหญ่ถ้ำแล้วค่อยๆ หายไป

ในหุบเขาพันวารี ยามนี้คนสำนักวิญญาณอสูรจำนวนมากต่างพากันมองฟ้า ปรากฏการณ์พิลึกบนฟ้าค่อยๆ หายไป จนเมื่อกลับมาเป็นปกติแล้ว พวกเขาถึงเงียบงันด้วยความสงสัย ในนี้ส่วนใหญ่เดาออกว่าปรากฏการณ์ฟ้าดินเป็นเพราะมีคนทะลวงขั้นวิญญาณหมาน อีกทั้งไม่น่าจะใช่การทะลวงแบบง่ายๆ ในนั้นน่าจะมีการแปรเปลี่ยนที่คนนอกบางส่วนไม่รู้

แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร ปรากฏการณ์ฟ้าดินหายไป ไม่ปรากฏเทวรูปหมานขึ้น นั่นก็หมายความว่าบุคคลนี้ล้มเหลว

ทว่าในเผ่าหมาน ขั้นวิญญาณหมานคือเส้นความเป็นความตาย หากล้มเหลวจะสูญสิ้นไป เรื่องนี้พบเจอข้อยกเว้นน้อยมาก ยามนี้คนจำนวนมากจึงคาดเดาแล้วว่าผู้ทะลวงขั้นวิญญาณหมานคนนี้ต้องตายแล้วเมื่อครู่

เซินตงขมวดคิ้ว ขณะลังเลก็รู้สึกว่าอาจไม่ใช่ดังนั้น แต่นั่นเป็นเพียงความรู้สึก ตอนนี้ไม่มีเวลาไปตรวจสอบอะไรมาก เขาจึงส่ายศีรษะแล้วไม่สนใจอีก

บนท้องฟ้า สายรุ้งยาวที่หยุดชะงักอยู่ไกลๆ เพราะเหตุการณ์เมื่อครู่บินมายังหุบเขาพันวารีต่อ คนในสายรุ้งนั้นล้วนเป็นศิษย์สำนักอสูร เหมือนว่าจะได้รับคำสั่งอะไรบางอย่างถึงมาหุบเขาพันวารีกันอย่างต่อเนื่อง

ณ หุบเขาพันวารีตอนนี้มีศิษย์สำนักวิญญาณอสูรมีไม่ต่ำกว่าหลายพัน ทว่าที่มากกว่าคือนักรบหมานปรับสายเลือด คนพวกนี้มีเกือบหมื่น!

ทำให้หุบเขาพันวารีในช่วงนี้คึกคักอย่างยิ่ง มีเสียงคนระงม หากสังเกตดีๆ จะเห็นถึงเงื่อนงำบางอย่างว่าศิษย์สำนักวิญญาณอสูรที่มารวมกันเหล่านี้ ส่วนใหญ่มีสีหน้าจริงจัง มีจิตสังหารวูบวาบ และเสียงคนระงมนั้นพอผ่านไปหลายวันก็ค่อยๆ หายไป ต่างพากันเงียบงันลง

พวกเขาฝึกฝนอย่างเงียบๆ เช็ดกระบี่ล้ำค่าและของวิเศษอย่างเงียบๆ มองฟ้าดินโดยไม่เอ่ยอะไร นัยน์ตาก่อตัวขึ้นเป็นจิตสังหารสีโลหิต

เป่าชิวอยู่ในวิหารเอียงตรงปลายยอดของหุบเขาพันวารี นางกำลังนั่งขัดสมาธิ รอบตัววางผนึกเอาไว้จำนวนมาก วันปกตินางจะกลายเป็นหญิงชรา ส่วนใหญ่ใบหน้าจะบึ้งตึง ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ ทำให้วิหารเอียงนี้เยือกเย็นและเงียบเหงา

ยามนี้ส่วนลึกในใจนางเรียกหาซูหมิงไม่หยุด ผ่านไปหนึ่งสัปดาห์แล้ว ทว่าทุกการเรียกหาจะเหมือนกับโยนหินลงในมหาสมุทร ไม่มีการตอบรับใดๆ ราวกับว่าซูหมิงจากไปแล้ว ลืมที่นี่ไปแล้ว

เป่าชิวมีสีหน้าเศร้าหมอง ลอบถอนหายใจ

‘อีกสองวันก็จะเป็นวันเดินทางแล้ว ทว่าเขายังไม่ตอบ….แต่ถึงอย่างนั้นข้าก็รู้สึกว่าเขาน่าจะยังไม่ไปไหน…’ เป่าชิวมีสีหน้าไม่มั่นใจ จิตวิญญาณนางถูกผนึกไว้ จะเป็นหรือตายนางควบคุมเองไม่ได้อีก โดยเฉพาะยามนึกถึงสงครามครั้งใหญ่ในอีกสองวันข้างหน้า ตนเป็นหนึ่งในสมาชิกผู้วางอาคมกลืนสวรรค์ของสำนักวิญญาณอสูร ฉะนั้นเลยต้องปลดปล่อยวิญญาณ ผู้ที่วางอาคมกลืนสวรรค์ทั้งหมดต้องผสานรวมวิญญาณกันเพื่อใช้วงแหวนอาคมแก่กล้านี้

เป่าชิวยิ้มฝืดเฝื่อน นางไม่รู้ว่าหลังจากวิญญาณตนผสานรวมกับคนอื่นแล้วจะถูกตรวจพบอะไรหรือไม่ จากการวิเคราะห์ของนาง โอกาสที่จะถูกมองออกมีไม่น้อย ถึงอย่างไรผู้ควบคุมดูแลวงแหวนอาคมกลืนสวรรค์ก็เป็นองครักษ์คนสนิทของท่านจี๋อั้น มีขั้นพลังอยู่เหนือกว่าเซินตง

ฉะนั้นหลายวันมานี้ นางจึงร้องเรียกซูหมิงอย่างร้อนรนเพื่อตามหาวิธีปลดผนึก หากถูกตรวจพบขณะใช้อาคมกลืนสวรรค์ ผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไรก็ไม่อาจจินตนาการ

‘ช่างเถอะ หากก่อนไปเขายังไม่ตอบกลับ ก็คงต้องไปหาผู้อาวุโสเซินตงแล้วบอกความจริงกับเขา….ทว่าผนึกที่เขาวางในตัวข้า…’ เป่าชิวคิดสับสนอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจเบาอย่างจนปัญญา

ทว่าวินาทีที่ถอนหายใจ ทันใดนั้นเป่าชิวพลันรู้สึกเย็นเยียบ เพราะมีเสียงเย็นชาดังก้องอยู่ข้างหูนาง

“เรียกอยู่หลายครั้ง มีเรื่องอะไร!”

เป่าชิวตัวสั่น ตอนที่หันหน้าไปก็เห็นซูหมิงยืนอยู่ด้านหลังตนห่างไปไม่ไกลตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เขาสวมอาภรณ์สีขาวทั้งตัว เส้นผมยาว เป่าชิวจึงรีบประสานมือคารวะทันที

“เป่าชิวคารวะคุณชาย”

“คุณชาย สำนักอสูรออกคำสั่งให้จู่โจม สองวันจากนี้จะเป็นสงครามตัดสินระหว่างสำนักอสูรกับสำนักเซียนต่างๆ ที่มีสำนักชุมนุมเซียนเป็นผู้นำ ถึงตอนนั้นสำนักวิญญาณอสูรจะวางอาคมกลืนสวรรค์…” เป่าชิวก้มหน้าแล้วเล่าเรื่องที่สร้างความร้อนใจให้กับนางในช่วงนี้อย่างรวดเร็ว

จนกระทั่งว่าจบก็ยังไม่เห็นซูหมิงตอบกลับ เป่าชิวจึงลังเลใจอยู่ชั่วครู่ถึงเงยหน้ามองอีกฝ่าย ก็เห็นว่านัยน์ตาซูหมิงกำลังตรึกตรองอยู่ ไม่รู้ว่าคิดอะไร

โดยเฉพาะในแววตาครุ่นคิดที่มีจิตสังหารขยับวูบวาบ พอนางเห็นแล้วก็ใจสั่นไหว ไม่กล้าสบตา

นางรู้สึกรางๆ ว่าซูหมิงในตอนนี้ต่างจากครั้งก่อน เหมือนว่าต่างไปไม่มาก แต่จุดรายละเอียดโดยรวมต่างกัน นาง เองก็บอกไม่ค่อยถูก ทว่าในความรู้สึกตอนเผชิญหน้ากับซูหมิงมีความตึงเครียดเหมือนเผชิญหน้ากับท่านจี๋อั้นในอดีต

“เมื่อครู่เจ้าบอกว่า…..สำนักชุมนุมเซียน?” ผ่านไปพักหนึ่ง ซูหมิงกล่าวเนิบช้า สายตามองใบหน้าเป่าชิว

สำนักชุมนุมเซียนนี้ใช่ว่าซูหมิงเพิ่งเคยได้ยินครั้งแรก ความจริงแล้วพอเวลาผ่านไป ครั้นได้สัมผัสมากขึ้นเรื่อยๆ เบาะแสเหล่านี้ก็ทำให้ซูหมิงมองออกว่าแดนรกร้างบูรพากับแดนอรุณใต้นั้น นอกจากสำนักอสูรแล้วยังมีอีกหลายสำนักเซียน

สำนักซ่อนมังกรตั้งอยู่ในเผ่าเชมันเป็นหลัก บนแดนรกร้างบูรพาก็ครอบครองอำนาจยิ่งใหญ่

สำนักเต๋าเทียนหลัน ซูหมิงมองออกจากชื่อว่าต้องเกี่ยวกับบรรพบุรุษเทียนหลัน และยังมีเทียนหลันเมิ่งด้วย

ส่วนสำนักชุมนุมเซียน ครอบครองแผ่นดินหมานอรุณใต้ และยังมีพื้นที่หลักในแดนรกร้างบูรพา ลิ่วล้อตี้เทียนในตอนนั้นก็เป็นคนสำนักนี้…เห็นได้ชัดว่าตี้เทียนก็ด้วย!

“เจ้าค่ะ คู่ต่อสู้หลักๆ คือสำนักชุมนุมเซียน ถึงอย่างไรจักรพรรดิแห่งสำนักซ่อนมังกรกับสำนักเต๋าเทียนหลันยังมาเยือนไม่ได้ บนแผ่นดินรกร้างบูรพา นอกจากสำนักอสูรซึ่งมีท่านจี๋อั้นแล้ว ก็มีสำนักชุมนุมเซียนที่ครองภูมิประเทศสำคัญ ทำให้ตี้เทียนหนึ่งในห้าจักรพรรดิส่งร่างแยกมาเยือนได้สองตน

พวกเขาคือศัตรูตัวฉกาจที่สุด!” เป่าชิวรีบกล่าว ตอนที่บอกว่าสำนักชุมนุมเซียนยึดครองภูมิประเทศสำคัญ นางมองซูหมิงตามจิตใต้สำนึกแวบหนึ่ง

‘ร่างแยกสองตน!’ นัยน์ตาซูหมิงแอบเป็นประกาย ในใจอึมครึมยิ่งกว่าเดิม เขามองออกว่าเป่าชิวไม่ได้โกหก และเรื่องนี้ไม่จำเป็นต้องโกหก ฉะนั้นการคาดเดาของเขาจึงคลาดเคลื่อนไปเล็กน้อย ครั้งนี้ตี้เทียนไม่ได้ส่งร่างแยกมาตนเดียว แต่ส่งมาถึงสอง!

“พวกเจ้ามั่นใจกี่ส่วนในสงครามครั้งนี้?” ซูหมิงตรึกตรองอยู่พักหนึ่ง นัยน์ตาก็ฉายแววประหลาด แล้วพลันกล่าวขึ้น

“หากมีท่านจี๋อั้นอยู่ อย่างน้อยก็ห้าส่วน!” เป่าชิวลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนกล่าวเสียงเบา

“จี๋อั้น……” ซูหมิงพึมพำเบาๆ เขาเคยได้ยินชื่อสำนักเซียนอสูรบนแดนรกร้างบูรพามาหลายครั้ง ไม่นานมุมปากจึงค่อยๆ ยกยิ้มเย็นชา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version