Skip to content

สู่วิถีอสุรา 644

ตอนที่ 644 ศึกนี้ไม่มีแพ้

‘แสงโลหิตในระยะสิบล้านลี้รอบหอคอยรกร้างบูรพามีเวลาจำกัดเพียงหนึ่งพันวัน…อีกทั้งยิ่งนานวันเข้ายิ่งไม่ส่งผลดีต่อเผ่าเซียน นี่เท่ากับว่ามอบโอกาสครั้งใหญ่ให้กับเผ่าหมาน!

ดังนั้นจี๋อั้นเลยร้อนรนเช่นนี้ และเปิดฉากสงครามระหว่างสำนักอสูรกับสำนักอื่นๆ ดูแล้วสำนักอื่นคงคิดแบบเดียวกัน ศึกครั้งนี้จะเป็นตัวกำหนดแพ้ชนะ!

บางทีเรื่องนี้อาจมีการแลกเปลี่ยนภายในกันอยู่บ้าง คงจะทำอะไรบางอย่างอยู่นอกแดนมรณะหยิน จะใช้สงครามคัดเลือกคนเข้าหอคอยรกร้างบูรพาอย่างนั้นหรือ…’ นัยน์ตาซูหมิงวาววับ วิเคราะห์ในใจ แม้การคาดเดาของเขาจะไม่มีเครื่องยืนยัน แต่ก็น่าจะใกล้เคียงตามที่ว่า

ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นหนึ่งในการแก้แผนหอคอยรกร้างบูรพาของเทพหมานรุ่นหนึ่ง

‘จุดสำคัญของสงครามครั้งนี้คือการต่อสู้ของร่างแยกตี้เทียนสองตนกับจี๋อั้น รองลงมาคือการเข่นฆ่ากันของศิษย์ต่างๆ ทว่าในเมื่อจี๋อั้นเปิดฉากสงครามครั้งนี้ เช่นนั้นจะต้องมีความมั่นใจอยู่บ้าง ฉะนั้น…ตี้เทียน เจ้าต้องตาย!’ จิตสังหารวูบวาบในดวงตาซูหมิง เขาอยากฆ่าตี้เทียน แต่มีอุปสรรคด้านพลังและความแกร่งของอีกฝ่าย ความคิดนี้เลยยากจะสำเร็จได้

ทว่าหากตี้เทียนไม่ตาย เขาก็ทะลวงขั้นวิญญาณหมานไม่ได้ ฉะนั้นจิตสังหารต่อตี้เทียนเลยรุนแรงขึ้นหลายเท่า

‘สู้กันซึ่งหน้าข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้เจ้า แต่หากข้าหลบซ่อนแล้วแฝงตัวอยู่ในผู้ฝึกฌานสำนักอสูร ตอนที่เจ้าสู้กับจี๋อั้น….เจ้าคงนึกไม่ถึงว่าข้าจะลงมือ เช่นนั้นโอกาสในการสังหารเจ้าก็จะสูงมาก!

นอกจากนี้จี๋อั้นแห่งสำนักอสูรคงไม่ปล่อยโอกาสดีๆ เช่นนี้ไปแน่นอน!’ ซูหมิงยิ้มเยาะในใจ พอใคร่ครวญถึงความคิดนี้อย่างละเอียดแล้วก็มีสีหน้าเด็ดเดี่ยว

“มีข้าอยู่ เจ้าจะไม่ถูกตรวจพบขณะใช้อาคมกลืนสวรรค์ สองวันจากนี้ข้าจะทำสงครามกับสำนักเซียนร่วมกับพวกเจ้า!” ซูหมิงสะบัดแขนเสื้อ ไม่สนใจเป่าชิวอีก กายขยับวูบไหวแล้วค่อยๆ หายไป

ในวิหารใหญ่เหลือเพียงเป่าชิว นางอึ้งงันไปพักหนึ่งก่อนมีสีหน้าสงสัย แต่ไม่นานก็เหมือนนึกอะไรออก นางพลันหันหน้ามองไปทางประตูใหญ่ของวิหาร ลมหายใจกระชั้น ผ่านไปพักหนึ่งจึงกลับมาเป็นปกติ

‘ข่าวลือระหว่างตี้เทียนกับซู่มิ่ง…หรือว่าจะเป็นเรื่องจริง!’

ผู้แข็งแกร่งอย่างตี้เทียน ตอนที่ร่างแยกสองตนสู้กับจี๋อั้น โอกาสที่คนอื่นจะลอบโจมตีมีเท่าไรนั้น เรื่องนี้ยากจะพูดให้ชัดเจน เกรงว่ากระทั่งผู้แข็งแกร่งขั้นทรงอำนาจ นอกเสียจากระเบิดตัวเอง มิเช่นนั้นคงยากจะส่งผลถึงช่วงสำคัญได้ อย่างมากสุดก็สร้างโอกาสให้จี๋อั้นลงมือก่อนเท่านั้น

หากต่ำกว่าขั้นทรงอำนาจก็ไม่จำเป็นต้องลงมือเลย เพราะมันไม่มีผลอะไร เว้นแต่จะอยู่เหนือกว่าขั้นทรงอำนาจที่สู้กับตี้เทียนได้ด้วยตัวคนเดียว แบบนี้ถึงจะนับว่าสมบูรณ์ ซูหมิงไม่มีขั้นพลังแบบนี้ บางทีอาจมีอยู่ เขาพอฝืนให้มีได้ แต่ด้านความเข้าใจในอภินิหารต่างๆ ของตี้เทียน พูดได้ว่าซูหมิงเข้าใจเป็นอย่างดี!

ถึงอย่างไรตอนหงหลัวควบคุมร่างก็เคยสู้กับตี้เทียนมาครั้งหนึ่ง พอหงหลัวหายไปก็ยังเคยสังหารร่างแยกตี้เทียนอีก!

กระทั่งหลายปีก่อนบนทะเลมรณะยังเคยต่อสู้ครั้งใหญ่กับร่างแยกตี้เทียน ถึงสุดท้ายชายชราผู้สร้างซวินจะช่วยให้หนีรอดมาได้ ทว่าหากไม่ใช่เพราะตัวเขามีศักยภาพพอจะสร้างความยุ่งยากให้กับร่างแยกตี้เทียน ต่อให้ชายชราผู้สร้างซวินช่วยก็หนีไม่พ้นชะตาอยู่ดี

ซูหมิงที่รอดมาจากการสู้สามครั้ง ตอนนี้จะเปิดฉากสู้ครั้งที่สี่แล้ว!

‘ศึกครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ จะพึ่งจี๋อั้นไม่ได้…’ ร่างเงาซูหมิงมาปรากฏอยู่ข้างหุบเขาพันวารี ตรงนั้นเป็นพักของศิษย์สำนักฝ่ายนอก เขาหามุมหนึ่งที่ค่อนข้างห่างไกลผู้คน แล้วนั่งขัดสมาธิลงก่อนใคร่ครวญไม่หยุด

เขาลูบถุงเก็บวัตถุ หนามเทพหมานในตอนนั้นพอใช้แล้วก็เก็บไป หนามอันนี้ยังใช้ได้อีก แต่ต้องใช้ให้ชาญฉลาดกว่าครั้งก่อน มิเช่นนั้นจะไม่มีผลอะไรมากนัก

ดวงตาซูหมิงวาววับ เขาใช้มือขวาตบถุงเก็บวัตถุไปทีหนึ่ง แสงหม่นหายไปโดยทันที หลังจากเขากินเข้าไปแล้ว แสงหม่นในร่างกายก็พลันถูกขั้นพลังบ่มเบาะ ซึ่งแสงหม่นนั้นก็คือหนามหนึ่งอันนั้น!

‘ของวิเศษจำนวนมากของข้าพังไปแล้วจากการต่อสู้ครั้งนั้น…ของที่ยังมีประโยชน์ในการต่อสู้ครั้งนี้ ระฆังเขาหานสูบความสามารถของหนึ่งภูเขาระฆังรกร้างบูรพามา พลานุภาพเลยมากขึ้นไม่น้อย ถือว่าใช้ได้

และยังมีสายฟ้าเทพที่ตี้เทียนหวาดกลัวอย่างยิ่งในตอนนั้น!’ ดวงตาซูหมิงเป็นประกาย ของวิเศษประจำตัวหรือหม้อสามขาเก้ารูใบนั้น ตอนที่มันระเบิดพลังแก่กล้า เขายังคงไม่ลืมจนถึงทุกวันนี้

‘นอกจากนี้แล้วยังมีอีกสามอภินิหาร และร่างแยกตี้เทียนก็ไม่เคยเห็นข้าใช้ด้วย มันน่าจะมีผล!’ ขณะซูหมิงกำลังครุ่นคิด สิ่งแรกที่นึกถึงคือวิชาตุ๊กตาปมหญ้า!

‘น่าเสียดายวิชานี้ต้องใช้เส้นผมหรือของติดตัวของตี้เทียน….หืม?’ ซูหมิงหรี่ม่านตา เขาพลันนึกถึงความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง

พอความคิดผุดขึ้นมา หัวใจก็เต้นระรัว

‘บางทีอาจไม่ต้องใช้เส้นผมหรือของติดตัว…..ขอเพียงในความคิดมีวัตถุที่เชื่อมต่อกับตี้เทียนอย่างเหนียวแน่น ก็น่าจะมีผล…

ต่อให้เป็นคนก็น่าจะได้! ขอแค่บุคคลนี้คุ้นเคยกับตี้เทียนและยังมีการเชื่อมต่อผ่านจิต มันต้องทำได้แน่!’ ซูหมิงยิ้มเยาะมุมปาก เขาพลันนึกถึงลิ่วล้อของตี้เทียน

ชายชราเสื้อคลุมดำที่ซูหมิงจับตัวเอาไว้ตอนอยู่ในโลกเก้าหยินยังอยู่กับเขาตลอด เดิมทีตั้งใจว่าจะล้วงความลับเกี่ยวกับซู่มิ่งจากอีกฝ่าย ทว่าตอนนี้ชายชราเสื้อคลุมดำคนนั้นเป็นตัวเลือกในการวางแผนร้ายต่อตี้เทียนอันดีเยี่ยมที่สุด!

‘คนผู้นี้คือลิ่วล้อของตี้เทียน ตี้เทียนส่งเขามายังแดนหมานเพื่อจับตามองข้า แน่นอนว่าต้องเป็นคนสนิท…บวกกับสามารถสื่อสารกับตี้เทียน ทั้งยังมีร่างแยกตี้เทียนในตอนนั้นปกป้องกับผสานรวม ฉะนั้นคนคนนี้จะต้องมีการเชื่อมต่อผ่านจิตกับตี้เทียนอย่างแน่นอน!’ ซูหมิงตกอยู่ในห้วงความคิดพลางยิ้มเยาะในใจ

‘ตี้เทียน เจ้าวางผนึกในตัวข้า ในระยะยาวมันจะทำให้ข้าทะลวงขั้นวิญญาณหมานล้มเหลว เช่นนั้นวันนี้ข้าก็จะใช้วิชาตุ๊กตาปมหญ้า ให้เจ้าได้ลิ้มลองว่ารสชาติมันเป็นอย่างไร!’ นัยน์ตาซูหมิงฉายแววชั่วร้าย ทว่าไม่นานก็หายไป

‘และยังมีผนึกมรณะหยินเจ็ดยมโลก วิชานี้เป็นอภินิหารของเซินตง แต่เขาไม่ใช่คนแดนมรณะหยินเลยใช้วิชานี้ได้ไม่สมบูรณ์แบบ ตอนนั้นข้าลอกแบบมาแล้ว พอมีความมั่นใจอยู่หลายส่วนว่าจะใช้ได้’ ซูหมิงหลับตาลง หลังจากใคร่ครวญถึงผนึกยมโลกมืดในความคิดแล้ว ตอนที่ลืมตาขึ้น จิตสังหารต่อตี้เทียนมั่นคงขึ้นอีกหลายส่วน

‘สุดท้ายคือ…’ ซูหมิงยกมือขวา สายตามองสี่นิ้วมือนอกจากนิ้วโป้ง ยันต์อักขระขยับวูบวาบอยู่บนข้อปลายนิ้วทำให้นัยน์ตาซูหมิงค่อยๆ เป็นมันวาว

‘สายลม สายฝน ฟ้าผ่า สายฟ้า…และยังมีฤดูหนาว!’ ซูหมิงมองนิ้วก้อยมือขวา

‘อีกสองวัน…’ ซูหมิงยืนขึ้นก่อนขยับวูบไหวค่อยๆ หายตัวไป จนกระทั่งหายไปแล้วถึงมีคนหน้าตาดูชั่วร้ายผู้หนึ่งเดินมาจากเส้นทางเล็กข้างๆ ขณะบุคคลนี้เดินมาตลอดทางก็สอดส่ายไปรอบๆ พลางถอนหายใจไม่หยุด

“ทำอย่างไรดี…ทำอย่างไรดี…..สงครามครั้งนี้ข้าตายแน่…เฉียนเฉินหนอเฉียนเฉิน หรือว่าเจ้าจะต้องจากไปตั้งแต่ยังหนุ่มยังแน่นจริงๆ…เฮ้อ สวรรค์รังแกอัจฉริยะอย่างข้าจริงๆ!” บุคคลนี้คือเฉียนเฉิน เขาถอนหายใจแล้วนั่งตรงจุดที่ซูหมิงเคยนั่งเมื่อครู่ ก่อนเหม่อมองฟ้าด้วยใบหน้าเศร้าหมอง

“เฮ้อ รู้อย่างนี้ตอนนี้ไม่น่าลำบากแอบมาเยือนเลย อยู่ข้างบนนั่นก็ดีอยู่แล้ว…อยากได้แม่นางน้อยก็ได้ อยากได้หินวิญญาณก็ได้….ต้องโทษความโลภของข้าในตอนนั้น คิดว่ามาเยือนเผ่าหมานแล้วจะสบายกว่า” เฉียนเฉินขยี้ศีรษะ หน้านิ่วคิ้วขมวด จากคำพูดจะเห็นได้ว่าเฉียนเฉินเป็นผู้มาเยือนคนหนึ่ง!

แต่เกรงว่า….จะเป็นผู้มาเยือนที่อ่อนแอที่สุด

ขณะกำลังถอนหายใจอยู่ ซูหมิงก็กลับมาถึงถ้ำแล้ว เขานั่งขัดสมาธิลงแล้วสะบัดแขนเสื้อ ตรงหน้าปรากฏหมอกดำกลุ่มหนึ่ง ในหมอกนั้นมีชายชราเสื้อคลุมดำลิ่วล้อของตี้เทียน เพียงแต่ว่ารอบตัวถูกผนึกเอาไว้ กลิ่นอายพลังจึงไม่ออกมา

ซูหมิงจ้องชายชราเสื้อคลุมดำด้วยดวงตาวาววับ ก่อนหยิบหญ้าขึ้นมาถักทีละปม ทุกครั้งที่ผูกหนึ่งปม เขาจะดึงวิญญาณเสี้ยวหนึ่งมาจากร่างชายชราเสื้อคลุมดำ….

จิตสังหารและความแค้นต่อตี้เทียนทำให้ซูหมิงรวมคำสาปและวิชาชั่วร้ายสังหารต่างๆ ไว้ในทุกปมหญ้า ในนั้นมีความคิดความบ้าคลั่ง จิตทำลายล้าง กำราบ และสังหารเป็นต้น

พอผูกไปทีละปมหญ้า ไอหนาวเย็นเยียบเข้ามาโอบล้อม สูบวิญญาณชายชราเสื้อคลุมแล้วผสานรวมอยู่ในปมหญ้า อาศัยพลังแห่งปมหญ้ากระตุ้นการเชื่อมต่อของตี้เทียนกับวิญญาณชายชรา

ใช้การเชื่อมต่อนี้และชายชราเสื้อคลุมดำเป็นสื่อกลางเพื่อจะใช้คำสาปและวางแผนร้ายต่อตี้เทียน! ซูหมิงทำตามความคิดนี้อย่างต่อเนื่องจนหาจุดเชื่อมต่อพบ ไม่นานช่วงที่เขามองตุ๊กตาปมหญ้า เขามีความรู้สึกเหมือนมองตี้เทียน

‘ศึกครั้งนี้…..หากไม่ได้สังหารตี้เทียน ข้าซูหมิงไม่ยอมเด็ดขาด!’

‘ศึกครั้งนี้ หากตี้เทียนไม่ตาย ก็เป็นข้าซูหมิงที่ตาย!’

‘ศึกครั้งนี้ไม่มีทางแพ้!’ ซูหมิงกำตุ๊กตาในมือ สีหน้าชั่วร้ายอย่างยิ่ง ส่งผลให้รอบถ้ำหนาวเยือก

เวลาผ่านไปไม่นานก็สองวัน หนึ่งชั่วยามก่อนที่สำนักอสูรจะเดินทาง ช่วงที่ท้องฟ้าด้านนอกเริ่มสว่าง ในฝ่ามือขวาซูหมิงมีสัญลักษณ์ผนึกสีดำจางๆ เพิ่มเข้ามา

ในสัญลักษณ์ผนึกอบอวลไปด้วยกลิ่นอายมรณะ ทว่าตอนกำมือกลับไม่ปล่อยอะไรออกมา นี่คือสิ่งที่ซูหมิงทำนอกเหนือจากผูกปมหญ้าสร้างตุ๊กตาในสองวัน โดยการสร้างตัวเหนี่ยวนำจากการรวมผนึกยมโลก ใช้ตัวเหนี่ยวนำนี้เป็นตัวนำผนึกจนออกมาเป็นสัญลักษณ์ผนึกจากการลอกแบบผนึกมรณะหยินเจ็ดยมโลกของเซินตง แม้ยังไม่นับว่าสมบูรณ์ อีกทั้งตอนใช้งานยังมีราคาต้องจ่าย แต่ซูหมิงก็ยังเลือกใช้มัน

เขาเห็นพลานุภาพของวิชานี้มากับตาแล้ว เลยมีความเชื่อมั่นว่าถ้าใช้กลิ่นอายมรณะเร่งรัดใช้ผนึกยมโลก พลังแห่งมรณะหยินที่ถูกเหนี่ยวนำมาจะต้องแกร่งกว่าตอนเซินตงใช้อย่างแน่นอน!

นอกจากผนึกยมโลกแล้ว ในมือซ้ายซูหมิงยังมีตุ๊กตาปมหญ้าตัวหนึ่ง ชายชราเสื้อคลุมดำหายไปแล้ว ทว่าในตัวตุ๊กตากลับมีไอหนาวเย็นเยียบ หากจ้องตุ๊กตานานๆ จะได้ยินเสียงร้องโหยหวนข้างหู

ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ครั้นเก็บตุ๊กตาแล้วก็ขยับตัวหายออกไปจากถ้ำ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version