ตอนที่ 645 สามราชันและห้าจักรพรรดิ
ยังคงเป็นวัตถุคล้ายถาดเหาะเหินยักษ์เหมือนกับตอนมาหุบเขาพันวารี ทว่ากลับไม่ใช่อันเดียว แต่มีถึงเก้าอัน!
บนวัตถุถาดใหญ่ยักษ์เก้าอันนี้มีศิษย์สำนักวิญญาณอสูรนั่งอยู่หลายพันคน ศิษย์เหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นสำนักฝ่ายนอกกับเผ่าหมานปรับสายเลือด
มองไปดูเป็นปึกใหญ่อึมครึม ให้ความรู้สึกถึงพลังของกลุ่มคนจำนวนมาก
นอกวัตถุถาดเก้าอันเป็นมังกรหยินยักษ์สิบแปดตัว มังกรหยินเหล่านี้รวมขึ้นจากวิญญาณร้าย ทุกตัวมีความยาวหลายพันจั้ง พวกมันบินล้อมอยู่นอกวัตถุถาดเก้าอัน ขณะบินก็ส่งเสียงร้องคำราม
บนมังกรหยินสิบแปดตัวมีคนนั่งอยู่เกือบหมื่น คนเหล่านี้ล้วนเป็นศิษย์ชั้นยอดของสำนักวิญญาณอสูร พวกเขามีสีหน้าเคร่ง ในความเย็นชาแฝงไว้ด้วยจิตสังหาร
ศีรษะมังกรหยินทุกตัวมีคนนั่งอยู่หลายคน คนเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้แข็งแกร่งของสำนักวิญญาณอสูร เซินตงยืนอยู่บนศีรษะมังกรตัวหน้าสุด ส่วนเป่าชิวอยู่บนมังกรตัวด้านหลัง
นี่เป็นเพียงขุมอำนาจเท่านั้น ภาพนี้ยิ่งใหญ่กว่าตอนบุกหุบเขาพันวารีเสียอีก เห็นได้ว่าการบุกหุบเขาพันวารีเป็นการอุ่นเครื่องเท่านั้น การสังหารที่แท้จริงยังไม่เริ่มต้นขึ้น
ด้านหลังมังกรหยินเป็นกล่องบรรทุกขนาดยักษ์เก้าอัน ทุกอันล้วนมีขนาดหลายร้อยจั้ง ถูกปกคลุมด้วยอักขระหนาแน่น ดูแล้วไม่รู้เลยว่าบรรจุอะไรเอาไว้ข้างใน ทว่าจากแรงกดดันบางๆ ในนั้นก็พอจะคาดเดาได้ว่าในกล่องยักษ์เก้าอันนั้นจะต้องมีของวิเศษชั่วร้ายแก่กล้าอะไรบางอย่าง!
กล่องเก้าอันเรียงกันเป็นแนวตั้ง เหมือนกับใช้มังกรเป็นหัวแล้วลากกล่องเหล่านี้ผ่านท้องฟ้าไป
หากเพียงเท่านี้บางทีอาจเห็นถึงความแกร่งของสำนักวิญญาณอสูร แต่จะมองไม่เห็นถึงความบ้าอำนาจของสำนักสักเท่าไร แต่พอด้านบนมีเมฆดำม้วนตลบรวมเป็นรูปศีรษะโครงกระดูกยักษ์ กลับทำให้กองกำลังสำนักวิญญาณอสูรดูน่าสะพรึงกลัว
โดยเฉพาะมังกรหยินสองตัวที่ขนาบข้างซ้ายขวาของมังกรหยินสิบแปดตัว พวกมันแบกธงใหญ่เกือบหมื่นจั้งซึ่งใหญ่กว่าตัวมัน ขณะบินไปธงใหญ่โบกสะบัดกลางสายลม ทำให้สิ่งแรกที่เห็นตอนมองสำนักวิญญาณอสูรคือธงใหญ่หมื่นจั้งนี้!
บนธงทางซ้ายเขียนตัวอักษรเอาไว้ว่า
‘สำนักวิญญาณอสูร’
บนธงทางขวาก็มีตัวอักษรเช่นกัน พอมองแล้วจะมีความรู้สึกถึงกลิ่นคาวเลือด!
‘ฆ่าให้หมด!’
เสียงธงใหญ่โบกสะบัดตีกันกลางสายลม หลอมรวมกับเสียงลมขณะบินและเสียงคำรามของมังกรหยิน รวมเป็นเสียงเล็กแหลมพิลึก พอกองกำลังสำนักวิญญาณอสูรเดินหน้าก็ดังกังวานไปรอบๆ
จุดที่ผ่านไปสิ่งมีชีวิตบนแผ่นดินจะเงียบงัน ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ร้ายแข็งแกร่งเพียงใดก็ต้องก้มหน้าลง เหมือนไม่อยากมองตรงๆ และยังมีชนเผ่าหมานจำนวนมากบนพื้นดิน ยามนี้ต่างพากันเงียบงัน
ซูหมิงนั่งอยู่บนหนึ่งในวัตถุถาดเก้าอันกลางวงล้อมของมังกรหยินสิบแปดตัว เขามองภาพตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่งพลางโคจรพลังในร่างกายเพื่อเตรียมออกรบ
สงครามในครั้งนี้ ไม่ว่าสำนักวิญญาณอสูรจะทำลายทั้งหมดหรือสำนักเซียนจะถูกสังหาร เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่สิ่งที่ซูหมิงเป็นห่วง สิ่งที่เขาสนใจเพียงอย่างเดียวคือความตายของตี้เทียน!
ตี้เทียน จะต้องตายในสงครามครั้งนี้!
“ผู้อาวุโส พวกเรามีโชคชะตาต่อกันจริงๆ ไม่นึกเลยว่าจะได้เจอกันอีกครั้ง ครั้งนี้ผู้อาวุโสต้องช่วยข้า…” ซูหมิงมองฉากฟ้าทอดไกล ชั่วขณะนัยน์ตามีจิตสังหารวูบผ่านก็มีเสียงสะอื้นแว่วมาข้างหู
ซูหมิงไม่ต้องหันไปมองก็รู้ว่าเสียงนี้เป็นของเฉียนเฉิน
เฉียนเฉินจับด้ามจับที่เตรียมไว้ให้ทุกคนบนวัตถุถาดเอาไว้แน่นเพื่อไม่ให้ถูกผลักออกจากถาด ในร่างกายก็โคจรพลังที่มีอยู่ไม่มากอย่างรวดเร็ว หลังจากพยายามฝืนเอาไว้แล้วเขาก็ค่อยๆ ขยับตัวบนวัตถุถาด ตรงไปขอร้องคนจำนวนมาก ตอนนี้พอเห็นซูหมิง นัยน์ตาก็ฉายแววยินดีก่อนคลานเข้ามาอ้อนวอน
เขารู้ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่คนธรรมดา จะต้องเป็นยอดฝีมือผู้ไม่เปิดเผยตัวอย่างแน่นอน เขายังจำเรื่องที่อีกฝ่ายหายตัวไปตอนมาหุบเขาพันวารีได้
“ผู้อาวุโส ครั้งนี้สี่สำนักอสูรเคลื่อนพลพร้อมกัน น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่าไปรวมกันที่ใด แต่ครั้งนี้โอรสแห่งสวรรค์ของสำนักอสูรจะมารวมตัวกัน…
ไม่ว่าจะเป็นโอรสแห่งสวรรค์ยุคเก่าหรือยุคใหม่ต่างปรากฏตัว…อย่างเช่นซือคงของสำนักธุลีอสูร คนผู้นี้เป็นอันดับหนึ่งในรุ่นเยาว์ของสำนักนี้!
เขามีชื่อเสียงพอๆ กับซานเหิ่นของสำนักวิญญาณอสูรของเรา…” เฉียนเฉินกลอกตาแล้วพลันกล่าวขึ้น เขารู้ว่าตนไม่มีค่าพอให้อีกฝ่ายต้องดูแลจริงๆ ทว่าก็คิดขึ้นได้ว่าอีกฝ่ายอำพรางขั้นพลังมายังสำนักวิญญาณอสูร เช่นนั้นจะต้องอยากรู้เรื่องสำนักอสูรแน่ ตอนนี้ถึงช่วงเวลาเป็นตาย เขาเลยไม่สนใจอะไรมาก รู้เท่าไรก็บอกไปเท่านั้น
เดิมทีเขาเป็นผู้มาเยือน ศิษย์ธรรมดาย่อมไม่อาจเปรียบ เรื่องที่รู้ก็มากกว่าไม่น้อย
‘ซือคง…’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกาย เอียงศีรษะมองเฉียนเฉินแวบหนึ่ง
เฉียนเฉินจิตใจสั่นไหว เขารู้สึกว่าตนหาโอกาสในการแสดงตัวพบแล้ว จึงรีบกล่าวทันที
“ผู้อาวุโสดูชายร่างกำยำบนมังกรหยินตัวที่สาม คนที่ตัวสูงที่สุดนั่นก็คือซานเหิ่นของสำนักวิญญาณอสูรของเรา!” เฉียนเฉินชี้ไปยังมังกรตัวที่สามไกลๆ ช่วงที่ซูหมิงมองไปก็เห็นชายร่างกำยำยืนอยู่ตรงศีรษะมังกร
บุคคลผู้นี้รูปร่างใหญ่ยิ่งนัก ยืนอยู่ตรงนั้นเหมือนกับภูเขาเล็ก ในร่างกายมีระลอกคลื่นพลังไม่อ่อนแอ โดยเฉพาะรอบตัวที่มีวิญญาณร้ายวนเวียนอยู่ พอมองแล้วจะอดตื่นตะลึงมิได้
‘ซานเหิ่น…’ ซูหมิงมองชายร่างกำยำคนนั้น ความจริงแล้วตอนมาสำนักวิญญาณอสูรครั้งแรก เขาก็เคยเจอคนคนนี้กำลังให้อาหารวิญญาณร้ายอยู่
‘ซานเหิ่น…ซานเหิน….’ หากไม่มีเรื่องของเป่ยหลิงกับเฉินซิน ซูหมิงคงไม่เชื่อมโยงอะไรมากนัก แต่ตอนนี้เขาเข้าใจมากขึ้นแล้ว ฉะนั้นตอนนั้นจึงไม่ได้แสดงท่าทีประหลาดใจ เพียงมองอีกฝ่ายอย่างลุ่มลึกแวบหนึ่งแล้วละสายตากลับ
‘รูปร่างหน้าตาของข้าตอนนี้ คนคุ้นชื่อเหล่านั้นไม่น่าจะจำได้’ ซูหมิงกล่าวเสียงเบาในใจ
“เมื่อครู่เจ้าบอกว่าซือคง เป็นซือของตัวใด?” ซูหมิงกล่าวช้าๆ
“เป็นซือ (思) จากคำว่าซือซู่” เฉียนเฉินอึ้งงัน เขาไม่รู้ว่าเหตุใดซูหมิงถึงถามแบบนี้ จึงรีบกล่าวตอบ
‘ซือคง (司空)…ซือคง (思空)’ ซูหมิงเงียบไป
“ทว่าจริงๆ แล้วศิษย์สูงสุดในรุ่นเยาว์ของสำนักวิญญาณอสูรไม่ใช่ซานเหิ่น แต่เป็นอูเซิน! เมื่อหลายปีก่อนอูเซินคนนี้ออกไปฝึกข้างนอก ครั้งนี้เลยไม่ได้ร่วมสงครามด้วย แต่ข้าว่าตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ ในสำนักจะต้องติดต่อเขาอย่างแน่นอน เกรงว่าน่าจะเจอเขาในจุดรวมพลของสำนักอสูร” เฉียนเฉินอยู่ข้างกายซูหมิง เห็นอีกฝ่ายไม่กล่าวจึงบอกเรื่องที่รู้ออกไปเอง
“ส่วนศิษย์สูงสุดของสำนักกระหายอสูรคือปี้ซู่…เอ่อ..เป็นซู่จากคำว่าซู่หรง (ใบหน้าขาว) นางเป็นสตรี ทว่ามีพรสวรรค์สูงส่งจนน่าตะลึง…นาง อูเซิน แล้วก็ซือคงต่างมีชื่อเสียงโด่งดังในสำนักอสูรบนแดนหมาน”
‘น่าสนใจ…’ นัยน์ตาซูหมิงแวววาว
‘อูเซินแห่งเผ่าร่องลมในความทรงจำข้า ที่แท้เป็นศิษย์อันดับสูงสุดของสำนักวิญญาณอสูร! ปี้ซู่ (毕肃)ในความทรงจำข้าก็เป็นสตรีนามปี้ซู่ (毕素)’ ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง เรื่องเหล่านี้ไม่ถือว่าเป็นความลับอะไร หากเขาอยากรู้ย่อมไม่ใช่เรื่องยาก สิ่งที่เฉียนเฉินเอ่ยมาล้วนไม่มีค่าอะไรมากนัก
บางทีเฉียนเฉินอาจอ่านความสงบนิ่งของซูหมิงออก เขาลังเลอยู่ชั่วครู่แล้วกัดฟันแน่น ขยับเข้าไปใกล้ซูหมิงอีกนิด แล้วกล่าวเสียงเบา
“และยังมีท่านเซินตงแห่งสำนักวิญญาณอสูรของเรา ผู้อาวุโสน่าจะรู้จักเขา ทว่าผู้อาวุโสไม่รู้ ในแดนเซียนคนผู้นี้มีฐานะไม่ธรรมดาเลย เป็นหนึ่งในสามอันดับสูงสุดของสามสำนักชั้นล่างในสำนักอสูร!
สำนักอสูรในแดนเซียนแบ่งเป็นสามสำนักชั้นบนและสามสำนักชั้นล่าง สามสำนักชั้นล่างคือวิญญาณอสูร ธุลีอสูร และกระหายอสูร ส่วนสามสำนักชั้นบนคือ อสูรสวรรค์ วิถีอสูร และเซียนอสูร!
สำนักที่มาเยือนแดนหมานคือสำนักเซียนอสูรหนึ่งในสามสำนักชั้นบน แล้วตามด้วยสามสำนักชั้นล่าง…”
นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย ก่อนจะมองเฉียนเฉิน
เฉียนเฉินเห็นซูหมิงสนใจจึงรีบกล่าวเสียงเบาต่อ
“ท่านเซินตงเป็นหนึ่งในสามอันดับแรกของสามสำนักชั้นล่าง อันดับสูงสุดอีกสองคนหนึ่งคือท่านสื่อไห่แห่งสำนักธุลีอสูร และอีกคนคือปี้ถูแห่งสำนักกระหายอสูร!
สามคนนี้บรรลุถึงขั้นทรงอำนาจสมบูรณ์ อีกทั้งยังมีรูปแบบให้ลงมาเยือนเผ่าหมานได้อย่างสมบูรณ์ด้วย ขอบข่ายกฎมรณะหยินของเผ่าหมานแทบไม่มีผลกับพวกเขา!
ไม่เหมือนกับผู้มาเยือนเมื่อหลายพันปีก่อนที่ถูกระงับขั้นพลังจนใช้ได้ไม่มาก…”
ซูหมิงมองเฉียนเฉิน เขาไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะรู้เรื่องเหล่านี้ และดูแล้วไม่น่าจะกุเรื่องขึ้นมาเอง
“และยังมีสำนักเซียนอสูร สำนักนี้คือหนึ่งในสามสำนักชั้นบน แข็งแกร่งอย่างยิ่ง แม้จะมาเยือนอย่างไม่สมบูรณ์ ทว่าพอมีท่านจี๋อั้นอยู่กลับชดเชยได้ทุกอย่าง
ท่านจี๋อั้นคนนี้ก็คือหนึ่งในสามราชันของสำนักอสูร!” เฉียนเฉินเหมือนพยายามกล่าวให้ตกตะลึง หากไม่เขาจะไม่ยอมวางมือเด็ดขาด เลยเล่าสิ่งที่รู้ไม่หยุดเพื่อให้ตนมีคุณสมบัติได้รับการคุ้มกันจากซูหมิง
“สามราชัน?” ซูหมิงหรี่ม่านตา
“ใช่ขอรับ ในโลกดาราสัจธรรม แม้เผ่าเซียนของข้าจะครอบครองผืนฟ้ากระจ่างดาวเพียงสามส่วน ทว่าก็เป็นหนึ่งในหลายขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุด….ในแดนเซียนมีคำเรียกขานนามว่าสามราชันห้าจักรพรรดิอยู่ สามราชันในนั้นเป็นของสำนักอสูร ส่วนห้าจักรพรรดิเป็นของสำนักเซียน!
ท่านจี๋อั้นก็เป็นราชันแห่งความมืดหนึ่งในสามราชัน! ส่วนตี้เทียนแห่งสำนักชุมนุมเซียนก็เป็นจักรพรรดิสวรรค์ในห้าจักรพรรดิ!” เฉียนเฉินกล่าวเสียงเบา
ซูหมิงใจสั่นสะท้าน นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเซียน หากเรื่องนี้มาจากปากผู้มีพลังสูงส่งเขาคงไม่แปลกใจ แต่นี่มันมาจากเฉียนเฉิน!
“สามราชันสำนักอสูรและห้าจักรพรรดิสำนักเซียน พวกเขามีขั้นพลังระดับใด?” ซูหมิงถามขึ้น
“รายละเอียดตรงนี้ข้าเองก็ไม่แน่ใจ…แต่เล่าลือกันในหมู่เซียนว่าในสามราชัน นอกจากชือตี้แล้ว….อีกสองท่านบรรลุถึงก้าวที่สามแล้ว
ส่วนห้าจักรพรรดิ นอกจากเซวียนหวง อีกสี่คนที่เหลือเป็นยอดฝีมือในก้าวที่สามเหมือนกัน…..นี่เป็นเพียงข่าวลือเท่านั้น จริงหรือเท็จด้วยฐานะข้าไม่อาจรู้ได้”
‘ก้าวที่สาม…’ ในความคิดซูหมิงมีคำบรรยายจากมรดกของหงหลัวเรื่องระบบการฝึกของเซียนลอยขึ้นมา
“ถ้าเป็นเช่นนั้น อำนาจของสำนักอสูรในแดนเซียนจะต้องอ่อนแอกว่าสำนักเซียน! ทว่ากลับมีอำนาจคู่กันได้แบบนี้ ดูท่าคงจะมีเงื่อนงำ” ซูหมิงกล่าวเนิบช้า
เฉียนเฉินกะพริบตา แสยะปากยิ้ม เมื่อมองไปรอบๆ แล้วก็กล่าวเสียงเบาบอกความลับไป