Skip to content

สู่วิถีอสุรา 655

ตอนที่ 655 ยุยงปลุกปั่น

เฉินชงหรี่ตามอง เขาถอยอย่างรวดเร็วและไม่ลังเล ศิษย์สำนักเซียนด้านหลังล้วนตาแดงก่ำ ทว่ากลับระงับความคลุ้มคลั่งในใจเอาไว้ แล้วพากันถอยออกมาอย่างเร็วรี่

ตรงหน้าพวกเขาเป็นผู้ฝึกฌานขั้นทรงอำนาจ!

แทบเป็นช่วงเดียวกับที่เฉินชงพากลุ่มคนถอยออกมาอย่างรวดเร็ว ผู้ฝึกฌานขั้นทรงอำนาจแห่งสำนักธุลีอสูรมีสีหน้าทะมึนอย่างยิ่ง เขามองไปแล้วลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนนัยน์ตาจะฉายแววเหี้ยมโหด เรื่องนี้เขาอธิบายไม่ได้ในสนามรบ และต่อให้อธิบายก็ไม่มีประโยชน์ใด

ตอนนี้สิ่งที่ต้องทำเพียงอย่างเดียวคือสังหารคนที่รู้เห็นเหล่านี้ เพื่อไม่ให้เกิดความวุ่นวายไปมากกว่านี้

หลังจากสังหารคนเหล่านี้แล้ว ต่อให้ภายภาคหน้าถูกจับได้เขาก็มีวิธีหลบเลี่ยง หากตอนนี้ลังเลให้คนพวกนี้ถอยไป คนอื่นๆ ยังพอว่า ทว่าเฉินชงผู้นั้นตนรู้ว่าเป็นโอรสสวรรค์แห่งสำนักซ่อนมังกร คำพูดจะมีน้ำหนักกว่าคนอื่น!

ถึงรู้ว่าทุกอย่างเป็นแผนการของคนอื่น แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก!

เวลานี้ในใจร้อนรน เขายกมือขวาคว้าอากาศ เมื่อถุงเก็บวัตถุจากศพลอยขึ้นมาอยู่ในมือแล้วก็ห้อเหยียดไล่ตามพวกเฉินชงไป

สมาธิเกือบครึ่งของเขาอยู่กับพวกเฉินชงตรงหน้า แต่สมาธิมากกว่าครึ่งอยู่กับบุคคลลึกลับมือสังหารผู้ฝึกฌานขั้นทรงอำนาจของสำนักซ่อนมังกรตัวจริงในหมอกรอบตัว

แม้จะมองไม่เห็น แต่เขารู้ว่าอีกฝ่ายจะต้องอยู่รอบๆ แน่

ทว่ายามนี้ นอกจากล่าสังหารเฉินชงแล้วก็ไม่มีทางเลือกอื่นอีก หากให้เฉินชงหนีไป จากนี้ไม่ว่าเขาจะอธิบายอย่างไรก็ไม่มีประโยชน์

อีกอย่างนี่คือสงคราม สังหาร…..ก็คือสังหาร!

เวลานี้เฉินชงมีสีหน้าอึมครึมอย่างยิ่ง เขาเห็นภาพเมื่อครู่กับตาตัวเอง ทว่าในใจยังลังเลเล็กน้อย ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ใช่คนธรรมดา หากวิเคราะห์อย่างละเอียดแล้วใช่ว่าจะไม่มีเงื่อนงำเลย เพียงแต่ว่ามันเกิดขึ้นเร็วมากและเวลามีน้อยยิ่งนัก เขาต้องการเวลาตรึกตรองสักครู่ถึงจะวิเคราะห์ได้โดยละเอียด

ถึงอย่างไรก่อนเริ่มสงคราม สำนักอสูรกับสำนักเซียนมีสัญญาลับที่ไม่ต้องบอกกล่าวกันอยู่ นั่นคือสงครามครั้งนี้ห้ามผู้แข็งแกร่งขั้นทรงอำนาจตาย

ต่อให้เป็นโอรสสวรรค์อย่างพวกเขาก็เพียงแค่ให้มีอันตรายเท่านั้น ถึงจะมีโอกาสตายอยู่ แต่ความเป็นไปได้ก็ไม่สูง

สงครามนี้มีคนตายได้ ทว่าต้องมีการควบคุม!

ไม่ว่าสำนักอสูรก็ดี สำนักเซียนก็ดี พวกเขาล้วนเป็นเซียน และย่อมรู้แผนการร้ายของเทพหมานรุ่นหนึ่ง ดังนั้นจึงมีสัญญาลับควบคุมเกิดขึ้น

หากแต่ยามนี้ ความปั่นป่วนในสงครามมีผลให้การควบคุมเหมือนเกิดข้อผิดพลาด….โดยเฉพาะการตายของผู้ฝึกฌานขั้นทรงอำนาจ ยิ่งทำให้ในใจเฉินชงสั่นไหวและสองจิตสองใจ

ทว่าผู้ฝึกฌานขั้นทรงอำนาจแห่งสำนักธุลีอสูรไล่ตามหลังมา บวกกับความรู้สึกถึงภยันตรายจากจิตใจ มิหนำซ้ำเฉินชงยังรู้สึกถึงจิตสังหารของอีกฝ่าย ดังนั้นความลังเลจึงแทบจะหายไป แล้วแทนด้วยการหนีอย่างรวดเร็ว

‘หรือว่าสำนักอสูรจะเอาแบบนี้จริงๆ คิดสังหารคนสำนักเซียนทั้งหมดบนแดนหมาน!’ นัยน์ตาเฉินชงแวววาว เสียงร้องโหยหวนดังระงมด้านหลัง ตอนที่หันกลับไปมองก็เห็นกับตาว่าผู้ฝึกฌานขั้นทรงอำนาจแห่งสำนักธุลีอสูรลงมือสังหารคนสำนักซ่อนมังกร

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผู้ฝึกฌานแห่งสำนักธุลีอสูรมีสีหน้าตึงเครียดยิ่ง ความร้อนรนอบอวลไปทั้งกายและใจ ทว่าเขากลับระงับเอาไว้ นี่ไม่ได้เกิดจากวิชาของคนอื่น แต่เป็นเพราะใจเขาร้อนรนขึ้นเอง

เขาตามเฉินชงไม่ทัน!

ไม่ใช่ว่าขั้นพลังไม่พอหรือมีคนมาก่อกวน แต่เป็นเพราะเฉินชงตรงหน้ายอมจ่ายทุกอย่างใช้วิชาหลบหนีโลหิต อีกทั้งยังใช้ของวิเศษไม่หยุดหย่อน ความเร็วจึงเพิ่มขึ้นอย่างยิ่ง ทั้งยังรับการโจมตีของตนได้ถึงสามครั้งก็ยังไม่ตาย!

‘โอรสสวรรค์ของสำนัก สำนักซ่อนมังกรมอบของวิเศษป้องกันตัวกับหลบหนีให้เด็กคนนี้เท่าไรกันแน่!’ ผู้ฝึกฌานขั้นทรงอำนาจแห่งสำนักธุลีอสูรกัดฟันแล้วตามไปอีกครั้ง

“บัดซบ เหตุใดเป็นเช่นนี้!” เขาต้องไล่ตามไป จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่ล้มเลิก มิเช่นนั้นคนที่รู้ถึงสัญญาลับของสงครามอย่างเขาไม่มีทางอธิบายได้อย่างแน่นอน

ชั่วขณะที่สองคนไล่ล่ากัน ซูหมิงเคลื่อนตัวอยู่ในหมอกควัน สายตามองสองคนห้อเหยียดไป ส่วนใหญ่เขาจะมองเฉินชง และมีความรู้สึกเดียวกับผู้ฝึกฌานแห่งสำนักธุลีอสูร คือบุคคลนี้มีของวิเศษเยอะและมีความเร็วสูง

เดิมทีเขาตั้งใจว่าจะแอบลงมือช่วย แต่ตอนนี้ดูแล้วคงไม่ต้อง ทุกอย่างกำลังดำเนินไปตามแผนการอันสมบูรณ์แบบเร็วยิ่งขึ้น

เฉินชงตกที่นั่งลำบากนัก ศิษย์สำนักซ่อนมังกรรอบตัวบ้างกระจัดกระจายไปรอบๆ บ้างถูกไล่ล่าสังหารอยู่ด้านหลัง เขาในยามนี้ไม่มีความสงสัยอีก ความคิดเดียวในตอนนี้คือต้องหนีให้เร็ว ต้องถ่วงเวลาอีกฝ่ายให้ศิษย์ที่กระจายกันออกไปแจ้งเรื่องกับสำนัก

สำนักอสูรคิดจะทำลายล้างสำนักเซียน!

ทว่าเสียงกรีดร้องโดยรอบกลับทำให้เขาจิตใจสั่นสะท้าน ดวงตาแดงก่ำขึ้นมา เขาคุ้นหูกับเสียงกรีดร้องนั้น คนเหล่านั้นก็คือศิษย์ร่วมสำนักที่กระจายกันหนี เวลานี้……เกรงว่าคงถูกฆ่าปิดปากไปทีละคนแล้ว

เพียงแต่ว่าตรงจุดที่มาของเสียงกรีดร้องเหล่านั้นทำให้เฉินชงหลีกหนีไปโดยสัญชาตญาณ ห้อวิ่งหนีไปตามเส้นทางที่กระทั่งตัวเขายังไม่รู้ว่ามีคนอื่นชี้นำให้

หากเวลานี้มีนักล่ามือฉมังมองอยู่ข้างๆ เช่นนั้นต้องมองออกแน่ว่าการหลบหนีของเฉินชงเหมือนกับสัตว์ที่ถูกจับกุมเท้า ทุกอย่างของเขาถูกนักล่าที่ซ่อนตัวในหมอกควบคุมอยู่

นี่คือทักษะการล่าอย่างชาญฉลาดยิ่ง การล่าแบบนี้ซูหมิงเรียนรู้มาตั้งแต่ตอนอายุสิบกว่าขวบแล้ว

ตอนอยู่ภูเขาทมิฬ ชาวเผ่าภูเขาดำที่เขาสังหารคนแรกก็ตายด้วยการควบคุมแบบทักษะการล่านี้!

‘ข้าจะตายไม่ได้ ข้าต้องแจ้งเรื่องกับสำนัก!’ เฉินชงกัดปลายลิ้นพ่นโลหิตอีกครั้ง ความเร็วพลันเพิ่มขึ้น เสียงโครมครามหนึ่งคราดังแว่วมาจากด้านหลัง บนตัวเขาปรากฏแสงสีเหลืองหนึ่งชั้นและมีมังกรทองวนเวียนเลือนรางอยู่เก้าตัว ทว่าเวลานี้ มังกรทองเก้าตัวกลับตายไปสามตัวภายใต้เสียงดังสนั่น

แต่ด้วยความคลุ้มคลั่ง เขาจึงเร่งความเร็วโดยไม่สนสิ่งใด พุ่งตรงไปข้างหน้าในชั่วพริบตา ผู้ฝึกฌานแห่งสำนักธุลีอสูรด้านหลังวิ่งทะยานเข้ามา สองคนหน้าหลังพุ่งเข้ามาอยู่ตรงใจกลางสนามรบ ตรงนี้…เป็นลานต่อสู้ของจิงหนานผู้อาวุโสสูงสุดแห่งสำนักซ่อนมังกรกับสือไห่แห่งสำนักธุลีอสูร

ท่ามกลางเสียงระเบิดดังกังวาน จิงหนานแค่นเสียงหึเย็นชาพร้อมร่นถอย เขาเองก็เกิดเพลิงโทสะเช่นกัน แต่กลับระงับเอาไว้ในระดับหนึ่ง มิได้ต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตายกับอีกฝ่ายจริงๆ ทว่ายามที่เขากับสือไห่ต่างถอยห่างกันนั้น จิตใจเขาพลันสั่นไหวก่อนหันหลังไปมอง แวบแรกที่เห็นคือเฉินชงโอรสสวรรค์ของสำนักตนพุ่งเข้ามาหา!

“ผู้อาวุโสสูงสุด ผู้อาวุโสใหญ่สิ้นแล้ว ศิษย์เห็นกับตาว่าผู้ฝึกฌานขั้นทรงอำนาจฝ่ายธุลีอสูรเป็นคนสังหาร….เขาล่าสังหารข้ามาตลอดทาง ระหว่างทางศิษย์ในสำนักเราถูกเขาฆ่าปิดปากหมดแล้ว!” ทันทีที่เฉินชงเห็นจิงหนานก็ร้องตะโกนด้วยสีหน้าดีใจ กล่าวจบร่างกายคล้ายหมดเรี่ยวแรง กระอักโลหิตก่อนศีรษะดิ่งลงสู่พื้น

จิงหนานอึ้งงัน ส่วนสือไห่หรี่ม่านตา

ฉับพลันนั้นผู้ฝึกฌานขั้นทรงอำนาจแห่งสำนักธุลีอสูรก็ตรงเข้ามา แต่พอเห็นสือไห่กับจิงหนานแล้วใบหน้าพลันซีดขาว

“เรื่องนี้…” เขาอยากจะอธิบายกับสือไห่ผู้อาวุโสสูงสุดของสำนักตน ทว่าทันใดนั้น นัยน์ตาจิงหนานเผยจิตอาฆาตจริงๆ เป็นครั้งแรก เขาเคลื่อนตัวตรงไปหาผู้ฝึกฌานคนนั้น สือไห่เองก็มีสีหน้าทะมึน เรื่องนี้เขามองเงื่อนงำออกอยู่บ้าง ทว่ายังลังเลใจอยู่ ถึงอย่างไรคำพูดก็มาจากเฉินชงโอรสสวรรค์แห่งสำนักซ่อนมังกร อาการบาดเจ็บเหมือนใช้ทุกอย่างเพื่อหนีมาอย่างชัดเจน มิหนำซ้ำ…ผู้อาวุโสคนนี้ของสำนักตนก็ล่าสังหารมาจริงๆ

ต่อให้เป็นอย่างนั้น สือไห่ก็ไม่มีทางยืนมองผู้แข็งแกร่งขั้นทรงอำนาจของสำนักตนถูกสังหารเฉยๆ อย่างแน่นอน เขาเคลื่อนตัวเข้ามาขวางหน้าจิงหนานเอาไว้ ทั้งสองคนนี้จึงระเบิดพลังทั้งหมดเป็นครั้งแรกก่อนจะเข้าปะทะกัน

ท่ามกลางเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว ทั้งสนามรบกึกก้องไปด้วยเสียงหัวเราะด้วยความโกรธแค้นของจิงหนาน

“สือไห่ สำนักของเจ้าสังหารผู้อาวุโสใหญ่แห่งสำนักซ่อนมังกรของข้า อีกทั้งยังคิดจะฆ่าปิดปากศิษย์สายตรงประมุขสำนัก เจ้ากล้าขวางข้ารึ!” คำพูดประโยคนี้ดังกังวานไปทั้งสนามรบ คนที่ได้ยินล้วนเงียบงัน

ทว่าหลังจากเงียบไปแล้ว ไม่รู้ว่าเสียงคำรามด้วยความโกรธแค้นดังมาจากที่ใด มันทำลายความเงียบลงในพริบตา

“สังหารผู้อาวุโสใหญ่ของสำนักเรา เรื่องนี้จะยอมไม่ได้!”

คำพูดประโยคนี้อัดแน่นไปด้วยพลังให้คล้อยตาม ครั้นเสียงดังก้องกังวาน ไม่นานสนามรบก็เกิดเสียงอึกทึกที่ต่างออกไป เกิดการเข่นฆ่ากันอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!

ทางสำนักเซียน หญิงอาภรณ์ขาวร่างโซเซ ใบหน้าขาวซีด ตอนนี้นางเพิ่งจะมองแผนการของบุคคลลึกลับออก ขณะกำลังคิดจะขวางก็พลันรู้สึกหนาวเยือกในใจ มีความรู้สึกว่าในหมอกบนสนามรบมีสายตาคู่หนึ่งกำลังมองตนอย่างเย็นชา เพียงตนเคลื่อนไหวเล็กน้อยก็จะมีจุดจบเหมือนกับชายชราในสำนักก่อนหน้านี้

‘อย่าล่วงเกินข้าหรือ…’ หญิงอาภรณ์ขาวเงียบแล้วหลับตาลง นางไม่ใช่คนของสามสำนัก ย่อมไม่มีทางยอมจ่ายชีวิตเพื่อเรื่องนี้

การตายของผู้ฝึกฌานขั้นทรงอำนาจแห่งสำนักซ่อนมังกรส่งผลให้สงครามปะทุจนถึงจุดเดือด ซูหมิงเฝ้าสังเกตทั้งสนามรบอยู่กลางอากาศด้วยความเย็นชา ผนึกยมโลกตรงมือซ้ายเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ คำสาปตรงมือขวาก็ขยายใหญ่ขึ้นเช่นกัน

“ยิ่งสังหารมากเท่าไรก็ยิ่งดี!” ซูหมิงเอ่ยเสียงเบา สายตามองไปทางสำนักซ่อนมังกรบนพื้น ตอนนี้บริเวณนั้นมีเสียงคำรามสะเทือนฟ้าแว่วมา เสียงคำรามนี้ไม่ใช่ของผู้ฝึกฌาน แต่เป็นของ…มังกรยักษ์ที่ไม่รู้ว่าถูกอัญเชิญมาได้อย่างไร!

มันเป็นมังกรแท้จริงตัวหนึ่ง มีเลือดเนื้อ ร่างกายใหญ่เพียงพันจั้ง ทว่าช่วงที่ปรากฏตัวกลับแผ่แรงกดดันมหาศาลไปรอบๆ

ซูหมิงหรี่ม่านตาลง พอมองมังกรยักษ์แล้วก็เงยหน้าขึ้นมองฟ้านอกหมอกอีกครั้ง การต่อสู้ระหว่างจี๋อั้นกับตี้เทียนรุนแรงขึ้นแล้ว ระลอกคลื่นจากแรงระเบิดก็รุนแรงขึ้นไม่น้อย กระทั่งมองอยู่ไม่นานก็เห็นว่าร่างแยกตนหนึ่งของตี้เทียนทำท่าทางเช็ดมุมปาก

‘บาดเจ็บแล้วรึ…’ นัยน์ตาซูหมิงเป็นประกายวาววับ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version