Skip to content

สู่วิถีอสุรา 672

ตอนที่ 672 กลืนฟ้า

ผนึกยมโลกจากกิเลนโลหิตระเบิดออก สร้างเป็นแรงปะทะรุนแรง ชั่วพริบตาเดียวแรงปะทะก็เข้าจู่โจมใส่ระลอกคลื่นพันธนาการของซูหมิง ฉับพลันนั้นเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ชั่วขณะที่ซูหมิงเป็นอิสระ กลิ่นอายมรณะจำนวนมากถาโถมลงมาจากฟ้า และยังทำให้มังกรดำเก้าตัวด้านหลังเขาถูกกลืนอยู่ภายใน

จี๋อั้นหยุดชะงักชั่วครู่ ก่อนบุกฝ่ากลิ่นอายมรณะเข้าไปหาซูหมิง แล้วยกมือซ้ายตบอากาศไปทางฝ่ายตรงข้าม

มันเหมือนการตบแบบง่ายๆ ทว่าเมื่อตบมือไปกลับมีสัตว์ร้ายประหลาดหลายสิบตัวก่อร่างขึ้นตรงหน้าจี๋อั้น เพียงแต่มันปรากฏตัวชั่วพริบตาเดียวก็หายไป จากนั้นฝ่ามือจึงเข้าไปใกล้

ซูหมิงชกหมัดขวาใส่อากาศ เกิดเสียงดังกึกก้องฟ้าดินรุนแรงยิ่งกว่าเดิม ตรงมุมปากเขามีโลหิตไหล ร่างกระเด็นถอยไปเกือบร้อยจั้ง ส่วนจี๋อั้นร่างสั่นไหวแต่กลับไม่ถอย เพียงหน้าเปลี่ยนสีติดต่อกันหลายครั้ง

เห็นได้ชัดว่าหมัดของซูหมิงรวมกับแรงปะทะของกลิ่นอายมรณะส่งผลกระทบต่อเขาไม่น้อย

ซูหมิงเช็ดคราบโลหิตตรงมุมปาก นัยน์ตาฉายแววมุ่งมั่นในการต่อสู้ โลหิตกำลังเดือดพล่าน เขารู้สึกว่ายิ่งแรงกดดันจากอีกฝ่ายมากเท่าไร สัญญาณการข้ามผ่านขั้นวิญญาณหมานตอนกลางจะยิ่งเด่นชัดขึ้นเท่านั้น

“ถ้าเจ้าอยากสู้ เช่นนั้นก็สู้!” ซูหมิงบินขึ้นฟ้าในทันใด สะบัดแขนเสื้ออัญเชิญสองแขนเทวรูปหมานอีกครั้งตรงทางซ้ายและขวาของตน จากนั้นก็ให้มันตรงไปหาจี๋อั้น

ซูหมิงหลับตาลง หมุนโคจรพลังตามจิตใจ ด้านหลังปรากฏร่างมายาขึ้น นั่นก็คือร่างของจิตแรก เมื่อมันแผ่ออกไปแล้ว จิตแรกดูหนาแน่นอย่างยิ่งและแผ่แรงบีบอัด หนำซ้ำยังทำให้เผ่าเซียนหลายหมื่นคนด้านล่างร้องเสียงดังด้วยความตะลึง

กระทั่งจี๋อั้นยังอึ้งงัน

จิตแรกจะมีเฉพาะผู้ฝึกณานเผ่าเซียนระดับสูง และจะไม่มีในชาวเผ่าหมาน

“จิตแรก นะ…นี่มันจิตแรก!”

“เขาเป็นเผ่าหมาน แต่ไม่อยากเชื่อว่าจะมีจิตแรก!”

“หรือว่าจะเป็นผู้ฝึกหมานและเซียน เรื่องนี้มัน…เคยมีคนศึกษาเมื่อหลายปีก่อน แต่สุดท้ายก็พบว่ามันไม่มีทางรวมกันได้ ขะ…..เขาทำได้!”

ท่ามกลางเสียงดังระงม สองแขนเทวรูปหมานพุ่งตรงไปหาจี๋อั้น พลังจากสองแขนเทวรูปนี้แม้แต่จี๋อั้นก็ยังไม่กล้าดูถูก เวลานี้ไม่ต้องใคร่ครวญสิ่งใดอีกแล้ว เขาสะบัดพัดในมือไปข้างหน้าทีหนึ่ง ทันใดนั้นรอบตัวมีควันดำผุดขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง แล้วสร้างขึ้นเป็นเกราะสีดำบนตัวเขา

ทางด้านซูหมิง หลังจากหลับตาและเรียกจิตแรกออกมา ก็ยกมือขวาทำสัญลักษณ์มือติดต่อกันจนครบเก้าครั้ง จากนั้นใช้วิชาเก้าแปรเปลี่ยนอภินิหารของหงหลัวเสริมให้กับวิชาที่จะใช้ต่อไปนี้ เมื่อกดมือบนขาขวาติดต่อกันแล้ว เขาเงยหน้าขึ้นพร้อมก้าวเท้าขวาหนึ่งก้าว

วินาทีที่ก้าวเดิน ทั้งฟ้าดินสั่นสะเทือน ก่อนมีเท้ายักษ์ปรากฏขึ้นบนฟ้า เหยียบมายังจี๋อั้นอย่างรุนแรง

นี่คือเจ็ดก้าวเทพหมาน!

ซูหมิงเดินติดต่อกันเจ็ดก้าว เมื่อปรากฏเท้ายักษ์ก้าวแรกบนฟ้า ก็ปรากฏร่างมายาของเท้ายักษ์อีกหกก้าวที่แกร่งขึ้นไปตามลำดับ เท้ายักษ์เจ็ดก้าวนี้ผสานรวมเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียวแล้วเหยียบลงไป

ฟ้าดินส่งเสียงครึกโครม จี๋อั้นหรี่ตาลง เขาร้องตะโกนเสียงต่ำพร้อมขยายเสื้อเกราะดำออกโดยรอบ ขณะเดียวกันก็มีร่างมายาเผยขึ้นด้านหลัง มันมีลักษณะรูปร่างพิลึก ตรงศีรษะมีเขางอกสองเขา สูงราวพันจั้ง ทั้งคล้ายคนและไม่ใช่คน ดูเหมือนกับปีศาจนอกโลก ร่างเงานี้เงยหน้าคำรามเสียงเล็กแหลม ก่อนพุ่งตรงเข้าไปหาเจ็ดก้าวเทพหมานของซูหมิง

ท่ามกลางเสียงดังกึกก้อง ซูหมิงยังคงหลับตา ไม่ได้มองผลการต่อสู้ แต่กระตุ้นจิตใจของตัวเองอย่างต่อเนื่อง ทำให้เค้าลางการทะลวงผ่านขั้นวิญญาณหมานตอนกลางเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ

หลังใช้วิชาเก้าแปรเปลี่ยน ซูหมิงยกมือซ้ายขึ้น เขาไม่ได้ทำสัญลักษณ์มือ แต่ตัดสลับกับมือขวา ประสานปางมือไม่ซ้ำกันสิบครั้ง ทุกปางมือจะทำให้รอบตัวเขาขมุกขมัวขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งประสานถึงครั้งที่เก้า มวลอากาศขมุกขมัวก็กลายเป็นเงามายา ทำให้มองเห็นซูหมิงไม่ชัดเจน

นี่คือวิชาที่ซูหมิงได้รับมาจากหงหลัวโดยบังเอิญในตอนนั้น แต่เพราะความสูงส่งของสายเลือดและความโอหังในอภินิหารของราชวงศ์เซียน หงหลัวเลยไม่สนใจฝึกวิชานี้…นามของมันคือวิชาสิบแปรเปลี่ยนซึ่งอยู่ในอภินิหารเก้าแปรสิบเปลี่ยน เสียงรวมเป็นหนึ่ง!

วิชานี้สร้างได้ทุกสรรพสิ่งในโลก ขอเพียงผู้ใช้มีการเชื่อมต่อกับวัตถุมายาสักเล็กน้อย อย่างเช่นซูหมิงในตอนนี้ หลังจากใช้มาถึงเก้าแปรเปลี่ยนจากในสิบแปรเปลี่ยนแล้ว เขาก็รู้สึกว่าไม่อาจแปรเปลี่ยนเป็นหนึ่งครั้งสุดท้าย ฉะนั้นเลยล้มเลิกไม่ไปต่อ แต่จิตใจของเขากับงูน้อยผสานรวมเข้าด้วยกันแล้ว

ชั่ววินาทีนี้ เสียงดังอื้ออึงของผู้ฝึกเซียนหลายหมื่นคนรอบๆ เพิ่งจะเบาลง มวลอากาศขมุกขมัวตรงซูหมิงพลันขยายใหญ่ขึ้นสิบจั้ง ร้อยจั้ง ห้าร้อยจั้ง ไปจนถึงพันจั้ง

ในอากาศขมุกขมัวพันจั้ง มองไม่เห็นซูหมิงภายใน แต่เหตุการณ์ในตอนนี้กลับทำให้ทุกคนที่มองอยู่ตื่นตะลึง รู้สึกหัวใจเต้นเหมือนถูกควบคุมและรัวเร็วขึ้น

อีกทั้งความเร็วแบบนี้ยังทำให้การเต้นของหัวใจเผ่าเซียนหลายหมื่นคนถูกบังคับให้อยู่ในความถี่ระดับเดียวกัน ดังนั้นแรงกดดันที่เกิดขึ้นจึงมากพอจะสร้างความหวาดกลัวให้กับทุกคน

ตึกๆ ตึกๆ….ทุกคนที่เพิ่งได้ยินเสียงหัวใจเต้นต่างรู้สึกว่าเป็นเสียงหัวใจเต้นของตัวเอง แต่หากตั้งใจฟังดีๆ จะหน้าซีดขาว และพบว่าเสียงหัวใจเต้นนั้นมาจากในอากาศขมุกขมัวขนาดพันจั้งบนฟ้า

ประหนึ่งว่าในอากาศขมุกขมัวมีหัวใจอยู่ดวงหนึ่ง ตอนนี้ทุกคนต้องใจเต้นตามมัน หากไม่ปฏิบัติตามจะถือว่าไม่ร่วมมือกับโลกและหัวใจจะระเบิดออก

กระทั่งจี๋อั้นยังใจสั่นสะท้าน ระหว่างที่ปะทะกับสองแขนเทวรูปหมานเขาก็เอียงศีรษะมองไป แต่ทันใดนั้นกลับมีเสียงคำรามสะเทือนฟ้าแว่วมาจากในอากาศขมุกขมัวพันจั้ง

เสียงคำรามนั้นไม่เหมือนเสียงคน แต่เหมือนเสียงสัตว์ร้ายทำลายล้างโลกอะไรบางอย่าง

ยามนี้จังหวะการเต้นของหัวใจทุกคนรอบๆ รุนแรงขึ้นอีก

ครั้นเสียงคำรามดังก้องกังวาน มวลอากาศขมุกขมัวก็พลันสลายไป กลายเป็นจุดแสงผลึกนับไม่ถ้วนม้วนตลบไปรอบๆ สัตว์ยักษ์พันจั้งตัวหนึ่งกระโจนออกมาจากมวลอากาศขมุกขมัว!

การปรากฏขึ้นของสัตว์ยักษ์สร้างเสียงฮือฮาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน และยังทำให้เผ่าเซียนหลายหมื่นคนพากันถอยไปโดยไม่รู้ตัว แผ่นดินเกิดความวุ่นวายขึ้นในทันใด

ท่ามกลางความวุ่นวาย จี๋อั้นหรี่ตาลง นัยน์ตาฉายแววเหลือเชื่อ

“จู๋จิ่วอิน!”

“นี่มันจู๋จิ่วอิน!”

“ซูหมิงทำได้อย่างไรกัน ไม่อยากเชื่อว่าจะมีจู๋จิ่วอินด้วย!”

“นั่นไม่ใช่สัตว์เลี้ยง นั่นคือซูหมิง เขากลายร่างเป็นจู๋จิ่วอิน หรือว่าเขาคือจู๋จิ่วอินแปลงกายเป็นคนกัน?!”

ท่ามกลางเสียงดังระงม จู๋จิ่วอินขนาดพันจั้งบนฟ้า ตรงศีรษะพลันปรากฏใบหน้าของซูหมิง เขากำลังหลับตาลงแน่นิ่ง ร่างงูยักษ์พลันเคลื่อนไหวบนฟ้า

จากนั้นศีรษะงูจู๋จิ่วอินภายใต้ศีรษะซูหมิงก็เงยหน้าร้องคำราม น้ำเสียงเต็มไปด้วยพลังของผู้ดูดวิญญาณ คนที่ได้ยินล้วนใจเหม่อลอย เกิดความรู้สึกหลอนโดยไร้การควบคุม

ขณะเดียวกัน จู๋จิ่วอินตรงไปหาจี๋อั้น วินาทีที่เข้าใกล้มันลืมตาขึ้น ซูหมิงก็ลืมตาขึ้นตาม พลังดูดวิญญาณปะทุออกมาหลายเท่า นี่คือพลังดูดวิญญาณของจู๋จิ่วอินอย่างแท้จริง

ขณะนี้ฟ้าดินถอดสีเหมือนทุกอย่างกลายเป็นความว่างเปล่า มีเพียงดวงตาจู๋จิ่วอินที่เปล่งแสงหม่นเพียงหนึ่งเดียวในโลกนี้

ผู้แข็งแกร่งเฉกเช่นจี๋อั้นยังเหม่อลอยในชั่วพริบตา แม้ตะลึงงันเพียงไม่กี่ลมหายใจ ทว่าตอนที่ได้สติกลับมา สองแขนเทวรูปหมานก็เข้ามาใกล้เขาแล้ว นี่ยังไม่ใช่จุดสำคัญ จุดสำคัญคือร่างของจู๋จิ่วอินตอนนี้ไม่ได้อยู่ตรงหน้าเขาแต่อยู่ด้านหลัง มันตรงเข้าไปหาตี้เทียนชุดคลุมทองที่มีสีหน้าสับสนและตกอยู่ในสภาพย่ำแย่

จี๋อั้นหรี่ตาลง เขายกมือขวาตบตัวเองอย่างไม่ลังเล จะให้ร่างแยกตี้เทียนตายไม่ได้ อย่างน้อยก็ไม่ควรตายด้วยน้ำมือซูหมิง

ด้วยระดับพลังอย่างเขาจึงมองออกแต่เนิ่นๆ แล้วว่าซูหมิงมีบางอย่างผิดปกติไป ในตัวอีกฝ่ายมีความยึดมั่นอันแรงกล้าอยู่ ความยึดมั่นนี้คือต้องสังหารตี้เทียนกับร่างแยกตี้เทียนทั้งหมดให้ได้ ความยึดมั่นนี้กระตุ้นอีกฝ่ายอย่างรุนแรง ทำให้เขาสูบพลังฟ้าดินและเพิ่มพลังขึ้นไป

จี๋อั้นรู้ดีว่าหากตี้เทียนชุดคลุมทองถูกซูหมิงสังหาร ก็เกรงว่าซูหมิงคงจะมีสภาพอารมณ์พร้อมบุกทะลวงขั้นวิญญาณหมานตอนปลายทันที กระทั่งมีความเป็นไปได้สูงมากที่จะก้าวเข้าสู่ขั้นวิญญาณหมานตอนปลาย

ยามนี้หลังจากตบมือขวาบนตัวแล้ว ร่างจี๋อั้นพลันบิดเบี้ยวเหมือนจะแบ่งร่าง จากนั้นมีร่างซ้อนทับออกมาจากด้านหลัง ประหนึ่งแบ่งออกเป็นหนึ่งร่างแยก ทว่าร่างแยกเพิ่งเผยออกมา ซูหมิงในร่างจู๋จิ่วอินก็หันกลับมามองจี๋อั้นแล้วร้องคำรามใส่ เสียงคำรามนี้คือเสียงคำรามของจู๋จิ่วอิน และก็เป็นเสียงคำรามแห่งเทพหมานของซูหมิง!

เสียงคำรามแฝงไว้ด้วยความเข้าใจในเก้าแปรสิบเปลี่ยนเสียงรวมเป็นหนึ่งในอภินิหารของหงหลัว เสียงรวมเป็นหนึ่งนี้เหมือนกับเอ่ยคำบัญชา เหมือนเสียงคำรามรวมเข้าด้วยกันทำให้ฟ้าดินถอดสี เสียงคำรามดังสนั่นหวั่นไหว จี๋อั้นถึงกับหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง นอกจากนี้ยังมีดวงตาดวงหนึ่งลอยมาจากทางซูหมิง ดวงตาขยายตัวอยู่กลางอากาศ สร้างรูปเป็นดวงตาสำเร็จโทษที่มีพลังผนึกอยู่ภายใน!

เสียงคำราม ผนึก ดูดวิญญาณ สองแขนเทวรูปหมาน รวมถึงก้าวแห่งเทพหมาน ทุกอย่างเหล่านี้ใช้เพื่อเป้าหมายเดียวคือปิดล้อมจี๋อั้นเอาไว้!

ตอนนี้เขาทำสำเร็จแล้ว

ช่วงที่จี๋อั้นถูกปิดล้อม จู๋จิ่วอินจากร่างซูหมิงพลันอ้าปากกว้างด้วยความบ้าคลั่ง มีทั้งจิตสังหารและความแค้น ก่อนสูบกินไปยังตี้เทียนผู้มีสีหน้าสับสน

ท้องนภาเลือนราง ตี้เทียนสิ้นชีพลง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version