Skip to content

สู่วิถีอสุรา 673

ตอนที่ 673 คนในโลงศพ

ยามนี้ฟ้าดินไม่มีแสงสว่าง ความมืดเข้ามาแทนทุกสิ่ง จนเมื่อแสงสว่างกลับมาอีกครั้งและความมืดค่อยๆ เลือนหายไป ผู้ฝึกฌานหลายหมื่นคนที่ถอยไปอยู่ไกลๆ ในโลกของพวกเขาไม่มีจู๋จิ่วอิน และก็ไม่มี….ตี้เทียนชุดคลุมทอง

ตรงกลางอากาศมีเพียงซูหมิงผู้เหนื่อยล้า ทว่านัยน์ตากลับเปล่งประกายเด่นชัด

แม้วิชาสิบแปรเปลี่ยนจะทรงพลัง อีกทั้งเขายังใช้ได้นาน แต่ทว่า…งูน้อยกลับรับการเปลี่ยนหลังผสานรวมกับจิตสัมผัสเขาไม่ไหว

ฉะนั้นหลังจากกลืนตี้เทียนไปแล้ว ซูหมิงจึงยกเลิกร่างสิบแปรเปลี่ยน เขายืนอยู่กลางอากาศ ชั่ววินาทีที่โดยรอบเงียบงัน เขาเงยหน้าร้องลั่นด้วยความอัดอั้นมาไม่รู้กี่ปี

ร่างแยกตี้เทียนตนแรกที่มายืนอยู่ตรงหน้าเขาประดุจเทพเจ้า ดับดิ้น!

ร่างแยกเสื้อคลุมม่วงที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งและทำให้เขาเกือบตายบนทะเลมรณะ ดับสูญ!

ร่างแยกที่แกร่งที่สุดในสามร่างแยก เผาร่างตัวเองเพื่อใช้วิชาตะวันขึ้นนภาซึ่งมีพลังเหนือกว่าอีกสองร่างแยก ร่างแยกตี้เทียนชุดคลุมทอง…ถูกเขมือบ!

ยอดเขาที่กดทับซูหมิงมาหลายปี ขณะนี้พังทลายลงแล้ว ความรู้สึกถึงอิสระปรากฏขึ้นในใจ ทว่าเขาเข้าใจว่ามันยังไม่จบ ร่างแยกตี้เทียนมีทั้งหมดสี่คน ยังเหลือคนสุดท้ายอยู่

เขาร้องตะโกนเหมือนได้ระบาย ระเบิดความอัดอั้นในใจตน ระเบิดความแค้นต่อตี้เทียนออกไป ยามนี้เสียงตะโกนดังกึกก้องรอบๆ เข้าถึงหูเผ่าเซียนทุกคน สั่นสะท้านไปถึงจิตใจ

จี๋อั้นมีสีหน้าทะมึนอย่างยิ่ง เขาเห็นซูหมิงเขมือบตี้เทียนชุดคลุมทองไป แต่กลับขวางไว้ไม่ได้ อีกทั้งซูหมิงในตอนนี้กลิ่นอายพลังยังเพิ่มขึ้นแบบไร้ขีดจำกัด ก่อนจะระเบิดคลื่นพลังที่แกร่งยิ่งกว่าเดิมตามการเพิ่มขึ้นของกลิ่นอายพลัง

เวลาแนวโน้มที่ซูหมิงรู้สึกว่าจะทะลวงขั้นวิญญาณหมานตอนกลางชัดเจนถึงขีดสุด เขารู้สึกว่าการบุกทะลวงสู่ขั้นวิญญาณหมานตอนปลายอยู่ระหว่างความคิดเพียงชั่ววูบที่ตนยังไม่แน่ใจ

เขาก้มหน้าเพ่งมองโลงศพไม้ที่ตั้งอยู่บนแผ่นดิน และรอบๆ ไม่มีผู้ฝึกฌานคนใดเลย

แทบเป็นช่วงที่เขามองโลงศพไม้ ก็มีเสียงอึกทึกดังมาจากในนั้น ประหนึ่งว่าข้างในมีกำปั้นกำลังทุบโลงศพไม้ ทำให้ฝาโลงแตกหักเล็กน้อย

ตึง ตึง ตึง

เสียงนั้นดังอย่างต่อเนื่อง ฝาโลงก็แตกหักเยอะขึ้นเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน ระลอกคลื่นที่มีพลังเหนือกว่าตี้เทียนชุดคลุมทองและเทียบเคียงกับจี๋อั้นแผ่กระจายมาจากโลงศพไม้อย่างช้าๆ

‘ดูจากสีหน้าและความหมายแฝงในคำพูดตี้เทียนก่อนหน้านี้แล้ว เดิมทีร่างแยกมีแค่สาม ร่างสี่นี้เพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่บนแดนหมาน…’ นัยน์ตาซูหมิงฉายแววซับซ้อน เขานึกถึงตำแหน่งของโลงศพไม้ นึกถึง…วิญญาณนักรบแห่งเชมันเกือบร้อยคนของศิษย์พี่ใหญ่จากสำนักเต๋าเทียนหลัน

อีกทั้ง…ยังรู้สึกถึงความคุ้นเคยน้อยๆ จากกลิ่นอายพลังที่แผ่มาจากโลงศพ

ความคุ้นเคยนี้ทำให้ซูหมิงใจเต้น ทำให้ความฮึกเหิมที่สังหารร่างแยกตี้เทียนได้…..หายไป

“เป็นท่านเองหรือ…” ซูหมิงหลับตา จากหัวใจเต้นกลายเป็นความเศร้าโศก กลายเป็นความเจ็บปวดหัวใจ ความคุ้นเคยนี้เขาจะลืมได้อย่างไร ความคุ้นเคยนี้…..มาจากยอดเขาลำดับเก้า…

เหมือนรู้สึกถึงคลื่นอารมณ์ของซูหมิง จี๋อั้นจึงไม่สนใจวิชาซ่อนดวงตาสำเร็จโทษอีก เขาหรี่ตามองซูหมิง แล้วมองโลงศพไม้บนพื้นดิน นัยน์ตาฉายประกายแสงหม่น

เขารู้ว่าร่างแยกตี้เทียนมาเยือนเพียงสามคน เช่นนั้นคนที่สี่นี้ค่อนข้างน่าสนใจ

‘ความคิดควบคุมผ่านโลก ตี้เทียนหนอตี้เทียน เจ้าจ่ายไปมากเพื่อควบคุมซู่มิ่ง…หากร่างแยกนี้ตายอีกครั้ง เกรงว่าเจ้าคงบาดเจ็บสาหัส…

ร่างแยกนี้…ดูจากสีหน้าซูหมิงแล้ว หรือว่าจะรู้จักกัน…..น่าสนใจ น่าสนใจ!’ จี๋อั้นยกยิ้มมุมปาก รอยยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ

ผู้ฝึกฌานหลายหมื่นคนโดยรอบเริ่มมีคนเห็นถึงความผิดปกติของซูหมิงมากขึ้น ความเงียบและความเศร้าจากซูหมิงไม่อาจปิดบัง ความซับซ้อนในสายตาที่มองโลงศพไม้มีคนมองออกเยอะขึ้น

“คนในโลงศพไม้นั้นคือ…”

“นั่นเป็นของสำนักชุมนุมเซียน….หรือว่าจะเกี่ยวกับท่านตี้เทียน!”

เสียงสนทนาเริ่มดังก้องเบาๆ ท่ามกลางความเงียบ เพราะความผิดปกติของซูหมิง ทุกคนเลยมองไปยังโลงศพไม้

โครม โครม โครม…เสียงดังมาจากโลงศพไม้อย่างต่อเนื่อง ฝาโลงแตกหักมากขึ้นเรื่อยๆ ทุกเสียงโครมจะมีเศษไม้กระเด็น รอยร้าวขยายออก จนรอยร้าวตัดผ่านกันแล้ว อีกหนึ่งหมัดก็ทะลวงฝาโลงออกมาเผยต่อสายตาทุกคน

มันเป็นกำปั้นของบุรุษ

หลังจากทะลวงฝาโลงแล้ว หมัดนั้นก็ค่อยๆ ดึงกลับไป ตอนที่เกิดเสียงโครมดังอีกครั้ง โลงศพสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ครั้งนี้มีสองหมัดทะลวงออกมาจากฝาโลง

ซูหมิงมีสีหน้าเศร้าโศกมากขึ้นเรื่อยๆ เขาเหม่อมองกำปั้นในโลงศพ ความรู้สึกคุ้นเคยชัดเจนขึ้น ความรู้สึกนี้สร้างความปวดใจให้เขายิ่งขึ้นเรื่อยๆ

เสียงโครมรุนแรงพลันดังขึ้น ฝาโลงแตกกระจายออก หมอกจำนวนมากลอยมาจากในโลง และยังมีคลื่นพลังแก่กล้าแผ่กระจายออกมาโดยรอบ

จากนั้นกลิ่นอายชั่วร้ายม้วนตลบผืนฟ้า น้ำวนยักษ์รอบๆ โลงศพไม้พลันขยายออกเป็นวงกว้าง

ในน้ำวนนั้นมีร่างเงาสูงใหญ่อยู่คนหนึ่งค่อยๆ เดินออกมา ร่างเงานี้ถูกซ่อนอยู่ในหมอกจึงเห็นหน้าตาไม่ชัด ทว่าวินาทีที่ซูหมิงเห็นร่างเงานั้น แม้ในใจจะเกิดการคาดเดาไว้แล้ว แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนถูกยอดเขากดทับ ร่างโซเซถอยหลังไป ดวงตาแดงก่ำ สีหน้าเศร้าโศกและแทบจะคลุ้มคลั่ง

ยามนี้ความแค้นต่อตี้เทียนรุนแรงกว่าแต่ก่อน มากเกินกว่าไม่อาจอยู่ร่วมโลกกันได้แล้ว

เขามองเข้าไปในหมอก ค่อยๆ เห็นร่างนั้นเดินออกมาอย่างชัดเจน ซูหมิง…..หลั่งน้ำตา

เขาเป็นคนหลั่งน้ำตาน้อยมาก กระทั่งกล่าวได้ว่านอกจากเคยร้องไห้อย่างเงียบๆ บนแดนอรุณใต้แปลกตาตอนออกจากภูเขาทมิฬแล้ว เขาก็ไม่เคยหลั่งน้ำตาอีกเลย

เพราะท่านปู่เคยบอกว่าลูกผู้ชายหลั่งเลือดได้ ทว่าห้ามหลั่งน้ำตา นี่คือคำพูดอ่อนโยนจากท่านปู่ในตอนที่เขายังเยาว์วัยมาก

เขายังจำได้ตลอด

ทว่าวันนี้ตอนที่เห็นร่างเงานั้น ซูหมิงน้ำตารินไหล เพียงแต่น้ำตานี้ไหลอยู่ในใจ ไม่ได้อยู่บนใบหน้า จึงไม่มีใครเห็นมัน

“ศิษย์พี่ใหญ่…..” ซูหมิงมองร่างเงาชัดเจน ทุกอย่างในโลกดวงตาล้วนหายไป เหลือเพียงร่างเงาสูงใหญ่ที่เงยหน้ามองตนยืนอยู่บนพื้นดิน

เขาเปลือยกายท่อนบน เผยร่างกายกำยำใหญ่ บนตัวมีภาพสัญลักษณ์อักขระซับซ้อนยิ่ง ปกคลุมผิวหนังที่เผยอยู่ไปมากกว่าครึ่ง

สีผิวเขาเป็นสีม่วง

ด้านบนมีรอยแผลเป็นจำนวนมาก แม้รอยแผลเหล่านี้จะสมานกันแล้ว แต่มีไม่น้อยที่ทะลวงเข้าไปในร่างกาย และต่อให้สมานแล้วก็มองออกว่ามันเพิ่งเกิดมาไม่กี่ปีมานี้ ไม่เหมือนแผลที่อยู่มานาน

รอยแผลเป็นทั้งตัว ทำให้ซูหมิงเหมือนเห็นความบ้าคลั่งและไม่สนสิ่งใดตอนศิษย์พี่ใหญ่กำลังตามหาอาจารย์บนแผ่นดินรกร้างบูรพา ตามหาศิษย์น้องของเขา และตามหาคนยอดเขาลำดับเก้า

ศิษย์พี่ใหญ่เดินเท้าเปล่า ยืนอยู่บนดิน ร่างกายเขายืนตรงยิ่ง ไม่มีโค้งงอแม้แต่น้อย เหมือนเป็นตัวแทนจิตใจแน่วแน่ของเขา

เขาไม่มีเส้นผมแล้ว แต่บนศีรษะมีเข็มเหล็กปักอยู่เก้าเล่ม…..

ใบหน้าเขาไม่ใช่อย่างในความทรงจำซูหมิงอีก เขาดูผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ทั้งยังมีรอยแผลเป็นกากบาทเชื่อมระหว่างหูสองข้างกับระหว่างคิ้ว

เห็นได้ว่านี่ไม่ใช่แผลจากการต่อสู้ แต่ถูกคนเปิดออก มิหนำซ้ำยังไม่รู้ว่าใช้วิธีการอะไรสมานแผล ถึงมีกลิ่นอายสีม่วงออกมาจากรอยแผลเป็น และเหมือนจะรวมเข้าด้วยกันกับอักขระบนตัวศิษย์พี่ใหญ่ด้วย

นี่ทำให้ศิษย์พี่ใหญ่ในตอนนี้ไม่เหมือนศิษย์พี่ใหญ่ผู้อบอุ่นในความทรงจำอีก

แขนขวาศิษย์พี่ใหญ่มีตะขอยักษ์เสียบเข้าไป เพราะมือขวาเขาหายไปแล้ว ตะขอนี้จึงเป็นมือแทน

มือซ้ายยังสมบูรณ์ดี แต่ก็มีเส้นเลือดดำปูดนูน และยังมีอะไรชอนไชอยู่ ราวกับว่าในนั้นมีบางสิ่งพิลึก

ซูหมิงมองศิษย์พี่ใหญ่ด้วยความเศร้าเสียใจ เขาร้องคำรามเสียงแหลมสะเทือนฟ้าดิน นัยน์ตาค่อยๆ มีโลหิตไหล เขาหลั่งน้ำตาไม่ได้ แต่หลั่งโลหิตได้!

ซูหมิงรู้ว่าศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนพูดไม่เก่ง กระทั่งยังเป็นคนเงียบๆ เขามักจะห่วงใยเงียบๆ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ฉะนั้นจึงอาจจะไม่เห็น อาจไม่รู้สึกว่ามันลึกซึ้ง ทว่าความห่วงใยนี้มีอยู่ทุกที่

เหมือนกับตอนซูหมิงทำจิตใจสงบบนยอดเขาลำดับเก้าช่วงมาแรกๆ จื่อเชอมาหา แม้ศิษย์พี่รองเป็นคนลงมือ ทว่าสายตาของศิษย์พี่ใหญ่ตอนนั้นจับจ้องจื่อเชอ เขาไม่มีทางยอมให้คนอื่นมารังแกศิษย์น้องของตนอย่างแน่นอน จนกระทั่งศิษย์พี่รองลงมือแล้วเขาถึงละสายตากลับไป

เหมือนกับตอนสู้ ณ เผ่าแดนภูต ศิษย์พี่ใหญ่ส่งวิญญาณเชมันของเขามาเพราะไม่สบายใจ และยังสั่งไว้ว่าแม้ต้องตายก็ต้องปกป้องศิษย์น้องของเขาให้ปลอดภัย

ยอดเขาลำดับเก้าเหมือนบ้าน ศิษย์พี่ใหญ่….ก็เหมือนพี่ชาย

“ศิษย์พี่ใหญ่…” ซูหมิงตัวสั่น พลันปะทุพลังในร่างกายอย่างบ้าคลั่ง

‘ศิษย์น้องเล็ก เจ้าเพิ่งขึ้นเข้ามา น่าเสียดายศิษย์พี่ยังออกฌานไม่ได้ ต้องรออีกหลายปี เอาแบบนี้ ข้าจะมอบสิ่งนี้ให้เจ้าเอาไว้ป้องกันตัว’ นี่คือครั้งแรกที่ซูหมิงพบศิษย์พี่ใหญ่ เขาไม่มีวันลืมสายตาอบอุ่นและคำพูดอ่อนโยนนั้น

‘ศิษย์น้องเล็ก…..เผ่าเชมันอันตรายยิ่งนัก ศิษย์พี่จะมอบทาสตนนี้ให้เจ้า…นางมีนามว่าฝ่าจั้ง…’ นี่คือเสียงของศิษย์พี่ใหญ่ก่อนซูหมิงออกจากยอดเขาลำดับเก้าไปสนามรบเผ่าเชมัน ความห่วงใยในเสียงนั้น เขาจะลืมได้อย่างไร

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version