ตอนที่ 675 รูปปั้นจากราชวงศ์
‘เป็นข้าที่แกร่งไม่พอ หากข้าแกร่งกว่านี้ ตี้เทียนคงไม่กล้าทำแบบนี้!’
‘เป็นข้าเองที่ขั้นพลังไม่แกร่งพอจะเรียกว่าผู้แข็งแกร่ง มิเช่นนั้น ข้าคงตัดจิตสัมผัสระหว่างตี้เทียนกับศิษย์พี่ใหญ่ได้!’
‘ทุกอย่างเป็นเพราะข้า…อ่อนแอเกินไป!’
‘ข้าต้องแข็งแกร่ง ต้องแกร่งขึ้นเรื่อยๆ ต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่กุมชะตาชีวิตตัวเอง!’ ซูหมิงร้องตะโกนในใจ ดวงตามีเส้นเลือดเพิ่มเข้ามา กลิ่นอายพลังปะทุทั่วร่าง
นี่คือเสียงร้องคำรามต่อชะตาชีวิตและต่อตี้เทียน
ปรากฏการณ์วิญญาณหมานบนฟ้ายังไม่หายไป โชควาสนาของซูหมิงยังไม่จบสิ้น เขายังแกร่งได้มากกว่านี้อีก ทว่าต้องการแรงกระตุ้นจากการต่อสู้กับจี๋อั้น แรงกระตุ้นนี้ยังไม่มากพอ การกลืนตี้เทียนชุดคลุมทองทำให้แรงกระตุ้นนี้ทะยานถึงจุดสูงสุด บวกกับศิษย์พี่ใหญ่ปรากฏตัวขึ้น และการเลือกต่อโชคชะตา เขาจึงเข้าใจอะไรขึ้นมาก
ชีวิตคนเรามีบางเรื่องที่ควบคุมไม่ได้ อย่างเช่นศิษย์พี่ใหญ่ อย่างเช่นตน นี่…บางทีอาจเป็นโชคชะตา และพลังที่ใช้ทำลายโชคชะตานี้คือเราต้องคุมด้วยตัวเอง มีเพียงต้องแกร่งขึ้นเท่านั้น ทำให้ตนเป็นเจ้าปกครองทุกสิ่ง ถึงจะทำให้เรื่องเหล่านี้…ไม่เกิดขึ้นเป็นครั้งที่สอง!
นี่คือโชคชะตา
ซูหมิงตกอยู่ในความขมขื่น เขารู้ว่าตนยังเข้าใจคำว่าโชคชะตาได้ลึกซึ้งกว่านี้อีก เพียงแต่ราคาของความเข้าใจสูงเกินไป เขา…ไม่เอาเสียดีกว่า
วินาทีที่ซูหมิงระเบิดพลัง กลิ่นอายพลังวิญญาณหมานตอนกลางทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง สัญญาณขั้นวิญญาณหมานตอนปลายเผยออกมาอย่างชัดเจน ร่างเงาของศิษย์พี่ใหญ่ถูกพลังไร้รูปผลักออกไป จังหวะเดียวกันซูหมิงก็ยกมือขวาสะบัดไปบนฟ้า
“ข้าตระหนักรู้การทำจิตใจสงบบนยอดเขาลำดับเก้า จากนั้นก็ตระหนักรู้พลังแห่งสายลม…..ผสานรวมกับผลึกวายุกลายเป็นหมานวายุ!” ซูหมิงพึมพำเสียงเบา หลังสะบัดมือแล้วพลันเกิดเสียงดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง
เห็นเพียงสายรุ้งหนามากขึ้นเรื่อยๆ และกว้างไกลไร้ขอบเขตปกคลุมทั่วฟ้า ส่วนมวลอากาศบิดเบี้ยวบนฟ้าก็ทับซ้อนกันเป็นจีบ มองไปประหนึ่งถูกตัดทัศนวิสัย
ท่ามกลางเสียงโครมคราม มีเสียงอื้ออึงเหมือนมีคนร้องคำรามดังบนฟ้าเป็นครั้งแรก ราวกับว่าในนั้นมีใครกำลังพูดอะไรอยู่ ทว่าคำพูดนั้นกลับถูกฟ้าบิดเบี้ยวขวางเอาไว้เลยได้ยินไม่ชัด แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น นี่ก็เป็นเพียงการเริ่มต้นทะลวงสู่ขั้นวิญญาณหมานตอนปลาย แรงกดดันกับความพิลึกกลางฟ้าดินอยู่เหนือกว่าตอนทะลวงวิญญาณหมานตอนต้นกับตอนกลางก่อนหน้านี้
ลิขิตเอาไว้แล้วว่าขั้นวิญญาณหมานตอนปลายครั้งนี้ ความรู้สึกแรงกล้าจะไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อน!
ลิขิตเอาไว้แล้วว่าขั้นวิญญาณหมานตอนปลายครั้งนี้จะเป็นที่จับตามอง และเป็นแสงสว่างแห่งความรุ่งโรจน์ที่พร่างพราวที่สุดในใจของทุกคนตอนนี้!
“ข้าซูหมิง ขอรวมกลุ่มหมานวายุแห่งเผ่าหมาน! ปรากฏ!” เสียงซูหมิงกังวานไปกลางฟ้าดิน รอบตัวพลันปรากฏพายุคลั่งไร้ขีดจำกัด จากนั้นพายุคลั่งทะยานตรงขึ้นไปบนสวรรค์เก้าชั้น
ฟ้าดินสั่นสะเทือน พริบตาเดียวก็เป็นที่จับตามองไปทั่วโลก ไกลออกไปนอกแผ่นดินใหญ่รกร้างบูรพาจนไปถึงบนทะเลมรณะ ยามนี้คลื่นทะเลไหลเชี่ยว เหมือนมีมังกรพิโรธนับไม่ถ้วนกำลังคำรามอยู่กลางทะเล มันม้วนขึ้นเป็นคลื่นยักษ์สูง ประหนึ่งว่าทั้งทะเลมรณะกำลังเดือดพล่าน
ณ ส่วนที่ลึกสุดของทะเลมรณะ ตรงจุดที่น้ำทะเลถูกขวางไม่ให้เข้าไป มีจุดหนึ่งที่แทบไม่มีใครรู้ เมื่อหลายปีก่อนเคยเป็นแผ่นดินใหญ่ ทว่าตอนนี้…ที่นี่กลายเป็นโลกน้ำแข็ง
เมืองแห่งหนึ่งถูกแช่แข็งอยู่ในส่วนลึกของทะเลมรณะ แผ่กระจายไอหนาวเยือกออกมา ยิ่งเข้าใกล้แดนน้ำแข็งในทะเลมรณะนี้เท่าไร ก็จะยิ่งหนาวเหน็บมากเท่านั้น
เมืองน้ำแข็งมีสิ่งก่อสร้างอยู่นับไม่ถ้วน มีวิหารใหญ่เหลือคณานับ เวลานี้ท่ามกลางความเงียบสงัดจะเห็นว่าตรงกลางเมืองมีแท่นบวงสรวงตั้งสูงตระหง่านอยู่ บนแท่นบวงสรวงมีชายชราถูกแช่แข็งนั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง ตรงหน้าเขาเป็นกระดูกสัตว์ทรงยาวหนึ่งชิ้น
ที่นี่ก็คือ…ราชวังต้าอวี๋!
ท่ามกลางความเงียบสงัดตั้งแต่ยุคโบราณมา เหมือนว่าจะมีซูหมิงเพียงคนเดียวที่เคยมาที่นี่โดยบังเอิญ นอกจากเขาแล้วก็ไม่มีใครมารบกวนพระราชวังต้าอวี๋ซึ่งกำลังหลับใหลอีก
ทว่าตอนนี้ ครั้นซูหมิงเอ่ยคำเรียกหมานวายุบนแผ่นดินรกร้างบูรพา ตรงส่วนลึกของทะเลมรณะอันเงียบสงบ ภายในเมืองจักรพรรดิต้าอวี๋แช่แข็ง ภายในวิหารใหญ่สูงตระหง่านทางขวาของพระราชวังต้าอวี๋พลันมีกลิ่นอายพลังแก่กล้าปล่อยออกมา
การปรากฏขึ้นของกลิ่นอายพลังนี้ทำลายความสงบตั้งแต่ยุคบรรพกาลของที่นี่ หลังกลิ่นอายพลังปะทุขึ้นก็มีเสียงระเบิดดังกึกก้องอยู่ในเมืองจักรพรรดิต้าอวี๋ วิหารใหญ่ทั้งเมืองถล่มลงในชั่วพริบตา กลายเป็นเศษกระเด็นไปรอบๆ ก่อนเผยให้เห็นเป็นรูปปั้นยักษ์ขนาดหลายสิบจั้งรูปหนึ่งข้างใน
รูปปั้นดูเหมือนปกติ ทว่ารอบๆ ตัวมันกลับมีสายลมอ่อนอยู่นับไม่ถ้วน สายลมนั้นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งเหนี่ยวนำทั้งทะเลมรณะ สร้างเป็นน้ำวนยักษ์บนผิวทะเล
คล้อยหลังน้ำวนหมุนโคจรพร้อมกับส่งเสียงอึกทึก รูปปั้นสั่นสะท้านก่อนลอยขึ้นด้านบน จากนั้นก็ค่อยๆ หายไปกลางน้ำวนบนทะเลมรณะ
แทบเป็นช่วงที่รูปปั้นหายไป บนแผ่นดินรกร้างบูรพา ซูหมิงกำลังยกมือขวาชี้ขึ้นฟ้า ตอนเพิ่งกล่าวจบฟ้าดินพลันส่งเสียงดังสนั่น จากนั้นบนฟ้ามีเศษสายรุ้งสายหนึ่งตรงเข้ามาจากที่ห่างไกลด้วยความเร็วที่ไม่อาจบรรยาย กระทั่งความเร็วยังเหนือกว่าซูหมิงไปไกลหลายขุม
เสียงสายลมโหมพัดมากพอจะฉีกทุกสิ่ง รวมถึงฟ้าดินและคนจำนวนมากกลางเผ่าเซียนหลายหมื่น ทุกสิ่งเหล่านี้ล้วนพังทลายท่ามกลางเสียงสายลมแหลมคม
ฉับพลันนั้นปรากฏรูปปั้นยักษ์รูปหนึ่งเหนือซูหมิง!
รูปปั้นนี้คือรูปปั้นที่ทำลายพระราชวังแล้วเผยออกมาใต้ทะเลมรณะเมื่อครู่! พลังสายลมก็ปะทุมาจากรูปปั้นนี้ แล้วเหนี่ยวนำสายลมทั้งหมดบนแดนหมานให้รวมเข้ามาพร้อมกัน
ฟ้าดินเปลี่ยนสี เมฆลมม้วนตลบ ปรากฏการณ์น่าตะลึงนี้ทำให้โลกเงียบสงัด!
รูปปั้นลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ
แต่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด ตอนทุกคนมองไปกลับมีความรู้สึกว่ามันมีอยู่จริงๆ หรือไม่ แม้มันไม่ได้ฟื้นคืนชีพ แต่กลับเหมือนกำลังคารวะซูหมิงอยู่
ชั่วขณะที่ในใจทุกคนเกิดความรู้สึกนี้ พวกเขาพลันเบิกตากว้างและเห็นว่ารูปปั้น…..ค่อยๆ ยกสองแขนขึ้นประสานมือคารวะซูหมิง จากนั้น…ก็คุกเข่าลง
ความรู้สึกที่สมบูรณ์แบบนั้น ราวกับว่าเดิมทีรูปปั้นควรจะทำเช่นนี้อยู่แล้ว เหมือนกับมันถูกสร้างมาในท่าทางเช่นนี้อยู่แล้ว!
“สายฟ้า ตอนนั้นข้าเคยใช้เล่ห์เหลี่ยมหลอกเจ้าจนรับได้ผลึกหมานอัสนีครึ่งหนึ่งมา จากนั้นก็ผสานรวมมันในร่างกาย….ทำให้ตัวข้าเป็นหมานอัสนี…..ตอนนี้ข้าซูหมิงไม่ต้องการอีกครึ่งที่เหลือ ขอใช้ผลึกครึ่งก้อนนี้อัญเชิญหมานอัสนีแห่งเผ่าหมาน…จงปรากฏกาย!”
ซูหมิงสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นสายฟ้านับไม่ถ้วนระเบิดมาจากในร่างกายก่อนกระจายออกเป็นวงกว้าง กลายเป็นสายฟ้าลักษณะโค้งไหลเวียนอยู่บนฟ้า
ณ เมืองจักรพรรดิต้าอวี๋แช่แข็งตรงส่วนลึกในทะเลมรณะ วิหารใหญ่อีกด้านหนึ่งของพระราชวังส่งเสียงโครมหลังถูกสายฟ้าจำนวนมากฟาดจนพังทลายลง เกิดเป็นเสียงฟ้าผ่า ส่งผลให้ทั้งทะเลมรณะระเบิดปะทุ
มิหนำซ้ำยังมีสายฟ้านับไม่ถ้วนลุกลามอย่างบ้าคลั่งในทะเลมรณะ สัตว์ร้ายทุกตัวในทะเลต่างร้องคำรามเสียงเแหลมแล้วหลบกันจ้าละหวั่น
ขณะเดียวกัน หลังจากวิหารใหญ่พังลงก็ปรากฏรูปปั้นที่มีแสงสายฟ้าไหลเวียนขึ้น ต่อมามันก็ข้ามผ่านทะเลมรณะท่ามกลางเสียงฟ้าผ่า ทะยานขึ้นมาอยู่บนผิวทะเล
ร่างมันขยับวูบไหว กลายเป็นสายฟ้าทำลายล้างมวลอากาศเส้นหนึ่งตรงไปข้างหน้า
บนแผ่นดินรกร้างบูรพา ชื่อเหลยเทียนกำลังพาชาวเผ่าห้อเหยียดไป ทว่าทันใดนั้นเขากลับหน้าเปลี่ยนสี สายฟ้าในร่างกายปะทุขึ้นโดยไร้การควบคุม มันกระจายไปรอบๆ ส่งเสียงสายฟ้าคล้ายคำราม คล้ายฮึกเหิมและสวามิภักดิ์
เหตุการณ์นี้ทำให้ชื่อเหลยเทียนอึ้งงันไปครู่หนึ่ง แล้วมองไปทางทะเลมรณะด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ
“ข้ารู้สึกถึงเทวรูปหมานอัสนี!”
ในเวลาเดียวกัน ซูหมิงสะบัดแขนเสื้อ เพิ่งเอ่ยคำว่าหมานอัสนีจบ ก็พลันเกิดสายฟ้าขึ้นกลางสายลมในทันใด ทันทีที่สายฟ้าเปลี่ยนผืนฟ้าให้เป็นบ่อสายฟ้า จึงมีเสียงดังเลื่อนลั่นจากไกลๆ เข้ามาใกล้ในพริบตา นั่นคือ…รูปปั้นยักษ์ที่ปล่อยสายฟ้าไร้ขีดจำกัด
รูปปั้นนี้ยืนอยู่เหนือซูหมิง ตรงข้ามกับรูปปั้นหมานวายุ เหมือนกับกำลังมองเขาแล้วค่อยๆ ยกสองมือคารวะเหมือนกับรูปปั้นหมานอัสนี ก่อนจะคุกเข่าให้กับซูหมิง
“ในโลกนี้เดิมทีไม่มีหมานเพลิง…หมานเพลิงคือร่างแปลงของเทพหมานรุ่นสาม และคนในโลกใบนี้ขนานนามให้…..ตอนข้าเยาว์วัยได้รับสืบทอดวิชาหมานเพลิง หมานชนิดนี้สูญสิ้นตามรุ่นสามไปแล้ว เช่นนั้นตอนนี้….ข้าจะสร้างหมานเพลิงขึ้นใหม่ด้วยมือข้าเอง!” ซูหมิงหลับตาลง ตอนที่ลืมตาอีกครั้ง นัยน์ตามีเปลวเพลิงลุกโชติช่วง จากนั้นอีกด้านหนึ่งของหมานอัสนีและหมานวายุบนฟ้าก็ปรากฏเปลวเพลิงขึ้น
“เหอเฟิงสิ้นชีพแล้ว ทว่าดวงจิตเขายังอยู่ในโลกนี้ ใช้ดวงจิตเขาเป็นวิญญาณ ใช้เปลวเพลิงแห่งเผ่าหมานเป็นร่าง ใช้ดวงชะตาเผ่าหมานเป็นดวงจิต…หมานเพลิง ปรากฏกาย!” ซูหมิงยกมือขวาชี้ไปยังเปลวเพลิงที่ปรากฏบนฟ้า
ฉับพลันนั้นเปลวเพลิงระเบิดปะทุออก ทั้งแผ่นดินหมานลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิงที่ไร้รูป ราวกับว่าทั้งแผ่นดินหมานพากันขานรับ ในเปลวเพลิงที่ซูหมิงชี้นิ้วไปปรากฏร่างมายามีปีกตนหนึ่ง รูปร่างของมันคล้ายกับค้างคาวจันทรา แต่ที่มากกว่าคือ…มันเป็นเหอเฟิง
เพียงแต่ว่าเหอเฟิงสิ้นชีพไปแล้ว สิ่งที่ปรากฏอยู่ตอนนี้คือดวงจิตที่ถูกโลกนี้จดจำหลังจากสิ้นชีพลง เขาเหมือนภาพมายาหลอมรวมเข้ากับดวงชะตาเผ่าหมาน ก่อนรวมเป็นร่างเงาคนหนึ่งกลางเปลวเพลิง
มันออกมาเป็นรูปปั้นเหมือนกัน ทว่ากลับมีไฟลุกโชติช่วง ส่วนรูปลักษณ์คือเหอเฟิง หลังจากลืมตาและสบตาซูหมิง รูปปั้นหมานเพลิงก็ค่อยๆ ยกสองมือประสานคารวะแล้วคุกเข่าลง
หมานเพลิง หมานวายุ หมานอัสนี สามรูปปั้นใหญ่รวมเป็นลักษณะสามมุม ล้วนคุกเข่าให้ซูหมิงตรงใจกลาง เหมือนว่าเขาคือราชา คือจักรพรรดิ คือเทพหมานที่ได้รับการยอมรับของพวกเขา!
