Skip to content

สู่วิถีอสุรา 676

ตอนที่ 676 วิญญาณหมานตอนปลาย

ซูหมิงในยามนี้อยู่บนอากาศตรงกลางสามเทวรูปเผ่าหมาน เขากำลังมองฟ้า รอบตัวมีสายรุ้งพร่างพราวมากมาย ราวกับกำลังคารวะราชาแห่งเผ่าหมาน

ม่านฟ้าบิดเบี้ยว เพียงหนึ่งลมหายใจก็กลายเป็นทิวทัศน์เบื้องหลัง กลายเป็นตัวเสริมภาพนี้ให้เด่น ทำให้โลกใบนี้กลายเป็นหัวใจสำคัญบนตัวซูหมิง

พลังซูหมิงปะทุขึ้นหลังจากเทวรูปหมานสามรูปคารวะ คลื่นลมไร้รูปหมุนวนรอบๆ ตัว เส้นผมเขาจึงเคลื่อนไหวเองแม้ไร้ลม อาภรณ์สะบัดดังพึ่บพั่บ และในตอนนี้กลิ่นอายจากขั้นพลังก็ยังปะทุออกมาสุดขีด

ขั้นพลังทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพิ่มจากวิญญาณหมานตอนกลางขึ้นมาไม่หยุด พริบตาเดียวก็ถึงจุดสูงสุดของวิญญาณหมานตอนกลาง ห่างจากตอนปลายเพียงครึ่งก้าว ราวกับเพียงยกเท้าก็ข้ามผ่านไปได้เลย

ทว่าครึ่งก้าวนี้กลับไม่ง่ายขนาดนั้น ภายใต้ขั้นพลังและกลิ่นอายพลังที่กำลังทะยานขึ้นของซูหมิง สุดท้ายกลับยากจะข้ามผ่านหนึ่งก้าวตรงจุดสูงสุดวิญญาณหมานตอนกลาง และกลายเป็นผู้แข็งแกร่งขั้นวิญญาณหมานตอนปลายอย่างแท้จริง

เหมือนกับว่ามีเยื่อหนึ่งชั้นอยู่ภายใน จึงไม่อาจทะลวงผ่าน

ส่วนผนึกความทรงจำในความคิดเขา เวลานี้ด้วยการเพิ่มขึ้นของขั้นพลังจึงคลายออกเป็นวงกว้าง แต่ยิ่งผนึกคลายมากเท่าไร ความเจ็บปวดที่ส่งมาก็จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แต่ก็มักจะมีพลังลึกลับส่งผ่านอากาศมา ทำให้ผนึกในความคิดไม่อาจคลายออกอย่างแท้จริง และยังเพิ่มพลังเสริมความแกร่งของผนึก ประดุจว่าไม่มีทางยอมให้ซูหมิงทำลายลงได้

พลังนี้เองคือเยื่อที่ขวางไม่ให้เขาก้าวสู่ขั้นวิญญาณหมานตอนปลาย ทำให้ไม่อาจปะทุพลังทั้งหมดเพื่อก้าวสู่วิญญาณหมาน

นัยน์ตาซูหมิงฉายแววเย็นชา เขายกมือขวาสะบัดไปบนฟ้า เสียงครึกโครมดังขึ้นทันใด ตอนที่รูปปั้นหมานเพลิง หมานอัสนี และหมานวายุต่างเงยหน้าขึ้นแล้วยืนขึ้นจากท่าคุกเข่า พวกเขาต่างขยับตัวไหววูบ ตรงเข้ามาหลอมรวมกันอยู่เหนือศีรษะซูหมิง

ซูหมิงใช้การผสานรวมนี้กับพลังฟ้าดินจากรอบๆ ม้วนเข้ามาเพื่อบุกทะลวงขั้นวิญญาณหมานตอนปลาย การทะลวงนี้กลายเป็นเสียงดังสนั่นหวั่นไหวภายในร่างกาย สั่นสะเทือนจิตใจเขา ทว่า…ยังขาดอะไรไปอีกเล็กน้อยจึงยังทะลวงไม่ผ่าน

“สายลม สายฝน ฟ้าผ่า และสายฟ้า อักขระสี่ในแปดของสำนักซ่อนมังกร ฟ้าผ่าและสายฟ้าในนั้นผสานรวมกับหมานอัสนี สายลมก็มีหมานของมันอยู่ มีเพียงสายฝนเท่านั้น…ด้วยดวงจิตของข้าซูหมิง ขอรวมสายฝนใต้ฟ้าในโลกใบนี้ให้กลายเป็นอักขระสายฝน หลอมรวมในเทวรูปหมานของข้า!” นัยน์ตาซูหมิงแวววาว ยกสองมือประสานสัญลักษณ์แล้วผลักออกไป เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นขึ้นโดยพลัน ประกายสายฟ้ากระจายอยู่รอบๆ และยังมีสายฝนจำนวนมากโผล่ขึ้นจากความว่างเปล่าแล้วม้วนลงสู่พื้นดิน

สายฝนไม่ได้มีอยู่เพียงตรงนี้ แต่มีอยู่ทั้งแผ่นดินรกร้างบูรพา ทั้งทะเลมรณะ ทั้งแผ่นดินหมาน ในชั่ววินาทีนี้…ทุกที่ล้วนเกิดฝนตก

สายฝนถาโถมลงมา เชื่อมต่อกันเป็นปึกแผ่น ตรงหน้าซูหมิงมีอักขระยันต์สายฝนยักษ์รวมขึ้นจากหยาดน้ำฝนนับไม่ถ้วน อักขระส่องแสงสว่างพร่างพราว ก่อนตรงไปยังจุดที่เทวรูปทั้งสามผสานรวมกัน แล้วหลอมรวมเข้าไปข้างในในพริบตา

หลังสายฝนหลอมรวมเข้าไปแล้ว ในกายซูหมิงก็ระเบิดพลังที่แกร่งยิ่งขึ้น ทว่าไม่ได้ทะลวงวิญญาณหมานในทันที เขาจ้องท้องฟ้าด้วยดวงตาวาววับ คล้ายกับสายตามองข้ามผ่านความว่างเปล่า ข้ามผ่านแดนมรณะหยินไปจนมองเห็นข้างนอก และเห็นต้นกำเนิดพลังที่คิดจะเสริมผนึกของตน

‘วิชาแห่งคำสาป ข้าเรียนรู้จากแหวนของจีฮูหยิน ตระหนักรู้จากสองดวงตาของจู๋จิ่วอิน และจากวิญญาณของข้าที่วัฏจักรในโลกอมตะลบไม่ได้!

จนกระทั่งข้าเข้าใจอย่างถ่องแท้…จากตุ๊กตาปมหญ้าในมือบิดาของเสี่ยวโฉ่วเอ๋อร์

วันนี้ข้าจะใช้วิชาคำสาปผสานรวมเข้าไปในเทวรูปหมาน ทำให้คนที่เสริมผนึกในความทรงจำต้องรับคำสาปจากข้าซูหมิง!’ จังหวะที่นัยน์ตาซูหมิงเปล่งแสงอ่อนจาง เขายกมือซ้ายขึ้น ฉับพลันนั้นมีหมอกดำปล่อยมาจากห้านิ้วมือแล้วกลายเป็นตุ๊กตาที่มีหมอกโอบล้อมตรงหน้า ตุ๊กตานี้คือภาพมายา ดูเหมือนก่อร่างขึ้นด้วยปมหญ้าและมองเห็นไม่ชัด แต่กลับมีกลิ่นอายพลังที่พิลึกอย่างยิ่งแผ่ออกมา

ตุ๊กตาหมอกราวมีวิญญาณ มันเงยหน้าคำรามเสียงเล็กแหลม แล้วตรงมายังสามเทวรูปที่หลอมรวมกับอักขระสายฝน เสี้ยววินาทีเดียวก็ซ้อนทับผสานเข้าไป

เวลานี้กลิ่นอายพลังทั้งตัวซูหมิงทะยานถึงจุดสูงสุดแล้ว นั่นคือการหลอมรวมกันของหมานเพลิง หมานอัสนี หมานวายุ อักขระสายฝน และยังมีคำสาปห้าชนิด จนเมื่อมันค่อยๆ รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน สายรุ้งบนฟ้าก็พังทลายลงไปมากกว่าครึ่งในเสี้ยววินาทีเดียว กลายเป็นจุดแสงผลึกนับไม่ถ้วนตรงมายังซูหมิง แล้วหล่อหลอมเข้าไปในจุดที่สามเทวรูปหมาน คำสาป และอักขระสายฝนซ้อนทับกัน

เสียงโครมครามกลายเป็นเสียงดังอื้ออึง มันกลบทุกเสียงของที่นี่ ทำให้เผ่าเซียนหลายหมื่นคนเกิดเสียงระเบิดดังในความคิด ถูกสั่นสะเทือนจนความคิดขาวโพลน…

สามเทวรูปหมานผสานเป็นหนึ่ง!

คำสาปกับสายฟ้ารวมกันและซ้อนทับกับสามเทวรูปหมานอย่างสมบูรณ์แบบ เผยออกมาเป็นร่างที่ยิ่งใหญ่กลางฟ้าดิน

มันเป็นเพียงลำตัวของร่างกาย ทว่าวินาทีที่ปรากฏ แรงกดดันจากภายในกลับมากพอจะสั่นสะเทือนฟ้าดิน ซูหมิงสะบัดแขนเสื้อ ลำตัวของร่างนั้นพลันระเบิดกระจายเป็นผุยผงตรงไปหาเขา เมื่อหลอมรวมกับร่างเขาแล้ว ซูหมิงก็เงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า ส่งเสียงลากยาวเขย่าโลก

เสียงเขาดังก้องกังวานไปไกลมาก ขั้นพลังเขาปะทุขึ้นในชั่ววินาทีนี้ เพิ่มขึ้นอย่างบ้าคลั่งจากขั้นวิญญาณหมานตอนกลาง ก่อนบุกทะลวงสู่ขั้นพลังที่เขาตอนอยู่ภูเขาทมิฬได้แต่เฝ้าใฝ่ฝัน

วิญญาณหมานตอนปลาย!

ผู้แข็งแกร่งขั้นวิญญาณหมานตอนปลาย แม้ทั้งเผ่าหมานจะมีมากกว่าขั้นสมบูรณ์อยู่เล็กน้อย แต่ไม่ว่าที่ใดก็เรียกได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งหนึ่งทิศ ต่อให้เป็นขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ก็ยังออกปากเชิญชวนด้วยตนเอง

คนที่มาถึงระดับนี้ได้ไม่ใช่ผู้อ่อนแออีกต่อไป เว้นแต่จะเจอคนที่เซ่นไหว้กระดูกทั้งตัวอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในเผ่าหมานและไม่อาจใช้หลักการทั่วไปมาคาดเดาได้อย่างซูหมิง มิเช่นนั้นแล้วก็จะเชิดหน้าได้อย่างทระนง

แทบทันทีที่ซูหมิงข้ามสู่วิญญาณหมานตอนปลาย พลังที่ส่งมาเสริมผนึกในความคิดถูกแรงระเบิดจากขั้นพลังของเขาฉีกออกเป็นวงกว้าง เกิดเป็นการต่อต้านอย่างซึ่งหน้า

ภายใต้การต่อต้าน มีเสียงโครมดังในความคิดซูหมิง เขารู้สึกว่าแรงบีบอัดจากอีกฝ่ายขยายใหญ่ขึ้น แต่แม้จะใหญ่ก็ไม่บริสุทธิ์เหมือนก่อนหน้านี้ ราวกับว่ายิ่งส่งพลังมามากเท่าไร มันก็จะยิ่งเจือจางมากเท่านั้น

กระทั่งยามนี้เขาข้ามสู่ขั้นวิญญาณหมานตอนปลายแล้ว จึงสังเกตเห็นร่องรอยเส้นหนึ่ง มันคือเส้นเบาะแสไร้รูปของพลังที่ส่งมาจากอีกฝ่าย

เวลานี้เบาะแสนั้นประหนึ่งสลักอยู่ในจิตวิญญาณของซูหมิง สร้างเป็นภาพเลือนรางซึ่งรวมขึ้นจากจุดเชื่อมต่อหกจุด และผนึกนี้ก็อยู่ในภาพที่หกจุดเชื่อมต่อกันนั้นเอง

นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหมิงเห็นเบาะแสกับจุดหกจุดในความคิดตน

เขาแค่นเสียงหึเย็นชาทีหนึ่งแล้วไม่สนใจพลังบีบอัดที่ส่งมาอีก แต่ทำตรงกันข้าม เขาแผ่ขยายจิตสัมผัสเข้าไปในภาพที่เชื่อมกันจากจุดหกจุด อยากจะไปตามเส้นทางการมาเยือนของอีกฝ่าย เพื่อดูว่า…คนที่ส่งพลังบีบคั้นมานั้นเป็นใคร

แทบเป็นช่วงที่ซูหมิงใช้จิตสัมผัสเชื่อมกับจุดหกจุด ก็มีเสียงโครมดังในความคิด จิตสัมผัสเลือนรางในทันใด เหมือนเห็นรางๆ ว่าหมอกมรณะหยินจำนวนมากม้วนตลบ และตัวเขากำลังเดินอยู่บนเส้นทาง มุ่งหน้าไปสู่ความว่างเปล่า

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าไร ตอนที่ทุกอย่างกลับมาชัดเจน เขาเห็นฟ้ากระจ่างดาวนั้นอีกครั้ง และยังเห็นน้ำวนที่บ่งบอกถึงแดนมรณะหยินด้านล่าง รวมถึงดวงดาวยักษ์เก้าดวงที่โอบล้อมอยู่รอบน้ำวน

เขายังเห็นชัดอีกว่ามีเส้นเส้นหนึ่งยืดยาวมาจากฟ้ากระจ่างดาวเข้าไปในน้ำวน จิตสำนึกเขาเลยไปตามเส้นนั้น

จิตสำนึกซูหมิงไล่ไปตามเส้นนั้นอย่างรวดเร็ว จริงๆ ไม่ควรเรียกว่าจิตสำนึก แต่ควรเรียกว่าเสี้ยวดวงจิต เขาอยากจะเห็นความคิดของร่างจริงตี้เทียนที่กำลังกำราบตนด้วยตาตัวเอง

การโคจรของดวงจิต ในความรู้สึกคือชั่วพริบตา ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร ดวงจิตของซูหมิงอ่อนแอลงเรื่อยๆ และสาเหตุก็เป็นเพราะว่าขั้นพลังเขายังไม่พอจะค้ำยันการแผ่ขยายดวงจิตออกไปเช่นนี้

จนกระทั่งดวงจิตใกล้จะสลายหายไป ซูหมิงเห็นว่าบนฟ้ากระจ่างดาวมีแผ่นดินใหญ่ลอยอยู่นับไม่ถ้วน บนแผ่นดินนั้นมีแท่นบวงสรวงอยู่จำนวนมาก

เขาเคยมาที่นี่แล้ว เคยเห็นตอนซือหม่าซิ่นตาย

วินาทีที่ดวงจิตกำลังจะหายไป เขาเห็นว่าเส้นที่ตนใช้นำทางมานี้ยืดยาวเข้าไปยังส่วนลึกของแผ่นดินนับไม่ถ้วน พูดได้ว่าบางทีร่างจริงของตี้เทียนอาจกำลังเสริมผนึกไม่ให้ถูกทำลายอยู่ตรงนั้น

ซูหมิงพลันลืมตาขึ้น เขายืนอยู่กลางอากาศ ทุกสายตาโดยรอบจับจ้อง การเดินทางของดวงจิตเหมือนนานก็จริง ทว่าความจริงแล้วเกิดขึ้นที่นี่เพียงพริบตาเดียว

ยามนี้ซูหมิงปะทุพลังทั่วร่าง ตอนที่จะก้าวสู่ขั้นวิญญาณหมานตอนปลาย ฟ้าดินส่งเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ท้องฟ้าบิดเบี้ยวฉีกขาดเป็นวงกว้าง…ก่อนจะปรากฏลำตัวยักษ์ลงมาเยือน

ลำตัวนี้ไม่มีแขนขา ไม่มีศีรษะ เป็นเพียงลำตัวเดี่ยวๆ ทว่าตอนที่มันลงมาเยือนกลับปรากฏแขนเทวรูปหมานของซูหมิงสองข้างกลางอากาศ เมื่อผสานรวมกันแล้วจึงออกมาเป็นเทวรูปหมานยักษ์ที่ไม่มีศีรษะและขาสองข้าง!

กลิ่นอายพลังดิบเถื่อนแผ่กระจายมาจากเทวรูปหมานโดยไม่เก็บงำไว้สักนิด

“วิญญาณหมานตอนปลาย…” ซูหมิงเดินหน้าหนึ่งก้าวมายืนอยู่ตรงหน้าเทวรูปหมาน ก่อนเบนสายตาจากฟ้าไปมองศิษย์พี่ใหญ่ที่อยู่ไกลๆ

ตอนนี้ศิษย์พี่ใหญ่ผู้มีสีหน้าเฉยชาก็มองมาเช่นกัน และสบตากับเขาห่างออกไปหลายร้อยจั้ง

เขาเงียบไปพักหนึ่ง จนเมื่อขั้นพลังซูหมิงเพิ่มขึ้นและส่งแรงกดดันมา ศิษย์พี่ใหญ่ถึงร้องคำรามใส่ประดุจสัตว์ป่า

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version