ตอนที่ 1240 มาเข้าเฝ้าจากทุกสารทิศ
ไม่ว่าจะเป็นสหายเก่าในตอนนั้นหรือผู้แข็งแกร่งใหม่ที่ผงาดขึ้นในพันกว่าปีนี้ ผู้ฝึกฌานทั้งเผ่าหมานกลายเป็นสายรุ้งยาวแผ่คลุมฟ้า มองไกลๆ ดูสง่างามยิ่ง
สายรุ้งยาวลากผ่านฟ้า ส่งเสียงลากยาวกึกก้องสะเทือนฟ้าดิน มุ่งหน้าไปยังพระราชวังเทพหมานแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ซูหมิงอยู่
เมื่อสายเลือดทั้งเผ่าหมานเดือดพล่าน ตอนที่ร่างเงาพวกเขาห้อเหยียดอยู่บนฟ้า สัตว์ทะเลนับไม่ถ้วนในทะเลมรณะต่างเกิดความร้อนรนและไม่สงบเพราะการแผ่พลังเทพหมานของซูหมิง
สัตว์ทะเลมรณะส่วนใหญ่มีร่างกายใหญ่ จำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็นมังกรทะเลหรือคนยักษ์ทะเลเหล่านั้น ภายใต้การสืบสายเลือดตลอดพันกว่าปีมานี้ แม้จะเกิดการกระทบกระทั่งกับเผ่าหมานบ่อยครั้งจึงทำให้บาดเจ็บล้มตายไปจำนวนมากก็ตาม แต่ก็ยังมีจำนวนไม่น้อย อีกทั้งด้วยมหันตภัยการขยายพันธุ์ของสัตว์ร้ายหลายต่อหลายครั้ง เลยทำให้สัตว์ทะเลที่นี่แกร่งกว่าเมื่อพันกว่าปีก่อนไม่น้อย แต่ถึงจะเป็นอย่างนั้น ตอนนี้ก็ยังตัวสั่นกันทั้งหมด ถูกสยบด้วยกลิ่นอายพลังซูหมิง สัตว์ทะเลทั้งทะเลมรณะต่างพากันซ่อนตัวอยู่ก้นทะเล ไม่กล้าขึ้นมาผิวน้ำ
พวกมันรู้สึกถึงความน่ากลัวของซูหมิงจากกลิ่นอายพลังที่แผ่มา นั่นคือพลังแห่งความสิ้นหวังที่ทำลายล้างพวกมันได้ ดังนั้นต่อให้ตอนนี้ชาวเผ่าหมานส่วนใหญ่จะ แยกย้ายกันอยู่บนเกาะ แต่กลับไม่มีสัตว์ทะเลตัวใดอาศัยจังหวะนี้ก่อควมวุ่นวาย
ท่ามกลางเสียงดังกึกก้องบนฟ้า ซูหมิงยืนอยู่กลางพระราชวังเทพหมาน มองฟางชางหลัน กลิ่นอายพลังเขาแผ่ออกพร้อมส่งการเรียกหา เขารู้สึกถึงสายเลือดเดือดพล่านของทั้งเผ่าหมาน อีกไม่กี่วันจะมีชาวเผ่าหมานจำนวนมากทยอยกันมาเข้าเฝ้าที่นี่
“ตัดสินใจแล้วรึ?” ฟางชางหลันเงยหน้าขึ้นมองซูหมิงแล้วถามเสียงเบา
“ข้ามาครั้งนี้ จะพาทั้งเผ่าหมานไปจากที่นี่…ให้เผ่าหมานผงาดขึ้นที่โลกภายนอก” ซูหมิงพยักหน้าตอบกลับช้าๆ
ฟางชางหลันยิ้มเล็กน้อย นางไม่ได้ถามต่อ แต่หลับตาลง ดีดพิณโบราณต่อ เสียงเพลงดังก้องอยู่นานไม่หายไป
คนที่มาเข้าเฝ้าซูหมิงเป็นกลุ่มแรกคือผู้ฝึกฌานชะตาชีวิตบนแดนศักดิ์สิทธิ์ แทบเป็นทันทีที่เสียงเพลงดังกังวาน พลันมีเสียงผู้ฝึกฌานเกือบหมื่นคนเป็นคลื่นเสียงดังสนั่นด้วยความเคารพ ฮึกเหิมและตื่นเต้นอยู่นอกพระราชวังเทพหมาน
“เผ่าชะตาชีวิตแดนศักดิ์สิทธิ์ องครักษ์พระราชวังเทพหมาน คารวะ… ท่านบรรพบุรุษเผ่าชะตาชีวิต คารวะ…เทพหมาน!” เสียงนี้ดังสนั่นกังวานไปรอบๆ สะเทือนฟ้าดิน ก่อให้ทะเลเกิดคลื่นลูกใหญ่ ตอนที่เสียงดังก้อง ซูหมิงยืนอยู่ข้าง หน้าต่าง อาภรณ์ถูกสายลมพัดโบกสะบัด แสงยามโพล้เพล้สาดลงมา เขาเห็น ชาวเผ่าชะตาชีวิตเกือบหมื่นกำลังคารวะด้วยความตื่นเต้นอยู่ข้างนอก
เขาไม่พูดอะไร ผู้ฝึกฌานชาวเผ่าชะตาชีวิตเหล่านั้นคุกเข่าคารวะพร้อมกัน ต่อจากคลื่นเสียงนั้นก็เงียบลงทั้งหมด เหมือนว่าหากซูหมิงไม่พูด พวกเขาจะคุกเข่าแบบนี้ต่อไป
หลังพวกเขาคุกเข่าลง มีพลังแห่งกฏชะตาบริสุทธิ์ประหนึ่งเพลิงแห่งความศรัทธาของพวกเขาพุ่งตรงไปหาซูหมิงเป็นสายๆ พวกเขามองไม่เห็น มีแค่ซูหมิงที่เห็น จนเมื่อหลอมรวมเข้าสู่ร่างกายเขาแล้ว จึงทำให้พลังเขาเพิ่มขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง
ความจริงพลังแห่งกฏชะตาแบบนี้มีอยู่กลางฟ้าดินไม่น้อย แม้ในด้านจำนวน ซูหมิงจะเคยสูบราวๆ นี้มาแล้ว แต่ในด้านความบริสุทธิ์กลับเทียบได้ราวๆ หนึ่งร้อยหกสิบกว่าล้านสายของโลกข้างนอก
เพียงแต่ซูหมิงไม่คิดสูบกินในตอนนี้ พลังแห่งกฏชะตาที่อบอวลอยู่กลางฟ้าดินเหล่านี้คือกำลังเสริมสำคัญที่ซูหมิงจะพาโลกหมานย้ายออกจากน้ำวนมรณะหยิน
เพลงพิณโบราณดังก้อง เวลาผ่านไปช้าๆ ราวหนึ่งชั่วยามต่อมา ท้องฟ้ามีสายรุ้งยาวลากเข้ามา พริบตาเดียวก็เข้ามาใกล้และกลายเป็นผู้ฝึกฌานเผ่าหมานหลาย ร้อยคน คนเหล่านี้มีไป๋ฉางไจ้นำหน้า ข้างหลังเป็นจื่อเยียน จื่อเชอ ฟางมู่เป็นต้น และยังมีหวั่นชิวที่มองร่างเงาซูหมิงในพระราชวังเทพหมานอยู่ไกลๆ
“ผู้ฝึกฌานแห่งเผ่าหมานเกาะบึงใต้คารวะท่านเทพหมาน ยินดียิ่งที่ท่านกลับมา!” ไป๋ฉางไจ้สูดลมหายใจเข้าลึก แม้ตอนนั้นซูหมิงจะยังเป็นผู้เยาว์ของเขา แต่เมื่อเวลาผ่านไป ซูหมิงเป็นเทพหมาน ในมุมมองเขา นั่นคือคนที่อยู่สูงสุดของทั้งเผ่าหมาน ไม่ว่าจะเป็นในใจหรือสีหน้า ไป๋ฉางไจ้ดูเคารพอย่างยิ่ง และยังมีความตื่นเต้นบางๆ
สิ้นเสียงเขา ผู้ฝึกฌานหลายร้อยคนจากเกาะบึงใต้ต่างพูดตามพร้อมกัน หลังคารวะแล้วก็คุกเข่าลงไม่ยอมลุกเหมือนกับเผ่าชะตาชีวิต รอคำสั่งจากซูหมิงและก็รอผู้ฝึกฌานเผ่าหมานทั้งหมดทยอยกันมาที่นี่ในอีกสองสามวันต่อมา
ในเวลาเดียวกันมีพลังแห่งกฏชะตาเข้มข้นออกมาจากตัวหลายร้อยคนนี้ หลอมรวมเข้าไปในร่างซูหมิง เหมือนน้ำกับนมผสมกันอย่างสมบูรณ์แบบก่อนถูกสูบไปเป็นส่วนหนึ่งของพลังและก็บำรุงวิญญาณ
ซูหมิงมองไป๋ฉางไจ้ มองคนรู้จักข้างหลังด้วยรอยยิ้ม ข้างหูยังคงดังก้องไปด้วยเสียงเพลง เขายังเงียบและรอต่อไป
เพราะยามโพล้เพล้ไม่เปลี่ยนไป ดังนั้นแม้ควรจะถึงกลางดึกแล้ว แต่โลกข้างนอกยังเป็นแสงยามโพล้เพล้ บนฟ้ามีสายรุ้งยาวปรากฏขึ้น คนเหล่านี้ล้วนเป็นเผ่าหมานที่อาศัยอยู่บนเกาะใกล้กับที่นี่มาก มองไปมีมากกว่าหลายหมื่นคน ตอนนี้พอเข้าใกล้พระราชวังเทพหมานแล้ว เผ่าหมานหลายหมื่นคนต่างคุกเข่าคารวะไปทางพระราชวังเทพหมานทันที
“พวกเรา…คารวะเทพหมาน!”
การปรากฏตัวของหลายหมื่นคนทำให้พลังแห่งกฎชะตาที่ปะทุออกมาในสายตา ซูหมิงเหมือนปกคลุมฟ้าดิน ตอนนี้หลังพวกเขาคารวะ พลังกฏชะตาก็รวมมาที่เขาพร้อมกัน เกิดเสียงอึกทึกเบาๆ ในความคิด กฏชะตาเหล่านี้หลอมรวมเข้ามาในพริบตา ไม่เพียงทำให้พลังเขาเพิ่มขึ้นเล็กน้อยเท่านั้น แต่ยังทำให้วิญญาณเขาแกร่งขึ้นไม่น้อยด้วย กระทั่งยังมีประโยชน์กับดวงจิตเขาอย่างใหญ่หลวง
‘พลังแห่งกฏชะตา กฏแห่งชะตาภายในและภายนอก ความศรัทธาเหล่านี้เป็น ดั่งเปลวเพลิง ทำให้ดวงจิตข้าแกร่งขึ้นไม่น้อย…นี่คือกฎแห่งการฝึกฝนที่ต้องเป็น บรรพชนวิญญาณเท่านั้นถึงจะมี นั่นคือดวงจิตของบรรพชนวิญญาณที่ดูเหมือนกับ ขั้นชะตา แต่กลับเหนือกว่ามากอย่างชัดเจน!
หากวันหนึ่งข้าเป็นเทพบรรพชน เกรงว่าคงจะมีประโยชน์จากการสูบกฏชะตาเหล่านี้มากขึ้น’ ซูหมิงฟังเพลงพิณโบราณพลางรู้สึกว่าพลังรวมถึงจิตวิญญาณกับ ดวงจิตแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง เขาจึงเผยรอยยิ้ม
ตอนนี้เผ่าหมานหลายหมื่นคนข้างนอกพากันคุกเข่าคารวะแน่นิ่ง เมื่อวันที่สองมาถึง ยามโพล้เพล้ยังไม่เปลี่ยนไป ทว่าร่างเงาบนฟ้ากลับเพิ่มมาอีกหมื่นคน อีกทั้งยามนี้ยังเห็นร่างเงาที่มากกว่าตรงเข้ามาจากรอบทิศ
“หนานกงเหิน คารวะผู้มีพระคุณ!” สายรุ้งยาวสายหนึ่งเข้ามาใกล้ในพริบตาด้วยความเร็วเหนือกว่าทุกคน ท่ามกลางเสียงดังก้องด้วยความตื่นเต้น หนานกงเหินเผยใบหน้าแก่ชรา เขามองซูหมิงในพระราชวังเทพหมานพลางนึกย้อนไปถึงตอนที่ซูหมิงพาพวกเขาออกจากโลกเก้าหยินตอนนั้น
“เผ่าหมานเกาะรอยสวรรค์ คารวะเทพหมาน!”
“เกาะจันทราลาลับ คารวะเทพหมาน”
“เกาะภูผานางแอ่น คารวะท่านเทพหมานรุ่นสี่!” เสียงดังก้อง ภายใต้เผ่าหมานหลายหมื่นคนโดยรอบเข้ามาใกล้ เสียงคารวะดังขึ้นลง พลังแห่งกฏชะตาจำนวนมากหลั่งไหลเข้าไปกลางจิตใจซูหมิง วนเวียนอยู่นานไม่หายไป
“ข้าหยาหมาน คารวะเทพหมานรุ่นสี่ ยินดียิ่งที่เทพหมานกลับมา!” ตอนที่เข้ามาใกล้จากบนฟ้า มีเสียงแก่ชราพร้อมกับเสียงเผ่าหมานหลายหมื่นคนดังแว่วมาด้วยความฮึกเหิม นั่นคือหยาหมาน หนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่ร่วมรบกับซูหมิงโจมตีเผ่าเซียนในตอนนั้น
“อู๋ซวง คารวะท่านเทพหมาน!”
“เทียนฉี่ ในที่สุดก็ได้พบท่านเทพหมานอีกครั้งในชีวิตนี้ ยินดียิ่งที่ท่านกลับมา!”
“ชื่อเหลยเทียนคารวะท่านเทพหมาน!”
“คมแหลมของเสวี่ยซามีไว้เพื่อเทพหมานเท่านั้น ท่านเทพหมานยังจำเสวี่ยซาได้หรือไม่!”
เมื่อผู้แข็งแกร่งทุกคนที่ร่วมรบกับซูหมิงต่อต้านเผ่าเซียนในตอนนั้นปรากฏตัว ผู้ฝึกฌานเผ่าหมานรอบตัวซูหมิงมีมากกว่าสามแสนคนแล้ว
ไกลออกไปยังมีสายรุ้งยาวที่มากกว่าตรงเข้ามา ซูหมิงมองทุกอย่างตรงหน้า ในใจเต็มไปด้วยความฮึกเหิม พลังเขาแกร่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหลอมรวมกฏชะตา จิตวิญญาณกลางระลอกคลื่นยังแกร่งกว่าเมื่อก่อนไม่น้อย ดวงจิตเขายังไปอยู่ทั่วทุกมุมของแผ่นดินหมาน
เมื่อวันที่สามจบลง ร่างเงาเผ่าหมานนอกพระราชวังเทพหมานมีเกือบหกแสนคนแล้ว ไม่ว่าคนเหล่านี้จะมาก่อนหลังล้วนคารวะไม่ยอมลุกขึ้น มองไกลออกไปแน่นขนัดทั่วฟ้าดิน พลังแห่งกฏชะตาจากคนเหล่านี้ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้แสงยามโพล้เพล้ไม่อาจข้ามผ่านมาได้
ผู้ฝึกฌานหกแสนคนรวมกัน กลิ่นอายพลังเผ่าหมานที่แผ่มาจากตัวพวกเขาสะเทือนฟ้าดิน ทำให้โลกนี้สั่นไหว พูดได้ว่าผู้ฝึกฌานเหล่านี้คือขุมกำลังยอดเยี่ยมของเผ่าหมานตอนนี้
จนถึงตอนนี้ ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ระหว่างหมุนตัวกลับ ประตูใหญ่พระราชวังเทพหมานเปิดออก จากนั้นผู้ฝึกฌานเผ่าหมานที่คุกเข่าอยู่รอบๆ หกแสนคนต่างเงยหน้าขึ้น แววตาจับจ้องไปยังประตูพระราชวัง
ไม่นานพวกเขาก็เห็นร่างเงาหนึ่งเดินออกมาจากในประตูพระราชวัง ข้างหลังร่างเงานั้นคือฟางชางหลัน
ซูหมิงยืนอยู่นอกวิหาร แสงยามอัศดงยากจะส่องกายเขา เขามองเผ่าหมานทั้งหมดรอบตัว หลังเงียบอยู่ชั่วครู่แล้วก็เอ่ยเป็นครั้งแรกกับชาวเผ่าหมานทั้งหมด
“ข้าซูหมิง เทพหมานรุ่นสี่ บรรพบุรุษเผ่าชะตาชีวิต กลับมาแล้ว!”
คำพูดนี้ไม่ดังนัก แต่กลับเกิดฟ้าผ่าขึ้นในพริบตา เกิดเสียงครึกโครมสนั่น ทะเลมรณะ สั่นสะเทือนจิตใจผู้ฝึกฌานเผ่าหมานทุกคน ทำให้สายเลือดทั้งหมด เดือดถึงจุดสูงสุด
“เทพหมาน!”
“เทพหมาน!”
“เทพหมาน!” เสียงตะโกนจากผู้ฝึกฌานเผ่าหมานหกแสนคนดังสนั่นฟ้าดิน ราวกับว่ากลายเป็นเสียงที่มากพอจะดังก้องทั้งเผ่าหมาน
“ข้ากลับมาแล้ว มานำพาพวกเจ้า…ผงาดขึ้น!” เสียงซูหมิงดังกังวาน ช่วงที่เสียงตะโกนของผู้ฝึกฌานเผ่าหมานหกแสนคนดังขึ้น เขาสะบัดแขนเสื้อ ยกมือขวาชี้ไปยังตะวันยามอัศดงไกลๆ
เพียงชี้ไปดวงจิตซูหมิงพลันปะทุขึ้นก่อนปกคลุมทั้งโลกหมาน กลายเป็นพลังไร้รูปลอยขึ้นอยู่ใต้ดวงตะวันยามเย็น เหมือนอยากจะเปลี่ยนมันให้เป็นดวงตะวันเจิดจ้า
“ข้าจะนำพาพวกเจ้า พาทั้งโลกหมานออกจากแดนมรณะหยินแห่งนี้ พาพวกเจ้าไปยังโลกแท้จริงข้างนอก นั่นคือ…โลกแท้จริงของข้า!”