ตอนที่ 687 หนึ่งจุด
ผู้คนมักจะเปรียบเวลาเป็นพริบตา มักจะบอกว่าเวลาหลายปีผ่านไปเพียงชั่วพริบตา นี่คือการเปรียบเทียบ เพราะตอนที่คนอยากจะรักษาช่วงเวลาสั้นๆ เอาไว้ ส่วนใหญ่จะสายเกินไป
นี่คือเรื่องน่าปลงอนิจจังหลังเวลาผ่านไป เป็นความรู้สึกนึกคิดและรำลึกถึงช่วงเวลาที่ไม่ได้รักษาเอาไว้หลังจากมันเกิดขึ้น
ทว่าซูหมิงตอนนี้กลับด้านกัน!
เขาไม่กล้ากะพริบตา เพราะเขารู้ว่าพริบตาเดียวนี้จะไม่ได้เห็นใบหน้าแบบนี้อีก หากกะพริบตาก็เท่ากับว่าเวลาผ่านไป เขาทำใจไม่ได้ ตอนที่รู้สึกว่าดวงตาสองข้างมีน้ำตา เขาเหม่อมองรอยยิ้มเมตตาบนท้องฟ้า และยังมีรอยเหี่ยวย่นที่คุ้นตา
“เจ้าคง…ลำบากน่าดู…” เสียงแหบแห้งดังแว่วมา ซูหมิงตัวสั่นทว่ากลับไม่กล่าวอะไร
“เจ้าคือโม่ซัง…เจ้าไม่ใช่โม่ซัง…” ตี้เทียนจ้องชายชราบนฟ้าแล้วกล่าวสองประโยคขัดแย้งกัน แทบเป็นช่วงที่กล่าวจบ นัยน์ตาตี้เทียนชุดคลุมดำแวววาว พลันยกมือขวาห้านิ้วมือที่ระเบิดไปก่อนหน้านี้แล้วฟื้นฟูกลับมาคว้าไปบนฟ้า
“ข้าเข้าใจแล้ว….แต่เจ้าเป็นเพียงวิญญาณมรณะหยิน ต่อให้ควบคุมพลังมรณะหยินทั้งหมดจนเป็นอมตะก็ตาม….ทว่าก็อยู่ได้เพียงที่นี่!” คำพูดตี้เทียนชุดคลุมดำติดตะกุกตะกักเล็กน้อย เมื่อสิ้นเสียงก็มีเปลวเพลิงลุกท่วมตัวเขา
นี่คือ…การเผาร่างอาคม!
ให้ตี้เทียนชุดคลุมดำเผาร่างอาคมได้ เห็นได้ชัดว่าชายชราผู้เดินออกมาจากหมอกมรณะหยินสร้างความหวาดกลัวให้เขาเพียงใด แทบเป็นทันทีที่เผาร่างอาคม เขาก็ร้องตะโกนเสียงดังก้องกังวาน
“สังหารเจ้าที่นี่ไม่ได้ ทว่าผนึกเจ้าได้…ดาราแห่งเซียนจงมาเยือนแดนมรณะหยิน!”
ตี้เทียนคว้ามือขวา ปากบริกรรมคาถาซับซ้อนเข้าใจยาก ขณะเดียวกัน ร่างกายเขาลุกไหม้รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ขาสองข้างหายไปแล้ว
หลังจากขาหายไปก็มีเสียงระเบิดสะเทือนเลือนลั่นมาจากในน้ำวนบนฟ้า ดาราแท้จริงเก้าดวงนอกหมอกน้ำวน ตรงกลางฟ้ากระจ่างดาวเซียนที่ปกปักอยู่ที่นี่ มีสี่ดวงเกิดเค้าลางการเคลื่อนไหว!
ดาราแท้จริงสี่ดวงนี้เปล่งแสงสีขาวสว่างจ้าพร้อมกับเปลี่ยนวงโคจร ก่อนพุ่งเข้าไปยังน้ำวนมรณะหยินด้วยความเร็วระดับสายตา!
นี่ก็คือการเผาร่างอาคมเพื่อแลกกับการดูดพลังของดาราแท้จริง ให้ดาราแท้จริงลงมาเพื่อปะทุพลังกำราบชายชราผู้สร้างซวิน
ระหว่างที่ดาราแท้จริงสี่ดวงส่งเสียงครึกโครม ในนั้นมีดวงหนึ่งเข้าไปในหมอกมรณะหยินมากกว่าครึ่งแล้ว เห็นได้ชัดว่ามันกำลังลดระดับลงอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็หายเข้าไป ประหนึ่งหินใหญ่ตกลงก้นแม่น้ำ
ดาราแท้จริงสามดวงด้านหลังก็ลดระดับเข้าไปในหมอกทีละดวง
ในเวลาเดียวกัน หากเงยหน้ามองจากแผ่นดินหมานขึ้นไป จะเห็นว่าหมอกมรณะหยินบนฟ้าม้วนตลบอย่างรุนแรง มากกว่าตอนถูกลำแสงดาราทะลวงผ่าน ตอนนี้หมอกบนฟ้าหมุนตลบปานน้ำทะเลและส่งเสียงโครมคราม ฉับพลันนั้นมีดาราแท้จริงยักษ์ดวงหนึ่งปรากฏอยู่ในหมอกบนฟ้า
หมอกกระจายออกโดยรอบอย่างบ้าคลั่ง ดาราแท้จริงใหญ่ยักษ์ยากจะบรรยายเข้ามาแทนที่ฟ้า เผยตรงขอบลักษณะโค้งออกมา จะเห็นได้ว่าในนั้นมีทะเลแม่น้ำและเทือกเขาอยู่ ซ้ำยังมีแรงกดดันน่าตะลึง
นี่คือ…การมาเยือนของดารา!
ทุกจุดบนแผ่นดินหมานจะเห็นว่าบนฟ้าเผยดาราแท้จริงเป็นทรงโค้งเกือบครึ่ง!
แดนรกร้างบูรพาสั่นไหว ทะเลมรณะส่งเสียงอึกทึก
ภายใต้การมาเยือนของดาราแท้จริง โลกหมานเกิดแนวโน้มว่าจะพังพินาศ อีกทั้งยามนี้มีเสียงระเบิดดังกึกก้องทั้งเผ่าหมาน พบว่าบนฟ้าไร้ที่สิ้นสุด…ปรากฏขอบโค้งเกือบครึ่งของดาราแท้จริงอีกสามดวง!
ดาราแท้จริงสี่ดวงกินพื้นที่ท้องฟ้าทั้งหมด ทุกคนที่มองอยู่ล้วนตื่นตระหนก
หากดาราแท้จริงสี่ดวงระเบิด เช่นนั้นโลกหมาน…คงไม่เหลือซาก ทะเลมรณะเหือดแห้ง กระทั่งแดนมรณะหยินยังมีโอกาสสูงมากที่จะกลายเป็นหลุมมิติยักษ์
“คนที่ข้าตี้เทียนอยากสังหาร วิญญาณที่อยากสังหาร ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะขวางอย่างไร!” เวลานี้ร่างตี้เทียนเผาไหม้จนเหลือไม่ถึงครึ่งแล้ว เขาหัวเราะเสียงดังอย่างบ้าคลั่ง สองแขนยกขึ้นสะบัดไปทางดาราแท้จริงสี่ดวงบนฟ้า
เมื่อสะบัดไป ดาราแท้จริงสี่ดวงที่เห็นเพียงขอบโค้งส่งเสียงสนั่นพร้อมกัน แล้วลดระดับลงมายังแผ่นดินอย่างรวดเร็ว ทว่าต่อให้เร็วกว่านี้อีก ไม่ว่าจะมองจากที่ใดบนแผ่นดินก็เหมือนลงมาอย่างช้าๆ เพราะมันใหญ่เกินไป
พอพวกมันเข้ามาใกล้ ส่วนกลมที่เห็นก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แดนรกร้างบูรพาเริ่มพังทลายลง
ทันใดนั้นเอง มีเสียงถอนหายใจดังก้องรอบๆ ต้นเสียงก็มาจากชายชราผู้สร้างซวิน ตอนนี้ตัวเขาภายใต้สายตาของทุกคนขยายใหญ่ขึ้นไร้ขีดจำกัด พริบตาเดียวก็กลายเป็นร่างเงาใหญ่ยักษ์ค้ำยันฟ้าดิน
ภายในร่างเงานั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายมรณะหยินเข้มข้น ราวกับว่าตัวเขาสร้างขึ้นจากพลังมรณะหยิน หลังจากค้ำยันฟ้าแล้ว ร่างใหญ่ยักษ์พลันเปลี่ยนไปอีกครั้ง
กลายเป็นฟ้ากว้างใหญ่ไร้สิ้นสุด!
ผ้าสีฟ้าเหมือนกับสีท้องนภาม้วนตลบไปคลุมฟ้าโลกหมาน แล้วตรงเข้าไปห่อหุ้มดาราแท้จริงสี่ดวงเอาไว้
ตั้งแต่เริ่มจนถึงตอนนี้ซูหมิงยังไม่กะพริบตา จนกระทั่งชายชรากลายเป็นผืนฟ้าปกคลุมทุกอย่างก็ขวางสายตาของเขา เขาจึง…ไม่เห็นรูปลักษณ์คุ้นเคยอีก
ตอนนี้ตี้เทียนชุดคลุมดำที่เผาร่างกับแขนสองข้างหายไป และเหลือเพียงศีรษะพลันมองซูหมิง
“ซูหมิง ตอนนี้ไม่มีใครช่วยเจ้าได้อีก…ข้าเตรียมอภินิหารสำหรับเจ้าโดยเฉพาะมาให้ด้วย อภินิหารนี้เจ้าต้องชอบมากแน่ๆ……ข้าจะใช้มันปิดฉากละครครั้งนี้!” ตี้เทียนยิ้มมุมปากเย็นชา จากนั้นนัยน์ตาพลันเปล่งแสงหม่นเด่นชัด
แสงหม่นแผ่กระจายในพริบตา ปกคลุมฟ้าสีครามเอาไว้ เข้ามาแทนฟ้าครามของชายชราผู้สร้างซวิน ทำให้ท้องฟ้าอึมครึม
มันยังไม่ใช่สีดำอย่างสมบูรณ์ เพราะบนฟ้ายังมีจุดดาราอยู่ เพียงแต่ว่าดาราทุกดวงเปล่งประกายแสงหม่น
ประดุจดวงตาตี้เทียน ดาราจำนวนมากบนฟ้าเหมือนเชื่อมกันเป็น…
ใบหน้ายักษ์!
ซูหมิงใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เวลานี้เหมือนรอบตัวเขาทุกคนหายไป เผ่าหมานก็ดี เซียนก็ดี ทั้งโลกภายใต้ฟ้ากระจ่างดาวเหลือเพียงเขาคนเดียว
เขายืนอยู่ตรงนั้นมองใบหน้าคนจากดารา ทันทีที่เห็นใบหน้านั้น พลันมีเสียงระเบิดดังในความคิด
เขาจะลืมฟ้ากระจ่างดาวนี้ได้อย่างไร จะลืมใบหน้าที่รวมจากดารานี้ได้อย่างไร
‘ซูหมิง จำฟ้ากระจ่างดาวนี้เอาไว้….’ ข้างหูซูหมิงเหมือนมีเสียงของท่านปู่ตอนใช้อภินิหารสุดท้ายบนภูเขาทมิฬเมื่อนานปีก่อนดังกึกก้อง มันก็คือฟ้ากระจ่างดาวจากธงปลายแหลม
ฟ้ากระจ่างดาวเหมือนกัน ใบหน้าเหมือนกัน เหมือนกับในความทรงจำ…
ใบหน้านั้นคล้ายกับซูหมิงยิ่งนัก ทว่ากลับผ่านโลกมาอย่างโชกโชน นัยน์ตาไม่มีความอบอุ่น มีแต่ความน่าเกรงขามและชั่วร้าย!
“อยากกลับไป…ภูเขาทมิฬหรือไม่…” ยามนี้ใบหน้ากลางฟ้ากล่าวเนิบช้าด้วยน้ำเสียงดุงดั่งฟ้าผ่า เสียงนั้นดังก้องกังวานเข้าถึงหูเขา สั่นสะเทือนจิตวิญญาณ
“อยากกลับไป…หาท่านปู่ของเจ้าหรือไม่…”
“อยากกลับไป….ทำตามสัญญาของไป๋หลิงหรือไม่…”
“อยากกลับไป….เห็นฟ้าของภูเขาทมิฬอีกครั้งหรือไม่…” เสียงนั้นดังชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายกลายเป็นส่วนหนึ่งของโลกนี้ สั่นสะเทือนจิตวิญญาณของซูหมิงจนเกิดความสับสน
“อยากกลับไป….ในอดีตหรือไม่…”
“อยากกลับไป…เริ่มต้นใหม่หรือไม่…” ตอนที่กล่าวถึงตรงนี้ ดาราทั้งผืนฟ้าเปล่งแสงสว่างจ้าสาดส่องลงมาปกคลุมแผ่นดิน ทำให้วินาทีนี้แผ่นดินขมุกขมัวและหมุนวนโคจร
“วัฏจักรพันปี โชคชะตาพันปี พันปี…” เสียงน่าเกรงขามค่อยๆ เบาลง จุดสุดท้ายแทบไม่ได้ยิน ซูหมิงค่อยๆ หลับตา ความเหนื่อยล้าลึกๆ กลายเป็นน้ำวนหนึ่งจมความรู้สึกรู้ตัวเองและฝังกลบทุกอย่าง
เสียงดังสนั่นหวั่นไหวระเบิดข้างหูซูหมิง เขาจึงลืมตาขึ้นโดยจิตใต้สำนึก ความเหนื่อยล้าแล่นมาจากในและนอกร่างกาย ทำให้ตอนที่เขาลืมตาขึ้นอดไม่ไหวต้องหลับตาลงอีกครั้ง
ทว่าพริบตาเดียวตอนที่ลืมตานั้น เขาเห็นท้องฟ้าสีครามเข้ม เห็นภูเขาทมิฬเหลือเพียงสี่ยอดเขา อีกทั้งยอดเขาเพลิงทมิฬยังไม่มีปลายยอดเขา
เขายังเห็นจ้าวหมานเผ่าภูผาดำถูกดูดเข้าไปในมิติ!
และยังเห็นท่านปู่ที่คุ้นเคยยืนอยู่บนยอดเขา ก่อนล้มลงกับพื้นด้วยความเหนื่อยล้า!
“นี่คือ…อดีต…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ นี่คือภาพสุดท้ายหลังหลับตาลงอีกครั้ง
การหลับตาครั้งนี้เขารู้สึกว่าตนฝันยาวนานมาก ตนในความฝันไปยังแดนอรุณใต้ จนมาถึงบ้านที่เรียกว่ายอดเขาลำดับเก้า มีศิษย์พี่สามคน และมีอาจารย์ประหลาดที่ชอบเปลี่ยนอาภรณ์คนหนึ่ง
เขายังไปแดนรกร้างบูรพาแล้วเป็นเทพหมาน…
จนกระทั่งเขาลืมตาขึ้นจากความฝัน เขานอนอยู่บนเตียงเล็ก รอบๆ ล้วนแปลกตา
“เจ้าตื่นแล้ว…” เสียงคุ้นเคยดังแว่วมาข้างหูเขา ต้นเสียงคือชายหนุ่มใบหน้าขาวซีดคนหนึ่ง…เขาคือเป่ยหลิง
