Skip to content

สู่วิถีอสุรา 688

ตอนที่ 688 ครบ 60 ปี

ที่แท้ทุกอย่างเป็นความฝันฉากหนึ่ง

เพียงแต่ว่าโลกในความฝันสมจริงนัก ยอดเขาลำดับเก้าแห่งแดนอรุณใต้ช่างอบอุ่น ความห่วงใยจากศิษย์พี่หู่จื่อ ศิษย์พี่รอง และศิษย์พี่ใหญ่ ทุกครั้งที่นึกถึงจะเกิดความรู้สึกอบอุ่นและมีความคิดถึงอย่างบอกไม่ถูก

ที่แท้สิ่งเหล่านี้คือความฝัน…

ตนไม่ได้ถูกดูดเข้าไปในหลุมมิติตอนอยู่บนภูเขาทมิฬ ท่านปู่ไม่ได้หายตัวไป ตน….ไม่เคยไปแดนอรุณใต้มาก่อน และก็ไม่มีอาจารย์นามเทียนเสียจื่อ

ที่แท้มันเป็นความฝันจริงๆ…

ตนไม่ได้เข้าสำนักเหมันต์สวรรค์ ไม่ได้ไปโลกเก้าหยิน ทั้งยังไม่เคยเจอคนเผ่าเชมัน และยังมีภัยพิบัติรกร้างบูรพา รวมถึงความแค้นต่างๆ ต่อคนของตี้เทียน

ตนไม่ได้ฝึกฝนถึงขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ และไม่ได้เป็น…เทพหมาน

“ความฝันนี้ช่างยาวนานนัก…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ ตอนนี้เขานั่งอยู่บนต้นไม้แห้งในพื้นที่ที่เผ่าร่องลมเตรียมไว้ให้เผ่าเขาทมิฬ สายตามองทอดไกล สายลมหิมะตรงเส้นขอบฟ้ามาพร้อมเสียงครืนๆ พัดผ่านตัวเขาจนรู้สึกหนาวเล็กน้อย

‘ในความฝันข้าเจอคนรู้จักเหล่านั้น เป่ยหลิง เฉินซิน อูลา…เผ่าเซียน เผ่าเชมัน เผ่าหมาน ชายชราผู้สร้างซวิน ทั้งยังมีแดนมรณะหยิน’ ซูหมิงถอนหายใจเบาๆ

‘เป็นความฝัน…จริงๆ หรือ?’ ซูหมิงเงยหน้ามองหิมะที่ลอยล่องบนฟ้า นัยน์ตาฉายแววสับสน

ด้านหลังเขายังเป็นชนเผ่าที่ไม่สมบูรณ์ ชาวเผ่าที่อพยพมาจากเขาทมิฬสูญเสียญาติพี่น้อง สูญเสียครอบครัว อยู่ได้เพียงในเขตเผ่าร่องลม กลายเป็นบริวารของเผ่าร่องลม

ท่านปู่บาดเจ็บสาหัส ยังคงหมดสติอยู่ตลอด

เหลยเฉินจากไป ไม่รู้ว่าไปที่ใด บางทีสักวันหนึ่งอาจกลับมา บางที….

อูลาตายแล้ว หนานซงตายแล้ว ชาวเผ่าจำนวนมากกลายเป็นซากศพ ความเศร้าโศกลอยอบอวลอยู่ในชนเผ่า หนักอึ้งจนชาวเผ่าคล้ายหายใจติดขัดเล็กน้อย

ซานเหินก็ตายแล้ว ตายด้วยน้ำมือของเขาเอง เขาก้มหน้ามองสองมือตัวเองอย่างเงียบๆ

ในชนเผ่าด้านหลัง เด็กหญิงตัวน้อยนามถงถงหดตัวอยู่ตรงมุมตลอด นางกอดตุ๊กตาชำรุดตัวหนึ่งเอาไว้ น้ำตารินไหล

“ซูหมิง จะเริ่มแล้ว” ขณะซูหมิงกำลังเงียบก็มีเสียงต่ำทุ้มแว่วมาข้างๆ เขา ต้นเสียงมาจากเป่ยหลิง ใบหน้าเป่ยหลิงซีดขาว เดินมาทีละก้าวจนมายืนใต้ต้นไม้ที่เขาอยู่

ซูหมิงมองเป่ยหลิง ในความฝันบุคคลนี้คือเผ่าเซียน เป็นคนสำนักชุมนุมเซียน และเป็นลูกศิษย์ของตี้เทียน ทว่า…นั่นเป็นความฝันไม่ใช่หรือ…

ซูหมิงส่ายศีรษะแล้วกระโดดลงมาจากต้นไม้

พิธีศพเซ่นไหว้วิญญาณเขาทมิฬจัดขึ้นท่ามกลางความเศร้าโศกของเสียงสะอื้นไห้อย่างเงียบๆ ของชาวเผ่า เปลวเพลิงลุกไหม้ เต้นเร่าๆ พลางบิดเบี้ยวอย่างประหลาด ภายในเปลวเพลิงนั้นวางร่างของชาวเผ่าเขาทมิฬไว้ นั่นคือร่างไร้วิญญาณผู้เสียสละเพื่อชนเผ่าที่หาเจอ

ศพเหล่านั้นส่วนใหญ่ไม่สมประกอบ มีน้อยนักที่จะสมบูรณ์ เปลวเพลิงเผาไหม้อยู่บนร่างพวกเขาท่ามกลางสายลมหิมะในฤดูหนาว ชาวเผ่าเขาทมิฬรอบๆ ล้วนคุกเข่าอย่างเงียบๆ

มองแสงสว่างและความมืดกลางเปลวเพลิงลุกไหม้ ฟังเสียงดังเปาะแปะ เสียงสะอื้นไห้อย่างเงียบๆ ของชาวเผ่ากลายเป็นความอึดอัด ทำให้รอบด้านหนาวเยือกขึ้น

กลางเปลวเพลิงนั้น ซูหมิงเห็นอูลา เห็นใบหน้าคุ้นตาจำนวนมาก มากมายจริงๆ

กลางดึกวันที่สามหลังจากเสร็จสิ้นพิธีศพ ซูหมิงยืนอยู่กลางชนเผ่า สายตามองหิมะบนฟ้า มองแผ่นดินมืดมิดที่ไกลออกไปถูกเกล็ดหิมะส่องสะท้อนจนไม่ดำมืดอีก เขาเห็นร่างเงาสตรีคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น กำลังรอคอยตนอย่างเงียบๆ

นั่นคือไป๋หลิง

สายลมหิมะหนักมาก เกล็ดหิมะแบ่งโลกออกเป็นเศษส่วน ไม่อาจรวมกันอย่างสมบูรณ์อีกครั้ง ท่ามกลางหิมะนั้น ซูหมิงเดินไปหาไป๋หลิง จากนั้นก็ยืนอยู่กับนางอย่างเงียบๆ สองฝ่ายไม่มีใครกล่าวอะไร

ไป๋หลิงสวมอาภรณ์ขนเตียวสีขาว เส้นผมงามสีดำขลับมีหิมะติดอยู่ ใบหน้างดงามกลางสายลมหิมะดูสวยงามต่างจากฉากหลัง เพียงแต่ว่านัยน์ตามีความห่วงใยและความเศร้า นางเหม่อมองซูหมิงแล้วเริ่มมีน้ำตารินไหล

“ข้าต้องไปแล้ว…ไปที่ที่ห่างไกลมาก ท่านพ่อท่านแม่ข้าส่งข่าวมา ให้คนมารับข้า…”

ไป๋หลิงกัดริมฝีปากล่างพลางมองซูหมิง

“ไปกับข้า” ไป๋หลิงกล่าวเสียงเบา

ซูหมิงรู้สึกขมขื่นในใจ เขาเสียชาวเผ่าไปมากนัก เสียไปมากจริงๆ เขาไปไม่ได้ และก็ไม่ยากรั้งไป๋หลิงเอาไว้ เขา…ไม่รู้ว่าตนมีสิทธิ์อะไรที่จะรั้งไป๋หลิงไว้ ไม่ให้นางไปหาบิดามารดาของนาง

“ขอให้เจ้า…เดินทางปลอดภัย” ซูหมิงเงียบอยู่นานมาก ก่อนเอ่ยด้วยความเศร้า

เพิ่งจะกล่าวจบ ไป๋หลิงก็เดินมาอยู่ตรงหน้าซูหมิงแล้วกอดเขาเอาไว้เบาๆ ริมฝีปากเย็นเยียบกับใบหน้าที่ยากจะลืมเลือนเข้ามาแทนที่โลกของเขา

ริมฝีปากนั้นเย็นมาก ทว่ากลับแฝงความอบอุ่นและยังมีความขมขื่นของน้ำตา ผสานรวมเข้าด้วยกันเป็นการจูบลา…

“สัญญาของเรายังอยู่ ไม่ใช่เจ็ดวัน ไม่ใช่เจ็ดปี แต่เป็นชั่วชีวิต….ซูหมิง ข้าจะรอเจ้า รอตลอดไป…” ไป๋หลิงหมุนตัวกลับแล้ววิ่งไกลออกไป ไม่รู้ว่าน้ำตาหยดลงที่ใดกลางสายลมหิมะ มีเพียงหยดเดียวเท่านั้นที่ตกใส่หน้าซูหมิง

ความหนาวเหน็บที่เหมือนกัน แยกไม่ออกว่าคือน้ำตาหรือหิมะ

ซูหมิงยังคงยืนอยู่ตรงนั้น จนกระทั่งเห็นจากไกลๆ ว่าข้างกายไป๋หลิงมีร่างเงาสูงใหญ่สองคนพานางจากไปคล้ายปกป้อง

ซูหมิงบอกไม่ถูกว่าในใจมีรสชาติอะไร เขานิ่งเงียบอยู่นานมาก…นานยิ่งนัก

หลังไป๋หลิงจากไปครึ่งเดือน ท่านปู่ก็ตื่นขึ้น

ท่านปู่ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องการต่อสู้กับจ้าวหมานภูผาดำเลย ส่วนเขาก็ไม่ได้พูดคุยกับใคร พอเวลาเคลื่อนผ่านไป การตายของจ้าวหมานภูผาดำก็ค่อยๆ กลายเป็นอดีต

เขารู้สึกได้ว่านิสัยของตนเปลี่ยนไป ไม่ร่าเริงอีก แต่เคยชินกับความเงียบ เสียงหัวเราะของชาวเผ่าในอดีตหายไป ความเศร้าจากการสูญเสียสหายและญาติพี่น้องทำให้ทุกคนเลือกจะเงียบงัน

เขาเริ่มฝึกฝนทั้งวันทั้งคืน เริ่มหลอมเม็ดโอสถไม่หยุด ทำให้ขั้นพลังของตนสูงขึ้น เพียงแต่ว่าตอนนั่งฌานกลางดึก เขามักจะลืมตาขึ้นและนึกถึงความฝันนั้นบ่อยๆ

เวลาผ่านไปสิบปีในพริบตา

สิบปีนี้เปลี่ยนแปลงไปมาก เด็กน้อยเติบโตขึ้น ความเศร้าเมื่อสิบปีก่อนก็จางลงไปมาก มีเพียงตอนเซ่นไหว้ทุกปีที่ผู้คนถึงจะนึกถึงความเจ็บปวดรวดร้าวเมื่อสิบปีก่อน

เผ่าเขาทมิฬกลายเป็นบริวารเผ่าร่องลมอย่างสมบูรณ์ เพราะว่าท่านปู่…สูญเสียขั้นพลังไปแล้ว และกลายเป็นชายชราที่อยู่ในช่วงบั้นปลายชีวิต

ในสิบปีมานี้ซูหมิงคอยอยู่กับท่านปู่ จนกระทั่งฤดูหนาวครบรอบสิบปี ในค่ำคืนกลางดึกอันหนาวเหน็บ สายลมหนาวพัดครืนๆ อยู่ข้างนอก พัดกระโจมหนังจนทำให้แสงไฟในกระโจมขยับไหว ท่านปู่นอนอยู่ตรงนั้น ยามนี้แก่ชรายิ่งนัก เขามองซูหมิง มองชายหนุ่มที่เติบใหญ่ตรงหน้าตน

“ปู่เดินกับเจ้าต่อไปไม่ไหวแล้ว…ลาซู ไม่ต้องเสียใจ ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ก็ต้องมาถึง….จำคำพูดปู่ที่เคยบอกกับเจ้าตลอดหลายปีมานี้ไว้ให้ดี จำเอาไว้…เขาแดนหมาน…เจ้าจะต้องไปหาเขาแดนหมาน จะต้องไปหาภูเขาลูกนี้ให้ได้

ภูเขานี้อยู่ที่ใดปู่เองก็ไม่แน่ใจ ปู่รู้เพียงว่ามัน…อยู่ในใจเจ้า จงไปหาเขาลูกนี้ เจ้าจะเจอทุกอย่างที่เจ้าต้องการ”

ท่านปู่เอ่ยประโยคสุดท้ายกับซูหมิงก่อนสิ้นใจลง

ท่านปู่จากไปแล้ว…

วันที่สามหลังท่านปู่สิ้นลง ขั้นพลังของซูหมิงก้าวสู่ขั้นชำระล้าง กลายเป็นนักรบชำระล้างคนที่สองในเผ่า คนแรกคือเป่ยหลิง

การมีอยู่ของขั้นชำระล้างสองคนทำให้เผ่าเขาทมิฬมีตำแหน่งสูงยิ่งในหมู่บริวารของเผ่าร่องลม เผ่าเขาทมิฬจึงอพยพกลับบ้านเกิดอีกครั้ง ต่อให้เป็นเผ่าร่องลมก็ไม่ขัดขวางการอพยพ เพราะเผ่าเขาทมิฬในตอนนี้มีคุณสมบัตินั้นแล้ว

ห่างจากบ้านเกิดมาสิบปี ตอนที่ชาวเผ่าเขาทมิฬทั้งหมดกลับมาถึงซากเขาทมิฬเมื่อสิบปีก่อน มีผู้สูงอายุจำนวนมากน้ำตารินไหล คุกเข่าบนพื้นแล้วร้องไห้เสียงดังกังวาน

ภูเขาทมิฬไม่ใช่อย่างในอดีตอีกแล้ว มีเพียงสี่ยอดเขาเท่านั้น หลังจากก่อสร้างชนเผ่าใต้ภูเขาทมิฬอีกครั้ง ก็ค่อยๆ เกิดเป็นเค้าโครงอย่างในอดีต

ที่นี่คือบ้าน คือครอบครัวเผ่าเขาทมิฬ และเป็นจิตวิญญาณของชาวเผ่าเขาทมิฬ

กาลเวลาผ่านไปแต่ละฤดูอย่างเงียบเชียบ งานแต่งงานของเป่ยหลิงกับเฉินซินจัดขึ้นในฤดูใบไม้ร่วงใต้ภูเขาทมิฬ งานนี้จัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริก เพราะหนึ่งเป็นจ้าวเผ่าเขาทมิฬ และอีกหนึ่งเป็นบุตรสาวของจ้าวเผ่าเขาทมิฬรุ่นก่อน

ตอนที่เป่ยหลิงก้าวเข้าสู่ขั้นชำระล้างก็ได้เป็นจ้าวเผ่าเขาทมิฬ

งานมงคลที่จัดขึ้นหลังจากกลับบ้านเกิดนี้มีเสียงพูดคุยหัวเราะกันอย่างมีความสุข ผู้คนจำนวนมากต่างเมาสุรากัน ซูหมิงยืนอยู่ไกลๆ อย่างเงียบเชียบ มองชาวเผ่าเต้นระบำรอบกองไฟในยามค่ำคืน ข้างหูได้ยินเสียงเพลงแห่งความสุข สายตามองรอยยิ้มมีความสุขบนใบหน้าเฉินซิน มองความน่าเกรงขามของจ้าวเผ่าภายใต้ใบหน้าหล่อเหลาของเป่ยหลิง พลางร่ำสุราอยู่อย่างเงียบๆ

เขาคิดถึงไป๋หลิง นางจากไปสิบเจ็ดปีแล้ว

ซูหมิงยังจำจุมพิตหนาวเย็นตอนจากกับไป๋หลิงเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนได้ ยังจำสัญญานั้นได้อยู่

เขายังจำฝันอันยาวนานในหัวตอนตื่นขึ้นเมื่อสิบเจ็ดปีก่อนได้เป็นบางครั้ง มันเป็นฝันที่ยาวนานนัก

คืนนี้ซูหมิงเมาแล้ว เขาเงียบขรึมมาตลอดสิบเจ็ดปี มีนิสัยไม่ชอบพูดมาก เขาจึงมีความน่าเกรงขามอย่างยิ่งในเผ่าเขาทมิฬ โดยเฉพาะหลังจากเป็นจ้าวหมานเขาทมิฬแล้ว ความน่าเกรงขามของเขายิ่งทำให้ชาวเผ่าทุกคนไม่กล้าพูดต่อหน้าเขามากนัก

ซูหมิงถือไหสุรามองเป่ยหลิงกับเฉินซินด้วยความมึนเมา ก่อนหมุนตัวเดินไปทางกระโจมหนังของตนและเริ่มฝึกฝน นอกกระโจมของเขามีวานรเพลิงอายุค่อนข้างมากนั่งยองอยู่ มันคือเสี่ยวหง

กาลเวลาผ่านพ้นไป การจากลาเกิดแก่เจ็บตายค่อยๆ วาดโครงร่างออกมาเป็นวงปีตามใบไม้ที่ร่วงโรยในฤดูใบไม้ร่วง วาดออกมาทีละวงๆ เป็นตัวแทนของแต่ละปี

เวลาผ่านไปอีกสามสิบปีแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version