ตอนที่ 69 ไปเดินวนเล่นกับข้าได้หรือไม่?
เก้าร้อยสี่!
ในเสี้ยววินาทีที่ซูหมิงเหยีบบบนขั้นเก้าร้อยสี่ บนลานด้านนอก หัวใจของทุกคนราวกับพลันเต้นแรงพร้อมกัน
จิงหนานมีสีหน้าสับสน มองชื่อของโม่ซูบนรูปปั้น เงียบขรึมไม่กล่าวสิ่งใด ท่านปู่โม่ซังที่อยู่ด้านข้างเองก็เช่นเดียวกัน
เยี่ยวั่งนั่งอยู่ไกลออกไป หังใจเต้นตึกตัก เดิมทีเขาคิดจะนั่งต่อ ทว่าร่างกายกับสั่งให้ยืนขึ้น สายตาจ้องชื่อของโม่ซูเขม็ง ไม่มองสิ่งอื่นใด การยืนของเขาไม่เป็นที่สนใจของผู้คน ทุกสายตาในยามนี้ล้วนมองชื่อของโม่ซูบนรูปปั้น
ตึงเครียด กดดัน ลมหายใจเงียบขรึมก่อตัวขึ้นเป็นพลังงานประหลาด ประดุจแรงต้านปกคลุมทั้งลาน ทำให้ที่แห่งนี้กลายเป็นเงียบสงัดอย่างแท้จริง
พวกเขากำลังรอ รอให้ซูหมิงก้าวเดินต่อไป เดินไปจนถึงขั้นเก้าร้อยห้า…
ผ่านไปพักใหญ่ จำนวนขั้นหลังชื่อของโม่ซูก็ยังไม่เคลื่อนไหว ทว่าทุกคนก็ยังคงเฝ้ารอ ไม่มีใครกล่าวสิ่งใด ไม่มีเสียงสนทนา กระทั่งเสียงลมหายใจยังแผ่วเบา….
ผ่านไปสักครู่หนึ่ง จำนวนขั้นหลังชื่อของโม่ซูพลันขยับขึ้นจากเก้าร้อยสี่เป็นเก้าร้อยห้า! ทันใดนั้นทั้งลานราวกับระเบิดเสียงดังสนั่นขึ้นพร้อมกัน สั่นสะเทือนโดยรอบแปดทิศ
“เก้าร้อยห้า! เสมอกับเยี่ยวั่งแล้ว!”
“โม่ซู โม่ซู โม่ซู!”
เยี่ยวั่งมีใบหน้าซีดขาว ร่างกายเหมือนกับถูกพลังมหาศาลโจมตี ซวนเซถอยหลังไปสองก้าว ดวงตาเหม่อลอย บนใบหน้าฝืนยิ้มด้วยความปวดร้าว
ซูหมิงในเวลานี้ เมื่อเหยียบบนขั้นเก้าร้อยห้าแล้ว ก็มีใบหน้าขาวซีดเช่นเดียวกัน ตั้งใจจะเดินต่ออีกสักก้าว ทว่ากลับไม่มีแรงเหลืออยู่แล้ว จึงหมุนตัวมองไปบนยอดเขาที่ถูกหมอกปกคลุม เขาหอบหายใจแรง ทว่านัยน์ตากลับเป็นประกาย แม้เขาจะขึ้นไปไม่ถึงยอดเขา ทว่าตอนนี้ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่า เขาก็ยืนอยู่บนจุดสูงสุดแล้ว ค่อยๆ แหงนหน้าขึ้น
เขามองเห็นฟ้าดินไกลห่างผ่านช่องว่างระหว่างหมอก มองเห็นความกว้างใหญ่ไพศาลเลือนราง ตรงนั้น เขาไม่ทราบว่ามันเป็นที่แห่งใด จะมีชนเผ่าอื่นอาศัยอยู่หรือไม่
ที่ตรงนั้น…อยู่ไกลมาก…ไกลเหลือเกิน
ยามนี้มีลมพัดผ่าน ทำให้เส้นผมยาวซูหมิงปลิวไสว เหงื่อบนตัวแห้งสนิท เขาหยิบตราหินขึ้นมาก่อนโยนลงไปด้านล่าง
ในทันทีที่ตราหินหล่นลง มันพลันกลายเป็นหมอกดำเข้ามาโอบล้อมซูหมิงแล้วพาออกจากเขาลูกนี้! หมอกดำพุ่งทะยานด้วยความเร็วเป็นสายรุ้งยาว ฟ้าดินพลันบิดเบี้ยว พุ่งออกมาจากเขาร่องลมที่ถูกปิดผนึก!
ณ บนลาน ในช่วงที่ชื่อของโม่ซูกลายเป็นสีเทาบนรูปปั้นทั้งเก้า ฟ้าดินพลันบิดเบี้ยว ก่อนมีหมอกดำลอยเข้ามาตรงใจกลาง ในชั่ววินาทีนั้น สายตาของทุกคนล้วนจับจ้อง อูเซินยืนอยู่นานแล้ว เขามองหมอกดำที่ปรากฏขึ้น ก่อนเห็นเป็นเงาเลือนรางอยู่ในหมอกที่กำลังสลายไป
เฉินชงมองตาไม่กะพริบเช่นเดียวกัน เขามองเข้าไปในหมอก เห็นเงาคนเริ่มชัดเจนขึ้น เขาอยากทราบว่า โม่ซูเป็นใครกันแน่!
ส่วนปี้ซู่ก็เช่นเดียวกัน จิตสังหารในแววตารุนแรงมากขึ้น เขาในยามนี้ไม่ปกปิดแม้แต้น้อย กำหมัดแน่น จ้องเงาคนในหมอกเขม็ง
ไม่ใช่เพียงแค่พวกเขา ทุกคนบนลานล้วนเป็นเช่นนี้ ชาวเผ่าหลายร้อยคนที่เฝ้ามองงานประลองมาตลอดสองวัน ยามนี้เริ่มทยอยมองหมอกดำด้วยความเคารพ มองเงาคนที่กำลังเดินออกจากหมอกอย่างเชื่องช้า
นอกจากผู้ชมเหล่านี้แล้ว คนที่ให้ความสนใจโม่ซูมากกว่าคือผู้เข้าร่วมงานประลองในด่านแรกนี้กับซูหมิง ไม่ว่าจะอยู่อันดับใด ตอนนี้พวกเขาแทบหยุดลมหายใจ จับจ้องเป็นตาเดียวกัน
ยายเฒ่าเผ่ามังกรทมิฬ ดวงตาเป็นประกายวูบวาบ มองเงาคนในหมอกดำ นางอยากทราบว่าบุคคลนี้จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร แล้วอยู่เผ่าไหนกันแน่
ซือคงตื่นเต้น มองไปเช่นเดียวกัน ส่วนไป๋หลิงที่อยู่ด้านข้างเหมือนติดโรคติดต่อจากการกลับมาของโม่ซู อดมองไปไม่ได้
เป่ยหลิง อูลา เหลยเฉิน ผู้นำกองรักษาการณ์ ซานเหิน เป็นต้น คนเหล่านี้ล้วนจ้องมองไปในหมอกที่กำลังหายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
เยี่ยวั่งสูดลมหายใจเข้าลึก ราวกับคลี่คลายความสับสนในจิตใจ จ้องมองหมอกที่มาเยือนตาไม่กะพริบ มองบุคคลหนึ่งที่กำลังเดินออกมาจากหมอก
ทุกคนล้วนจับจ้องเป็นตาเดียวกัน!
ซูหมิงเดินออกมาจากหมอกทีละก้าว ทุกสายตาจับจ้องไปที่ตัวเขา ในตอนที่หมอกจางหายไปจนหมด และตอนที่รูปร่างหน้าตาของเขาเด่นชัดในสายตาของทุกคน ทั้งลานพลันเงียบเป็นเป่าสาก
ใบหน้าและรูปร่างดูธรรมดา สวมเสื้อหนังทั่วไป ไม่มีความเคร่งขรึมเหมือนอูเซิน ไม่มีเสน่ห์เรียกดาวมาล้อมเหมือนกับเฉินชง ไม่มีความลึกลับเหมือนปี้ซู่ ทั้งยังไม่มีความหยิ่งผยองเฉกเช่นเยี่ยวั่ง
เมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คน ยากจะเป็นที่สังเกต ธรรมดาจนไม่อาจธรรมดาไปอีกได้ ทว่าทุกคนกลับทราบดีว่า บุคคลนี้ก่อนงานประลองในด่านแรกอาจจะดูธรรมดา ทว่าตอนนี้กลับไม่ธรรมดา เป็นดั่งแสงอาทิตย์ร้อนแรงน่าตื่นตะลึง!
เฉินชงเหม่อมองซูหมิง เขาไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะดูธรรมดาเช่นนี้ ธรรมดาจนยากจะให้จดจำ ทว่าเขากลับเหมือนจำได้รางๆ ว่า ก่อนงานประลองบุคคลนี้เคยเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่มาโอบล้อมเขา…เพียงแต่ว่าตอนนั้น เขาไม่ได้สนใจแม้แต่น้อย
ปี้ซู่มองซูหมิง ทว่าก็จำไม่ได้ แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยพบกัน ทว่าเขากลับไม่สนใจและมองข้ามทันที เวลานี้ได้เห็นซูหมิงจึงเหม่อลอยเช่นเดียวกัน
อูเซินมองซูหมิงตลอด เขาหรี่ตาลง ลางสังหรณ์บอกเขาว่า มีความเป็นไปได้สูงมากที่บุคคลนี้จะเป็นคนชิงโลหิตต้นกำเนิดของเขา…..ทว่า…สีหน้าอูเซินกลับดูขมขื่น เขาไม่กล้าไปทวงคืน…โม่ซูคนนี้เป็นโอรสแห่งสวรรค์เหมือนกับเยี่ยวั่ง จากวันนี้ไปชื่อของเขาจะโด่งดังไปทั้งแดนแปดทิศ
ยายเฒ่าเผ่ามังกรทมิฬมองซูหมิงที่ดูธรรมดา ทว่าแววตากลับชื่นชม การพบกันครั้งแรก ภาพความประทับใจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เหมือนนางในตอนนี้ที่ไม่ชอบซูหมิง แต่กลับชื่นชมโม่ซู ไม่ทราบว่าหลังจากนางรู้ว่าสองคนนี้เป็นคนเดียวกันแล้ว จะตื่นตะลึงและสับสนเพียงใด
ซือคงหัวใจเต้นแรง นัยน์ตาฉายแววชื่นชม เขาเลื่อมใสผู้แข็งแกร่ง โดยเฉพาะบุคคลตรงหน้าของเขาตอนนี้ ทั้งยังเป็นโอรถแห่งสวรรค์เหมือนกับเยี่ยวั่ง!
ไป๋หลิงมองซูหมิงอย่างเหม่อลอย ตัวสั่นเทาเล็กน้อย นางเห็นดวงตาของซูหมิง ดวงตานั้นทำให้นางรู้สึกคุ้นเคย….เพียงแต่นางไม่ทราบว่า เมื่อสองวันก่อน ดวงตาคู่นี้ก็เคยมองนางเช่นเดียวกัน
เป่ยหลิง อูลา เหลยเฉิน ทุกคนในเผ่าเขาทมิฬล้วนมองซูหมิงที่กำลังก้าวเดิน โดยรอบยังคงเงียบสงัด ยามนี้ซูหมิงหัวใจเต้นแรง อย่ามองเพียงแค่เปลือกนอกที่สงบนิ่งของเขา ทว่าในใจกลับตื่นเต้นอย่างรุนแรง เขาไม่เคยถูกสายตาจับจ้องมากมายขนาดนี้มาก่อน ถึงอย่างไรเขาก็ยังเป็นเด็ก
ผู้คนโดยรอบแหวกทางเดินให้แก่เขา ซูหมิงที่ดูธรรมดาคนนี้มีประกายแสงที่แผดเผาผู้คนรอบข้างได้เช่นเดียวกัน ทำให้พวกเขาจำต้องถอยห่าง
บางทีเขาอาจจะไม่มีความเคร่งขรึมเหมือนกับอูเซิน ทว่าใบหน้าธรรมดาของเขากลับมอบความสงบนิ่งก่อนลมพายุคลั่งและความน่ากลัวให้แก่ผู้คน บางทีเขาอาจไม่ได้เป็นดาวล้อมเดือนเหมือนกับเฉินชง ทว่ารูปร่างธรรมดาของเขากลับซ่อนความมั่นคงที่เพียงพอจะทำลายดาวเดือนได้ทั้งหมด เขา ไม่ต้องเป็นดั่งดาวล้อมเดือน
บางทีเขาอาจไม่มีความหยิ่งผยองเฉกเช่นเยี่ยวั่ง ทว่ากลับมีคุณสมบัติพอจะทำให้เยี่ยวั่งผู้หยิ่งผยองต้องให้ความสนใจ
“ไม่อยากเชื่อ….ไม่อยากเชื่อว่าจะเป็นเขา…” ท่ามกลางฝูงชน ชายร่างกำยำคนหนึ่งที่ถอยเปิดทางให้ซูหมิง สีหน้าของเขาเหม่อลอย เขาคือคนที่ลากซูหมิงให้ไปหาเฉินชงด้วยกัน ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่ตนลากไปด้วยก่อนหน้านี้จะเป็นโม่ซู
ไกลออกไป ผู้อาวุโสปากแหลมแก้มลิงเบิกตากว้างเช่นเดียวกัน แม้ว่าก่อนหน้านี้เขาจะคาดการณ์เอาไว้บ้างแล้ว ทว่าพอได้เห็นกับตาตัวเอง ก็ยังคงยากจะเชื่อได้
ก่อนเริ่มงานประลองในด่านแรก บนลานมีทั้งหมดสามคนที่เป็นจุดสนใจ เฉินชง ไป๋หลิง และเยี่ยวั่ง! สามคนนี้เป็นดั่งสามใจกลางดึงดูดสายตาของผู้คนจำนวนมาก ทว่าตอนนี้จุดสนใจบนลานมีเพียงหนึ่งเดียว!
“โม่ซู!” ขณะซูหมิงกำลังเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชนเงียบสงัด พลันมีเสียงหนึ่งดังขึ้น เสียงนั้นเป็นของเยี่ยวั่ง
ซูหมิงชะงักฝีเท้า หันกลับไปมองเยี่ยวั่งที่อยู่ไม่ไกลนัก นี่เป็นครั้งแรกที่เกิดอารมณ์และความรู้สึกระคนกัน เทียบกับตอนซูหมิงอยู่ในกลุ่มคนก่อนเริ่มงานประลองแล้ว มันแตกต่างกัน….โดยสิ้นเชิง!
“โม่ซู ในด่านที่สอง พวกเรามาแข่งกันอีก!” เยี่ยวั่งกล่าวขึ้นเรียบๆ ด้วยสีหน้าถือมั่น แม้จะเสมอเป็นที่หนึ่งเหมือนกัน ทว่าด้วยความหยิ่งผยองของเขา ทำให้เขาไม่อาจยอมรับได้ เขาต้องการแข่งต่อในด่านที่สองและสาม!
“ข้าจะไม่เข้าร่วมในด่านที่สอง…” ซูหมิงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าวขึ้นเรียบๆ เขาเคารพเยี่ยวั่ง เคารพคู่ต่อสู้คนนี้ กล่าวจบซูหมิงจึงหมุนตัว แล้วมองไปทางท่านปู่โม่ซัง เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าท่านปู่ เห็นความหมายแฝงในแววตาของเขาที่ไม่ให้เผยตัวตน
ซูหมิงละสายตาแล้วมองไปทางเผ่ามังกรทมิฬ มองไป๋หลิงที่ยืนอยู่ข้างยายเฒ่า! เขายิ้มเล็กน้อย ก่อนเดินไปหาไป๋หลิงด้วยความตื่นเต้นจากสายตาโดยรอบ
“พรุ่งนี้ตอนเย็น ไปเดินวนเล่นกับข้าได้หรือไม่…..” ซูหมิงเดินเข้ามาใกล้ ไม่สนใจยายเฒ่าที่กำลังยืนตะลึง และไม่สนใจซือคงที่กำลังตื่นเต้น แต่มองไปในดวงตาของไป๋หลิง กะพริบตากล่าวขึ้นเบาๆ
ไป๋หลิงงุนงง ไม่รู้ว่าควรจะกล่าวอย่างไรดี ทว่าตอนที่นางได้ยินคำว่าเดินวนเล่น และเห็นซูหมิงกะพริบตา รวมถึงความคุ้นจากนัยน์ตา ร่างแบบบางกลับสั่นเทา ใบหน้าแดง ก่อนพยักหน้าตกลง