ตอนที่ 68 มุ่งมั่น ยืนหยัด
บนลานไม่มีเสียงสนทนาดังขึ้นแม้แต่น้อย ผู้คนในยามนี้ล้วนมองไปยังชื่อแถบหนึ่งที่ยังไม่เป็นสีเทาเพียงหนึ่งเดียวบนรูปปั้น
โม่ซู ห่างจากอันดับหนึ่งเพียงห้าขั้นเท่านั้น!
เยี่ยวังในเวลานี้ได้พวกสือไห่มาช่วยปรับลมหายใจ จึงค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาของเขายังมีเส้นเลือดฝอยหลงเหลืออยู่ จ้องมองอันดับรายชื่อบนรูปปั้น สีหน้าแฝงไว้ด้วยความซับซ้อน
สือไห่ก้มหน้าลงข้างเยี่ยวั่งแล้วกล่าวอะไรบางอย่าง ทว่าเยี่ยวั่งกลับไม่สนใจ เหมือนไม่ได้ยิน เขายังคงจ้องอันดับรายชื่อบนรูปปั้นตาไม่กะพริบ สือไห่ขมวดคิ้ว ถอนหายใจเบาก่อนหมุนตัวจากไป
“ข้าคือเยี่ยวั่ง…..จะแพ้ไม่ได้! ข้าไม่สนใจเรื่องพวกนั้นหรอก!” เยี่ยวั่งกำหมัดแน่น เขาในยามนี้ไม่ใช่หมายเลขหนึ่งผู้โอหังในรุ่นเยาว์อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นคนธรรมดาที่พยามอย่างสุดความสามารถจนขึ้นไปเหยียบบนขั้นเก้าร้อยห้าได้สำเร็จ ทว่าก็ต้องได้รับบาดเจ็บกลับมา ความตึงเครียดในใจของเขามีมากกว่าทุกคนหลายเท่านัก เพียงแต่มันก็เท่านั้น เขายังคงมีความหยิ่งผยอง มีเกียรติยศของเขา เขาคิดว่าคำแนะนำของสือไห่เป็นเรื่องน่าอับอาย!
โดยรอบเงียบสงัด เสียงลมหายใจจากทุกคนชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเหล่าคนที่มองว่าซูหมิงเป็นตัวตลกในตอนแรก ยามนี้ในสมองของพวกเขาล้วนขาวโพลน เหลือไว้เพียงความตื่นตะลึงที่ยากจะเชื่อได้
พวกเขาได้เห็นเรื่องมหัศจรรย์กับตา ได้เห็นการผงาดขึ้นจนทำให้ต้องคลุ้มคลั่ง! เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน มีคนหนึ่งจากอันดับสุดท้าย ค่อยๆ ไต่ขึ้นมาทีละก้าวจนถึงจุดยอดสุด!
มีคนผู้หนึ่งแซงหน้าอูเซิน แซงหน้าปี้ซู่และเฉินชง กระทั่งยังบีบจนเยี่ยวั่งได้รับบาดเจ็บจนถึงขั้นต้องออกจากยอดเขาร่องลม ทำให้เขาลูกนี้เป็นของเขาคนเดียว โม่ซู!
ในวงสนทนาของห้าสิบอันดับแรก เวลานี้เงียบเป็นเป่าสาก พวกเขามองชื่อของโม่ซูบรูปปั้นทั้งเก้าอย่าสุขุม สีหน้าดูซับซ้อน มีทั้งชื่นชม ริษยา และเฝ้ารอเป็นต้น ในเวลานี้ไร้ซึ่งข้อครหาใดๆ
ส่วนผู้นำจากแต่ละเผ่า ยามนี้ไม่แตกต่างกัน ชื่อของโม่ซูในแววตาได้อยู่ยอดสุดกลางใจพวกเขาเป็นที่เรียบร้อย บุคคลเช่นนี้ เมื่อกลับมาแล้วจะต้องมีเสียงฮือฮาดังเกรียวกราวอย่างแน่นอน
ผู้คนจำนวนมากต่างอยากทราบว่า เขาคนนี้…เป็นใคร…..เขามีหน้าตาเป็นอย่างไร…เพียงแต่ซูหมิงก่อนหน้านี้ดูธรรมดาเกินไปจริงๆ ก่อนเริ่มงานประลองแทบจะไม่มีใครสนใจเขาเลย
ต่อให้เป็นชายร่างกำยำที่ลากเขาไปหาเฉินชงด้วยกันก่อนหน้านี้ ตอนนี้กำลังมองอันดับรายชื่อบนรูปปั้นอย่างฮึกเหิม นัยน์ตาฉายแววตื่นเต้นและเฝ้ารอคอย
มีเพียงผู้อาวุโสปากแหลมแก้มลิงเท่านั้น เวลานี้เขายืนอยู่กลางผู้คน สีหน้าตื่นตะลึง เขามั่นใจว่าทุกครั้งที่มีคนยอมแพ้กลับมายังลานเขาจะเห็นอีกฝ่ายทันที ทว่ายามนี้ผู้เข้าแข่งขันทุกคนยกเว้นโม่ซูกลับมายังลานหมดแล้ว เขากลับไม่พบหนุ่มน้อยคนที่เขาเจอเป็นคนแรก
“เป็นไปไม่ได้…” เป้ยฉงมองชื่อของโม่ซูบนรูปปั้นด้วยความเหลือเชื่อ
“หรือว่า….จะเป็นเขาจริงๆ!”
ไกลออกไป ณ มุมหนึ่งบนลาน ท่านปู่โม่ซังและจิงหนานต่างมองรูปปั้นอย่างเงียบขรึม ไม่สนทนาใดๆ สีหน้าของโม่ซังเรียบเฉย ทว่าในใจกลับสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง
ส่วนจิงหนาน เขาเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับซูหมิง ในยามนี้มีสีหน้าตื่นตะลึงจนไม่อาจปกปิดได้ ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่เป็นดั่งมดในสายตาของเขา กระทั่งก่อนหน้านี้เขายังคิดว่าเพระโชคช่วยถึงติดหนึ่งในห้าสิบได้อย่างซูหมิง จะอยู่เหนือความคาดหมายของตนได้ถึงเพียงนี้ ทำให้เขาประหลาดใจได้ทุกครั้ง และตอนนี้ก็ทำให้เขาสั่นสะเทือน
สำหรับเบื้องหลังชีวิตของซูหมิง ในใจของจิงหนานอยากรับรู้ยิ่งนัก คำพูดของโม่ซังเมื่อวานเหมือนกับดังก้องในความคิดของเขาอีกครั้ง เขาจึงเกิดความลังเลยิ่งขึ้น
ผ่านไปพักใหญ่ ผู้คนบนลานยังคงรอคอยอย่างไม่เบื่อหน่าย เมื่อแสงตะวันขึ้นตรงขอบฟ้าห่างไกล ยามรุ่งอรุณมาเยือน ซูหมิงยืนอยู่บนขั้นเก้าร้อย ลืมตาขึ้น บนร่างกายของเขามีเส้นเลือดเพียงหนึ่งเส้น ทันทีที่ลืมตาขึ้นเส้นเลือดดังกล่าวพลันหายไป
ซูหมิงแหงนหน้ามองยอดเขาท่ามกลางแสงสว่าง ทว่าน่าเสียดาย มันกลับถูกหมอกปกคลุมจนมิด ไม่เปิดออกเหมือนยามค่ำคืน….ซูหมิงเงียบขรึมอยู่นาน ก่อนก้มมองตราหินในมือ
“เก้าร้อยห้า…” ซูหมิงพึมพำ
“ในเมื่อเดินมาถึงตรงนี้แล้ว…..เช่นนั้น…..ข้าจะแข่งกับเขาสักครั้ง!” ซูหมิงพลันแหงนหน้าขึ้น นัยน์ตาฉายแววเด็ดเดี่ยว สูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้าตรู่เข้าไปเต็มปอด ก่อนพลันยกเท้าขึ้นเหยียบบนขั้นเก้าร้อยหนึ่ง
ทว่ายามนี้ฟ้าสว่าง ไร้แสงจันทร์ ซูหมิงสัมผัสได้ถึงแรงต้านถาโถมเข้าใส่โดยตรง ดีที่ยามเช้าแรงต้านลดลงไปมาก หากเทียบกับยามค่ำคืนแล้ว ตอนนี้ซูหมิงรู้สึกว่ามันพอๆ กัน
แม้ว่าเป็นเช่นนั้น ทว่านี่ก็เป็นขั้นเก้าร้อยขึ้น ตรงจุดนี้อยู่ใกล้กับยอดเขาสูงสุด อัดแน่นไปด้วยแรงต้านมหาศาลเพียงพอจะบดขยี้คนให้แหลกสลายได้ทั้งเป็น!
เกรงว่าเพียงหนึ่งก้าวยังมากกว่าเดินข้างล่างหลายก้าว หรือกระทั่งถึงหลายสิบก้าว!
เมื่อซูหมิงเหยียบเท้าขวาลง เขาตัวสั่นสะท้าน เส้นเลือดหนึ่งร้อยห้าสิบหกเส้นพลันปรากฏขึ้นโอบล้อมไปทั้งตัว เพื่อต่อต้านแรงต้านที่ถาโถมเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง
ซูหมิงเคลื่อนไหวแล้ว!
ในเสี้ยววินาทีที่เขาเคลื่อนไหว ผู้คนบนลานด้านล่างที่เงียบขรึมมานาน เหมือนกับว่าได้ปลดปล่อยแรงกดดันที่สะสมมาตลอด ส่งเสียงฮือฮาดังเกรียวกราว!
“เก้าร้อยหนึ่ง!”
“เขาเดินไปถึงเก้าร้อยหนึ่งแล้ว!”
สายตาจำนวนมากพลันจับจ้องไปบนชื่อที่ยังไม่กลายเป็นสีเทาเพียงหนึ่งเดียวบนรูปปั้นทั้งเก้า ในเวลานี้ พวกเขาลืมทุกสิ่ง ในแววตา ในความคิด เหลือเพียงแถบรายชื่อที่ยังไม่มืดดับไป
เฉินชงตัวสั่นเทา สูดลมหายใจเข้าลึก จ้องมองอย่างจริงจัง ในความคิดของเขานี่เป็นช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดในงานประลองครั้งนี้ กระทั่งยังดุเดือดกว่าหลายครั้งที่ผ่านมา เขาจะไม่ยอมคลาดสายตาเด็ดขาด
ปี้ซู่กำหมัดแน่น ประกายแสงเย็นเยือกในแววตาเด่นชัดขึ้น ภายในแฝงไว้ด้วยความริษยา ราวกับเป็นจิตสังหารที่อัดแน่นไปด้วยความแค้น คนที่มีจิตสังหารเช่นเดียวกันในตอนนี้ยังมีจ้าวเผ่าภูผาดำ เขาจ้องชื่อของโม่ซูบนรูปปั้นเขม็ง สีหน้ามืดครึ้มราวกับน้ำแข็งที่ไม่อาจละลายได้
เก้าร้อยสอง!
ในตอนที่จำนวนขั้นบันไดหลังชื่อของโม่ซูเปลี่ยนเป็นเก้าร้อยสอง ทุกคนที่กำลังจับจ้องอยู่บนลาน ราวกับหัวใจเต้นแรง
เหมือนทุกก้าวของซูหมิง ไม่ได้เหยียบเพียงแค่ขั้นบันไดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสภาพจิตใจของทุกคนในที่แห่งนี้ มันเป็นเหตุการณ์ที่หาได้ยากยิ่งนัก นี่เพียงพอจะแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของซูหมิงในสายตาของทุกคน เพียงพอแสดงให้เห็นว่าทุกการเคลื่อนไหวของเขามีผลกระทบต่อสภาพจิตใจของทุกคน!
ก่อนหน้านี้ นี่เป็นเกียรติยศและความภูมิใจของเยี่ยวั่งเพียงผู้เดียว ทว่ายามนี้ เยี่ยวั่งกลายเป็นเพียงผู้รับชม เขานั่งอยู่ไม่ไกลนัก หัวใจพลันเต้นแรงทุกครั้งที่จำนวนขั้นของซูหมิงเคลื่อนไหว
ความรู้สึกเช่นนี้ เขาไม่คุ้นชินแม้แต่น้อย ทำให้เขา…จำฝังใจ
“เก้าร้อยสาม เก้าร้อยสามแล้ว! อีกแค่สองก้าวก็จะเสมอกับเยี่ยวั่ง อีกสามก้าวก็จะแซงเยี่ยวั่งเป็นอันดับหนึ่ง!”
“เขา…จะเป็นที่หนึ่งได้หรือไม่…”
รูม่านตายายเฒ่าเผ่ามังกรทมิฬหดเล็กลง ลมหายใจกระชั้นถี่เล็กน้อย ไป๋หลิงที่อยู่ด้านข้าง ยามนี้ไม่เหม่อลอย แต่แหงนหน้าขึ้นมองชื่อของโม่ซูบนรูปปั้น ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ณ กลุ่มเผ่าเขาทมิฬ ซานเหินที่นั่งเงียบอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าตอนนี้จะยังเป็นเช่นนั้น ทว่าดวงตาที่หรี่ลงของเขากลับฉายประกายแสงพิลึก
เป่ยหลิงมีสีหน้าตื่นเต้น ด้วยฐานะของเขาในเผ่าเขาทมิฬ เดิมทีไม่น่าจะเผยสีหน้าเช่นนี้ออกมาโดยง่าย จำต้องเย็นชาตลอดเวลา ทว่ายามนี้เขากลับยับยั้งความตื่นเต้นเอาไว้ไม่อยู่ กระทั่งยังจินตนาการว่าตัวเขาเข้าไปแทนที่ของโม่ซู บดขยี้ความคึกคักของพวกโอรสแห่งสวรรค์จากเผ่าร่องลม นี่ทำให้กำหมัดแน่นด้วยความฮึกเหิม
อูลาฮึกเหิมยิ่งกว่าเขา ใบหน้าแดงก่ำ หัวใจเต้นแรง ปรารถนาจะให้คนชื่อโม่ซูเดินเร็วขึ้นอีกใจจะขาด ส่วนเหลยเฉิน เขาล้มเลิกความคิดที่ว่าโม่ซูเป็นซูหมิงไปแล้ว เขาคิดว่านี่มันดูเกินจริงไป
“เก้าร้อยสาม โม่ซูไปถึงเก้าร้อยสามแล้ว!” ถึงอย่างไรอูลาก็ยังเป็นเด็กสาว ยามนี้ตะโกนอย่างตื่นเต้น ชี้ไปยังอันดับรายชื่อบนรูปปั้น นัยน์ตาฉายประกายฮึกเหิม ทั้งยังมีอารมณ์พิเศษซ่อนอยู่
เกิดคลื่นลมพายุเสียงดังเกรียวกราวขึ้นบนลาน เสียงสนทนาดังก้องกังวาน เยี่ยวั่งยังคงนั่งขัดสมาธิ เส้นเลือดฝอยในดวงตาปรากฏขึ้นอีกครั้ง กำหมัดแน่น ความซับซ้อนในใจยากจะอธิบายได้
เขาเคยเป็นโอรสแห่งสวรรค์ เคยยืนอยู่บนจุดสูงสุด เป็นที่เฝ้ารอและจับจ้องของทุกคนบนลาน ทว่าตอนนี้…เขากลับเป็นเพียงส่วนหนึ่งของผู้ชม จุดพลิกผันเช่นนี้ ทำให้เขายากจะรับไหว
ส่วนเสียงฮือฮาและเสียงร้องอย่างตื่นตะลึงที่ดังเข้ามา สำหรับเขาแล้ว มันเหมือนคมมีดแหลมที่แทงหน้าอกจนเจ็บปวด……
ซูหมิงยืนอยู่บนขั้นเก้าร้อยสาม แม้เขาจะยืนตัวตรง ทว่าร่างกายกลับสั่นเทาเหมือนจะล้มลง ตั้งแต่ขั้นเก้าร้อยเป็นต้นมา ต่อให้เป็นยามกลางวัน ทว่าแรงต้านที่ถาโถมกลับรุนแรงจนยากจะจินตนาการได้
เดินเพียงสามก้าว ซูหมิงก็สัมผัสได้ถึงขีดจำกัดอีกครั้ง ความเจ็บปวดจากร่างกาย ไม่ใช่สิ่งที่เส้นเลือดจะต้านทานได้อีกต่อไป เสียงกึกกึกดังก้องข้างหูเขา มันเป็นเสียงของกระดูกทั่วร่างที่ไม่อาจทนรับไหว
ซูหมิงยืนอยู่ที่เดิม หอบหายใจแรง หัวใจเต้นเร็วราวกับจะแหลกสลาย ซ้ำยังกลายเป็นความเจ็บปวด ทำให้ใบหน้าขาวซีด ห่างจากขั้นเก้าร้อยห้าอีกเพียงสองขั้นเท่านั้น…
กระทั่งตรงนี้ยังไม่อาจพักผ่อนได้ เพราะมีแรงต้านอยู่ ต่อให้พักผ่อนก็ยากจะโคจรโลหิตในร่าง ซูหมิงตัวสั่นเทา พลันก้าวขึ้นไปบนขั้นเก้าร้อยสี่
ในตอนที่เหยียบฝ่าเท้าลง ทั้งตัวส่งเสียงดังสนั่น กระอักโลหิตมาหนึ่งกอง ซูหมิงราวกับจะล้มลง ทว่าเขากลับฝืนเอาไว้ กระทั่งยืนจนมั่นคงแล้ว เท้าซ้ายจึงค่อยก้าวตามขึ้นมาบนขั้นเก้าร้อยสี่
หมดแรงไปทั้งตัว เหมือนกับทั้งเขาลูกนี้พลันทับเข้าใส่ร่าง หน้ามืดหัวหมุน