ตอนที่ 65 นี่คือศึกตัดสิน
อันดับสอง โม่ซู เจ็ดร้อยแปดสิบเอ็ดขั้น!
เยี่ยวั่งมีสีหน้าจริงจังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เขามีความหยิ่งผยองของเขา มีความภาคภูมิใจของเขา กระทั่งในความคิดเขายังไม่มีผู้ใดมีคุณสมบัติพอจะเป็นคู่ต่อสู้ ยกเว้นตัวเขาเอง!
ทว่าตอนนี้ความหยิ่งผยองทั้งหมดกลับสั่นคลอน ราวกับมีกลิ่นอายพลังที่ไม่อาจจินตนาการได้หลั่งทะลักเข้ามาจากทั่วแปดทิศ ทำให้จิตใจของเยี่ยวั่งสั่นไหว
เขาจำต้องสั่นไหว จำต้องให้ความสำคัญ เขาจ้องตราหินในมือเขม็ง นี่เป็นครั้งแรกที่เขาสนใจคนอื่นเช่นนี้!
บุคคลนี้ในความคิดของเขาอยู่เหนือกว่าอูเซินและเฉินชงไปไกล อยู่เหนือกว่าทุกคนนอกจากเขา ยามนี้ห่างจากตัวเขาเพียงยี่สิบขั้นเท่านั้น ระยะห่างเช่นนี้ทำให้เยี่ยวั่งเกิดความรู้สึกตึงเครียดและกดดันอย่างหาได้ยิ่งจากตัวเขา!
“โม่ซู…เจ้ามีค่าพอจะเป็นคู่ต่อสู้ของข้าเยี่ยวั่งอย่างนั้นหรือ?” นัยน์ตาเยี่ยวั่งฉายแววเย็นชา ภายในแฝงไว้ด้วยความหยิ่งผยองที่ไม่แยแสต่อผู้คนรอบข้าง
เยี่ยวั่งมีคุณสมบติพอจะทะนงตัว เขามีพรสวรรค์น่าตะลึงมาแต่เยาว์วัย ล้ำหน้าเหนือกว่ารุ่นเดียวกันไปหลายขุม และยืนอยู่บนยอดสุดตลอดมา อีกทั้งเขายังเป็นบุตรชายหมานแห่งเผ่าร่องลม ฐานะสูงศักดิ์ เห็นได้จากคนรอบข้างยามที่พบเขา
เขาไม่ต้องการพรรคพวก ไม่ต้องการเป็นคนลึกลับ ไม่ต้องการเป็นดั่งดาวล้อมเดือน เพราะจุดที่เขาอยู่สามารถบดขยี้พรรคพวกเหล่านั้นได้ทั้งหมด จุดที่เขาอยู่ เขาจะเป็นจุดที่เด่นชัดมากที่สุดในหมู่คน แสงสว่างของเขากลบเดือนที่ถูกดาวล้อมได้มิด
เขาคือเยี่ยวั่ง! เขาดูถูกคนรุ่นเดียวกันทั้งหมด บางทีอาจกล่าวได้ว่านี่ไม่ใช่การดูถูก แต่เป็นการเมินเฉยและมองข้ามทุกสิ่ง เพราะเขาคิดว่าไม่มีใครมีค่าพอจะเป็นคู่ต่อสู้ของเขาได้จริงๆ!
ทว่าตอนนี้ การปรากฏตัวของซูหมิง ทำให้เยี่ยวั่งคิดว่าเขาหาคู่ต่อสู้ของตนเจอแล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาให้ความสำคัญกับใครสักคน!
“เช่นนั้น…เจ้ากับข้ามาแข่งกันสักครั้ง!”
เยี่ยวั่งสูดลมหายใจเข้าลึก แม้สีหน้าของเขาจะกลับเป็นปกติ ทว่าในใจกลับไม่อาจสลบลงได้ ถ้าหากสงบจริงแล้วละก็ เขาคงรอจนกว่าฟ้าสว่างถึงค่อยเดินต่อ เพราะนี่เป็นแผนที่เขาวางไว้ตั้งแต่แรก
ทว่ายามนี้ เพราะการปรากฏตัวของซูหมิง ทำให้เขาต้องเปลี่ยนแผน และนี่เป็นครั้งแรกในชีวิตของเยี่ยวั่งที่ต้องเปลี่ยนความคิดของตัวเองเพียงเพราะคนรุ่นเดียวกันคนเดียว
เยี่ยวั่งสะบัดแขนเสื้อ ก่อนยกเท้าขึ้นไปบนขั้นแปดร้อยสี่ด้วยสีหน้าจริงจัง เมื่อเหยียบลง ตัวของเขาสั่นสะท้าน ลมหายใจกระชั้นถี่เล็กน้อย ทว่าเขาไม่ได้หยุดนานนัก ยังคงก้าวเดินต่อไป
ซูหมิงในเวลานี้ยืนอยู่บนขั้นเจ็ดร้อยแปดสิบเอ็ด มือขวาสั่นเทา ในช่วงที่ปลายนิ้วมืออาบโลหิตป้ายไปในดวงตาซ้าย พลันสัมผัสได้ถึงการสั่นสะเทือนของเขาลูกนี้ และยังสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายพลังพิลึกที่หลั่งทะลักมาจากรอบแปดทิศ เหมือนตอนอยู่ในยอดเขาเพลิงทมิฬ เพียงแต่กลิ่นอายพลังมหาศาลบริเวณนี้มิใช่สิ่งที่ยอดเขาเพลิงทมิฬเล็กๆ จะเปรียบได้ ป้ายโลหิตเพียงเล็กน้อย กลิ่นอายพลังที่หลั่งทะลัก อยู่เหนือกว่าการป้ายโลหิตครั้งที่สองในยอดเขาเพลิงทมิฬอย่างสิ้นเชิง
หมอกดำบนยอดเขาทั้งหมด ในยามนี้กำลังไหลเชี่ยวอย่างรุนแรง ราวกับมีเสียงคำรามสัตว์ป่าดังสนั่นมาจากยอดเขา กึกก้องกังวานอย่างบ้าคลั่ง ทำให้การไหลเชี่ยวของหมอกรุนแรงยิ่งขึ้นไปอีก ประดุจทั้งยอดเขากำลังเดือนพล่าน
กลิ่นอายพลังไร้ลักษณ์จำนวนมากหลั่งไหลเข้าสู่ร่างของซูหมิงอย่างรวดเร็ว ทำให้ตัวเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง เกิดความรู้สึกราวกับกำลังจะระเบิดอีกครั้ง
ความรู้สึกดังกล่าวเด่นชัดยิ่งนัก ซูหมิงเคยสัมผัสมาแล้วตอนทำเพลิงแผดเผาครั้งที่สาม ทว่าครั้งนี้กลับรุนแรงกว่าหลายเท่านัก ทำให้มีโลหิตไหลมาจากมุมปากของเขา มือขวาสั่นเทา จำต้องวางมันลง
ในช่วงที่วางมือขวาของเขาลง เสียงคำรามจากยอดเขาพลันหยุดชะงัก หมอกไหลเชี่ยวกราดพลันสงบนิ่ง กลิ่นอายพลังพิลึกจากทั่วแปดทิศหายไปในพริบตา
ทั้งหมดกลับคืนสู่ปกติ เหตุการณ์ก่อนหน้านี้เป็นเพียงจิตหลอนก็เท่านั้น ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ซูหมิงหอบหายใจแรง ยืนอยู่บนขั้นเจ็ดร้อยแปดสิบเอ็ด มองขั้นบันไดเบื้องหน้า เขาไม่ได้นั่งขัดสมาธิแต่ยืนหลับตาใช้แรงต้านสมดุลจากขั้นตัวเลขสุดท้ายที่ท่านปู่บอกมาทำการขัดเกลาร่างกาย!
บนลานด้านนอกในเวลานี้ ภายใต้เสียงดังเกรียวกราว เกิดคลื่นลมพายุคลั่งจากการสนทนาอย่างรุนแรง เพราะมีผนึกอยู่ พวกเขาจึงสัมผัสไม่ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงบนเขาเมื่อครู่นี้
สิ่งที่พวกเขาเห็นคือ อันดับรายชื่อบนรูปปั้นทั้งเก้า เห็นจำนวนขั้นเจ็ดร้อยแปดสิบเอ็ดของคนชื่อโม่ซู และจำนวนขั้นที่ห่างจากเยี่ยวั่งเพียงยี่สิบขั้นเท่านั้น ความตื่นตะลึงจากจิตใจ ความเหลือเชื่อจากดวงตาทั้งสองข้าง ปะทะเข้าใส่ร่างกายพวกเขา ทำให้ความคิดในตอนนี้ขาวโพลน มีเพียงเสียงร้องอย่างตกตะลึงที่หลุดออกมา
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้พวกเขาเห็นเยี่ยวั่งเคลื่อนไหวแล้ว! ท่ามกลางผู้คนหลายร้อยคนบนลาน ส่วนใหญ่ไม่ได้แปลกใจนักเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว เพราะพวกเขาคิดว่าเยี่ยวั่งก็ควรจะเคลื่อนไหวอยู่แล้ว หากเป็นพวกเขาที่เจอเรื่องแบบนี้คงเดินต่อเช่นเดียวกัน
ทว่า ในวงสนทนาของห้าสิบอันดับแรกบนลาน โอรสแห่งสวรรค์จากเผ่าร่องลมเหล่านั้น พวกเขารู้จักเยี่ยวั่งมากกว่าคนอื่นๆ ไม่น้อย ในช่วงที่เห็นจำนวนขั้นของเยี่ยวั่งเลื่อนขึ้น ความตื่นตะลึงในจิตใจของพวกเขามีมากกว่าคนที่ไม่รู้เรื่องเหล่านั้นหลายเท่า
“เยี่ยวั่ง….มองตราหินแล้ว!”
“แน่นอน ด้วยนิสัยของเขา พอมองตราหินแล้วจะเมินเฉย แต่โม่ซูคนนี้น่าสะพรึงยิ่งนัก แม้แต่เยี่ยวั่งยังไม่อาจสงบนิ่งได้!”
“เขาเปลี่ยนกฎของตัวเอง คนอย่างเยี่ยวั่งเมื่อตัดสินใจทำอะไรแล้วจะไม่เปลี่ยนโดยง่าย เดิมทีเขาตั้งใจจะเดินหลังฟ้าสาง แต่ตอนนี้กลับต้องเปลี่ยนแผนเพราะโม่ซู!”
อูเซินนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงมุมห่างไกล ใบหน้าขาวซีด มองแถบชื่อของโม่ซูบนรูปปั้น ยังคงเงียบขรึมตลอด ก่อนหน้านี้เขาสงสัยปี้ซู่ ทว่าเวลานี้เขากลับรู้สึกว่าโม่ซูคนนี้ต่างหากถึงเป็นผู้ต้องสงสัยที่แท้จริง….แต่ว่า…..
‘นี่เป็นเพียงแค่ด่านแรกเท่านั้น ด่านนี้ไม่ใช้ขั้นพลัง แต่ใช้ศักยภาพ ดูท่าตอนนี้ข้าคงจะหาคำตอบจากเขาไม่ได้…’ อูเซินกำหมัดแน่น
บนลานยังมีผู้นำจากแต่ละเผ่าอีกหลายคน พวกเขามองอันดับรายชื่อบนรูปปั้นตลอดเวลา ทุกคนมีความคิดแตกต่างกัน ทว่ามีสิ่งเดียวที่เหมือนกันคือได้ลบคำสบประมาทจากเผ่าร่องลม เป็นที่รู้กันดีว่าในงานประลองทุกครั้ง อย่าว่าแต่สามอันดับแรก แม้แต่สิบอันดับแรกยังไม่มีเคยมีชื่อเผ่าอื่นปรากฏ
ทว่ายามนี้ กลับมีสองคนจากเผ่าอื่นติดหนึ่งในสิบอันแรก มิหนำซ้ำคนชื่อโม่ซู ยังมีคุณสมบัติพอจะชิงอันดับหนึ่งได้!
นี่ทำให้พวกเขาตื่นตะลึง และยังมีรอยยิ้มในใจเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน
“โม่ซู…โม่ซู…เขามาจากเผ่าไหนกันแน่…คนแบบนี้เหตุใดถึงไม่เคยมีในเผ่ามังกรทมิฬของข้า…หากเขายอมเข้าพวกกับเผ่ามังกรทมิฬ จะให้ข้าทำอะไรก็ยอมทั้งนั้น…” ยายเฒ่าเผ่ามังกรทมิฬถอนหายใจเบา นางทราบดีว่ามันเป็นไปไม่ได้
ในกลุ่มเผ่าเขาทมิฬ สีหน้าผู้นำกองรักษาการณ์ดูตื่นตะลึง สูดลมหายใจเข้าลึก ในใจของเขาเกิดความคิดแบบเดียวกับยายเฒ่าเผ่ามังกรทมิฬ
เป่ยหลิงที่อยู่ข้างเขามองชื่อของโม่ซู นัยน์ตาฉายแววกระตือรือร้นสุดๆ เขาเห็นทุกเรื่องที่เกิดขึ้นในงานประลองด่านแรกนี้ ในสายตาของเขา อูเซินเป็นผู้แข็งแกร่งสุดที่เขาสามารถสนิทสนมได้ ทว่ายามนี้ได้เห็นคนแปลกหน้าเข้ามาติดอันดับสอง ทั้งยังมีโอกาสชิงอันดับหนึ่ง สำหรับเขาแล้ว มันเป็นสิ่งทำให้ฮึกเหิมยิ่งนัก
“โม่ซูคนนี้แข็งแกร่งนัก!” เป่ยหลิงกล่าวเสียงเบา
“ใช่ เขาแข็งแกร่งมากจริงๆ ไม่รู้ด้วยว่าเขามาจากเผ่าไหน…เฮ้อ น่าเสียดายที่ไม่ใช่เผ่าเขาทมิฬของพวกเรา…” สีหน้าของอูลาแฝงไว้ด้วยความเคารพ นางเลื่อมใสผู้แข็งแกร่ง โดยเฉพาะโม่ซูคนนี้ นางได้เห็นเขาผงาดขึ้นทีละก้าวด้วยตาของตัวเอง ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้นางตกอยู่ในบ่วงความสุข
“พวกเจ้ารู้สึกหรือไม่ว่า….เอ่อ….ชื่อของโม่ซู มันดูคุ้นๆ…” เหลยเฉินลังเลอยู่ครู่หนึ่ง กล่าวขึ้นเป็นครั้งแรกหลังจากกลับมา
“คุ้น? เหลยเฉิน เจ้าหมายความว่าอย่างไร?” อูลางุนงน หันกลับไปมอง
“บางทีข้าอาจจะคิดมากไปเอง…..ข้าคิดว่าท่านปู่ชื่อโม่ซัง ส่วนเขาชื่อโม่ซู…ไม่ว่าจะมองอย่างไร ข้าก็รู้สึกเหมือนเอาชื่อของท่านปู่มารวมกับชื่อของซูหมิง…” เหลยเฉินเกาศีรษะ สีหน้าดูไม่แน่ใจ
“เจ้าคิดมากเกินไปแล้ว!” สายตาอูลาฉายแววไม่แยแส หันหน้ากลับไม่สนใจอีก ก่อนมองอันดับรายชื่อบนรูปปั้นอย่างตื่นเต้น
“โม่ซู เหตุใดถึงไม่ขยับเล่า เยี่ยวั่งเดินไปถึงขั้นแปดร้อยยี่สิบเจ็ดแล้วนะ!”
เป่ยหลิงไม่กล่าว ทว่าสายตาของเขากลับดูเหยียดหยามต่อคำกล่าวของเหลยเฉิน เหลยเฉินเงียบไม่กล่าวสิ่งใด
ภายใต้เสียงสนทนาและสายตาจับจ้องของทุกคน ฟ้าดินบิดเบี้ยว มีหมอกดำสองก้อนลอยเข้ามา ก่อนเผยเป็นเฉินชงและปี้ซู่ ทันทีที่ทั้งสองคนปรากฏตัวขึ้นบนลาน พวกเขาต่างถลึงตามองกันด้วยความโกรธ
การมาของทั้งสองดึงดูดสายตาของผู้คนโดยรอบ รวมถึงสายตาของท่านปู่โม่ซังและจิงหนานแห่งเผ่าร่องลมที่อยู่ห่างออกไป
“เฉินชง เจ้าเด็กคนนี้ไม่เลว” ท่านปู่โม่ซังยิ้มกล่าว
“เทียบกับซูหมิงเด็กบ้านเจ้าแล้วยังห่างไกลนัก” จิงหนานยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย ทว่าในใจกลับตื่นตะลึง แม้ก่อนหน้านี้จะคาดการณ์เอาไว้แล้ว แต่ไม่ก็ไม่คิดเลยว่าซูหมิงจะมาได้ถึงขนาดนี้”
“โม่ซัง มอบซูหมิงให้ข้าเถอะ!” จิงหนานหันกลับไปมองโม่ซัง กล่าวขึ้นอย่างจริงจัง
“ดูไปก่อน ค่อยว่ากันอีกที” โม่ซังยิ้มกล่าว
ในขณะนั้นเอง เสียงฮือฮาเกรียวกราวพลันดังขึ้นตามเสียงร้องของบุคคลหนึ่งบนลานที่พบการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่!
“ในที่สุดโม่ซูก็ขยับแล้ว!”
“นี่คือศึกตัดสิน!”
ณ บนเขา หมอกดำตลบอบอวล ซูหมิงยืนหลับตาอยู่บนขั้นเจ็ดร้อยแปดสิบเอ็ด ก่อนพลันลืมตาขึ้น ในแววตาของเขามีประกายแสงวูบผ่าน บนตัวเหลือเส้นเลือดเพียงสองเส้น!