Skip to content

สู่วิถีอสุรา 706

ตอนที่ 706 หอคอยรกร้างบูรพาชั้นแปด

เข้าใจในเส้นทางการฝึกฝน ตามหาเส้นทางที่ต่างกันของหมานกับเซียน ทว่าสุดท้ายกลับเป็นหนึ่งเดียวกัน บางทีอาจกล่าวได้ว่านี่คือเส้นทางที่มีปลายทางร่วมกันของทุกเผ่าพันธุ์ในจักรวาล

บนเส้นทางนี้ ซูหมิงรู้ว่าตอนนี้ตนเดินมาได้เพียงก้าวแรกเท่านั้น ไม่รู้ว่าตนจะมีวันนั้นจริงๆ หรือไม่ วันที่บรรลุถึงระดับเดียวกับเลี่ยซานซิว หรือกระทั่งเหนือกว่านั้น

แต่เขามีความแน่วแน่และยึดมั่นอยู่ เขาบอกตัวเองว่าจะต้องไปถึงจุดสูงสุดของตัวเองให้ได้ เพราะเขาอยากรู้ว่าเหตุใดตนถึงเกิดเป็นศพทารก อยากรู้ว่าตนมีบิดามารดาจริงๆ หรือไม่ อยากรู้ว่าตนมีชาวเผ่าหรือไม่ และบ้านของตนอยู่ที่ใด

เขาอยากช่วยหญิงที่พึมพำเสียงอ่อนแรง เรียกตนว่าพี่ชายอยู่ข้างหูมาตลอดหลายปีนี้

ทว่าทุกอย่างนี้ เขาต้องกุมชะตาชีวิตของตัวเอง กลายเป็นผู้แข็งแกร่งของฟ้ากระจ่างดาวนี้ก่อน ถึงจะคลำหาเจอและทำไปตามลำดับ

หากเป็นผู้แข็งแกร่งอย่างแท้จริงไม่ได้ ทุกอย่าง….ก็จะถูกคนอื่นกำหนดชะตาชีวิตเหมือนกับมดปลวก

“ไม่มีวัน!” ซูหมิงกำหมัดแน่น เขาสูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาแวววาว ผ่านไปพักหนึ่งก็เริ่มกลับมาสงบนิ่ง เขามองกระบี่สีทองซึ่งแฝงด้วยแสงครามเล็กน้อย ก่อนอ้าปากพ่นกลิ่นอายพลังสร้างชะตาในร่างกายออกมา กลิ่นอายพลังชะตาตรงไปยังกระบี่ วินาทีที่สัมผัสกัน กระบี่สังหารสั่นไหวอย่างรุนแรง ทั้งยังส่งเสียงร้องเล็กแหลมแว่วมาอย่างอ่อนแรง

ขณะเดียวกับที่เสียงคำรามดังก้อง ซูหมิงยกมือขวาคว้าด้ามกระบี่เอาไว้แล้วยืนขึ้นจากท่านั่งขัดสมาธิ วางกระบี่ไว้ตรงระดับหน้าอก ก่อนใช้สองนิ้วมือซ้ายกดตรงตัวกระบี่ใกล้กับด้ามกระบี่ จากนั้นลูบไปทางปลายกระบี่อย่างช้าๆ

ซูหมิงทำอย่างเนิบช้า แต่กลับมีจิตใจแน่วแน่อบอวลอยู่ เมื่อสองนิ้วมือลูบไป กระบี่ก็สั่นไหวดิ้นรนอย่างรุนแรง ทว่าเขาแค่นเสียงหึเย็นชา จุดที่สองนิ้วลูบผ่านไม่สั่นไหวอีก จนกระทั่งลูบผ่านตัวกระบี่ทั้งหมด เสียงคำรามก็เงียบหายไปในทันที

“กระบี่ หากไม่กำอยู่ในมือ ยังจะเรียกว่ากระบี่ได้อีกรึ!” ซูหมิงใช้สองนิ้วมือดีดปลายกระบี่หนึ่งที เสียงกระบี่แจ่มชัดดังกังวาน เสียงนี้ดังก้องอยู่ในหอคอยรกร้างบูรพา แผ่กระจายจิตสังหารท่วมท้น

มือขวาถือกระบี่ ซูหมิงกวัดแกว่งกระบี่อย่างช้าๆ บนชั้นหนึ่งของหอคอยรกร้างบูรพา หลังจากกวัดแกว่งแขน แสงกระบี่ขยับวูบวาบ ปรากฏประกายกระบี่ขึ้นทีละกลุ่ม ไอหนาวเยือกแผ่กระจาย มองดูเคลื่อนไหวเชื่องช้า ทว่าตอนนี้หากมีคนนอกมองอยู่และเห็นภาพเขากวัดแกว่งกระบี่ จะต้องตื่นตกใจอย่างแน่นอน

เพราะเขาในตอนนี้สมาธิรวมเป็นหนึ่งเดียวกับกระบี่ หรือจะให้กล่าวจริงๆ คือกระบี่กับเขาผสานรวมกัน บรรลุถึงระดับที่คนกับกระบี่รวมเป็นหนึ่ง

ผ่านไปพักหนึ่ง ซูหมิงพลิกกระบี่สังหารในมือแล้วปักลงบนพื้น คลื่นพลังมหาศาลกับจิตใจแน่วแน่หลั่งทะลักเข้าไปในตัวกระบี่พร้อมกัน ราวกับว่าขั้นตอนการร่ายรำกระบี่ก่อนหน้านี้ก็เพื่อการนี้เอง!

จากนั้นกระบี่สังหารปะทุกลิ่นอายชั่วร้ายจำนวนมาก ขณะใกล้จะลงมาถึงแผ่นดิน ตัวกระบี่ยังส่งเสียงร้องดุดัน ทั้งยังสั่นไหว ประหนึ่งอยากจะดิ้นให้หลุดจากมือซูหมิง แต่กลับทำไม่ได้

กระบี่ใกล้จะปักลงพื้นแล้ว แต่ช่วงที่ปลายกระบี่สัมผัสพื้นดิน ซูหมิงพลันหยุดมือชั่วครู่ เพียงชั่วครู่เดียวของเขาเหมือนแฝงไว้ด้วยการโจมตีสุดกำลัง เกิดเป็นการสะท้อนกลับอย่างรุนแรง ทว่าการสะท้อนกลับนี้ไม่ได้รวมอยู่ในตัวเขา แต่ม้วนไหลเข้าสู่ตัวกระบี่

เส้นผมซูหมิงเคลื่อนไหวเองแม้ไร้ลม ใบหน้าเฉยเมย สีหน้าเรียบนิ่ง กระบี่ในมือขวาห่างจากพื้นเพียงครึ่งชุ่น นัยน์ตาเขาเย็นชา เขาในเวลานี้เต็มไปด้วยความหนาวเยือกดุจดั่งกระบี่สังหาร

ขณะที่ตัวกระบี่สั่นไหวมันก็ร้องเสียงกระบี่แหลมเล็ก หนำซ้ำยังสั่นสะท้านรุนแรงยิ่งกว่าเดิม เหมือนจะแตกสลายได้ทุกเมื่อ พลังที่รวมอยู่กับซูหมิงทั้งหมด เดิมทีควรจะปลดปล่อยลงสู่ผืนดิน เขากลับไม่ทำเช่นนั้น แต่ปล่อยให้มันระเบิดปะทุในตัวกระบี่ ฉะนั้นนี่จึงสร้างบาดแผลให้กับตัวกระบี่อย่างยิ่ง และยังโจมตีไปถึงวิญญาณกระบี่ภายใน

วิชาหลอมกระบี่นี้ซูหมิงได้มาจากมรดกของหงหลัว หลังจากได้รับรูปแบบการใช้กระบี่แล้ว ก็ได้วิธีการหลอมกระบี่จากในนั้นมาด้วย

เหมือนกับเมื่อครู่ นี่เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ในหนึ่งปีมานี้ซูหมิงใช้วิธีแบบนี้หลายครั้ง ไม่เพียงแต่กำราบกระบี่เท่านั้น ยังเป็นการหล่อหลอมมันอย่างต่อเนื่องด้วย

“เจ้า จะยอมคารวะข้าหรือไม่” ซูหมิงกล่าวช้าๆ

หลังจากเงียบไปพักหนึ่ง ก็มีเสียงแหลมเล็กไม่ยินยอมแว่วมาจากในตัวกระบี่ นั่นคือเสียงคำรามของวิญญาณกระบี่

“ตลอดหนึ่งปีมานี้ ข้าถามเจ้าแบบนี้ทุกๆ เดือน จงรู้เอาไว้ว่าความอดทนของข้ามีจำกัด” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ ถือกระบี่สังหารขึ้นมาเขย่าเล็กน้อย ทันใดนั้นคลื่นกระบี่กระจายเป็นวงกว้าง เมื่อเขาคลายมือออกก็ยกมือขวาทำสัญลักษณ์มือ แล้วกดลงตรงระหว่างคิ้วตน ฉับพลันนั้นมีหมอกดำลอยมาจากระหว่างคิ้ว กลายเป็นใบหน้าภูตผีดุร้าย ร้องคำรามพร้อมกับพุ่งเข้าไปในตัวกระบี่สังหาร

“วิชาของเผ่าวิญญาณชั่วร้ายที่เรียนรู้จากรูปปั้นหินบนชั้นแปด ก็มีความพิเศษอยู่เหมือนกัน” ซูหมิงพึมพำ ก่อนกำหมัดซ้ายแล้วกดไปบนพื้น แสงทองบนพื้นดินพลันส่องสว่างไปรอบๆ ปราณปฐพีเหมือนหลั่งทะลักเข้ามาในหอคอยรกร้างบูรพา ไหลมาห่อหุ้มมือซ้ายซูหมิง ทำให้มือซ้ายเขาแห้งเหี่ยวโดยพลัน ดูแล้วเหมือนหนังหุ้มกระดูก ทั้งยังมีแสงสีขาวหมุนวนเป็นเกรียว

ซูหมิงมองมือซ้ายคล้ายหนังหุ้มกระดูกที่อาบด้วยแสงสีขาว จากนั้นคว้ามือไปทางกระบี่สังหาร ทันทีที่สัมผัสกัน กระบี่สังหารร้องโหยหวนเสียงแหลม แล้วพบว่ามือซ้ายซูหมิงฟื้นฟูกลับมาอย่างรวดเร็ว ประดุจสูบพลังพิลึกบางอย่างมาจากในตัวกระบี่สังหาร ทำให้มือซ้ายฟื้นกลับมาดังเดิม

แต่ความคิดของกระบี่สังหารดูอ่อนลงมากอย่างเห็นได้ชัด

‘อภินิหารของเผ่าหมีซื่อ คือใช้วิญญาณหลอมเป็นร่างของตัวเอง’ ซูหมิงเผยรอยยิ้มบาง สะบัดแขนเสื้อทีหนึ่ง กลิ่นอายพลังสีทองจำนวนมากหลั่งไหลข้ามาในทันที ก่อนเข้ามาพันรอบตัวกระบี่เพื่อกำราบมันต่อไป

ซูหมิงมองกระบี่สังหารแวบหนึ่งแล้วละสายตากลับ เงยหน้าขึ้นมองผนังหอคอยด้านบน นัยน์ตาเริ่มเป็นประกายวาววับ

‘ถึงเวลาบุกหอคอยอีกครั้งแล้ว ครั้งนี้ข้าน่าจะทำได้’ ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก แล้วเดินหน้ามายืนอยู่ตรงใจกลางชั้นหนึ่งหอคอยรกร้างบูรพา หลับตาลงสงบจิตใจ เมื่อทำให้จิตของตนแผ่กระจายจนค่อยๆ ผสานรวมกับโดยรอบ แสงทองจากรอบๆ ก็รวมเข้ามาพร้อมกันในทันที วนเวียนอยู่รอบตัวซูหมิง ขณะกำลังหมุนโคจรอย่างรวดเร็ว แสงทองก็ขยับวูบวาบ สว่างจ้าละลานตา พริบตาเดียวเขาก็หายไป

ชั้นสองหอคอยรกร้างบูรพา ชั้นสามจนถึงชั้นแปดปรากฏแสงวูบวาบแบบนี้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภายในชั้นแปด ท่ามกลางแสงทองโอบล้อม ร่างซูหมิงค่อยๆ เผยขึ้นตรงใจกลาง ครู่ต่อมา ช่วงที่ร่างชัดเจนอย่างสมบูรณ์ เขาก็ลืมตาขึ้น

ในหนึ่งปีมานี้ การที่เขาควบคุมแสงบนชั้นหนึ่งได้มากขึ้นเรื่อยๆ ก็มีสาเหตุหลักอยู่คือเขาบุกมาแล้วเจ็ดชั้น ขึ้นมาอยู่บนชั้นแปด

ทุกครั้งที่ขึ้นมาหนึ่งชั้น การเชื่อมต่อกับหอคอยรกร้างบูรพาจะแน่นแฟ้นขึ้นอีกเล็กน้อย ฉะนั้นจึงสูบพลังได้มากขึ้น ด้วยขั้นพลังของเขา เดิมทีควรบุกไปได้มากชั้นกว่านี้ แต่ตอนแรกหลังจากหยุดอยู่บนชั้นสามครู่หนึ่งแล้ว ก็ล้มเลิกความคิดที่จะบุกขึ้นไปเร็วๆ

ตอนนี้ซูหมิงอยู่ตรงใจกลางชั้นแปด เขาสูดลมหายใจเข้าลึก นัยน์ตาฉายแววแน่วแน่

บนชั้นเจ็ด เขาบุกมาแล้วเมื่อสามเดือนก่อน จนเข้ามาถึงชั้นแปด ทว่าจนถึงตอนนี้เพิ่งจะมีความมั่นใจขึ้นไปชั้นเก้า

‘ไม่นึกเลยว่าการทดสอบของชั้นแปดจะขวางข้าไว้ถึงสามเดือน’ ซูหมิงส่ายศีรษะ เรื่องนี้ตอนแรกเขาก็นึกไม่ถึงเหมือนกัน กระทั่งยังรู้สึกว่ามันเหลือเชื่อ

ซูหมิงเดินหน้าหนึ่งก้าว หลังจากพ้นจากตรงใจกลางแล้ว โลกตรงหน้าพลันเปลี่ยนไป ทรายสีเหลืองอบอวลอยู่รอบด้าน แสงตะวันร้อนระอุประหนึ่งจะเผาไหม้ผืนดิน ตรงหน้ามีรูปปั้นหินคนยักษ์อยู่สี่รูป

รูปปั้นหินสี่รูปนี้ตั้งตระหง่านกลางพื้นดิน ทุกรูปล้วนมีความสูงเกือบร้อยจั้ง ปรากฏผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ท่ามกลางพายุทะเลทราย ให้ความรู้สึกเก่าแก่โบราณ

‘หอคอยรกร้างบูรพา….เริ่มจากชั้นสองจนมาถึงตอนนี้ เห็นได้ชัดว่ามีวิธีการบุกด่านต่างกันอยู่สองแบบ แบบแรกคือโจมตีให้ราบเพื่อเดินหน้าต่อไป

แบบสองคือผสานรวม หลังจากผสานรวมจนเชื่อมต่อกันแล้ว ก็จะก้าวสู่อีกชั้นได้เอง

การทำลายรูปปั้นสี่รูปนี้คือวิธีแรก จะสามารถฝ่าชั้นแปดไปได้ในทันที ทว่า…หากข้าจะทำอย่างนั้น เมื่อสามเดือนก่อนก็คงทำไปแล้ว’

นัยน์ตาซูหมิงแวววาว ก่อนเดินมาอยู่ใต้รูปปั้นแรก มองอย่างเงียบๆ อยู่พักหนึ่งแล้วจึงนั่งขัดสมาธิตรงหน้ารูปปั้น สองมือประสานสัญลักษณ์ ฉับพลันนั้นมีกลิ่นอายสร้างชะตาแผ่กระจายมาจากในร่างกาย เลือดเนื้อหมานทั่วร่างแผ่กลิ่นอายพลังเผ่าหมานออกมา

ขณะกลิ่นอายเผ่าหมานกระจายอยู่โดยรอบ รูปปั้นหินรูปแรกพลันลืมตาขึ้น เหมือนมองที่ซูหมิง ครู่ต่อมาเขาก็ยืนขึ้นก่อนเดินไปทางรูปปั้นหินรูปที่สอง มองอยู่ครู่หนึ่งแล้วกระทืบเท้าลงพื้น ทั่วร่างเขาไม่มีกลิ่นอายพลังหมานอีก แต่กระจายกลิ่นอายพลังเผ่าเซียนที่บริสุทธิ์มาจากในร่างกายแทน ทำให้รูปปั้นรูปที่สองลืมตาขึ้น

รูปปั้นรูปที่สามมีใบหน้าเหี้ยมโหดดุจมารชั่วร้าย มิหนำซ้ำตรงระหว่างคิ้วรูปปั้นหินยังมีใบหน้าผีร้ายนูนออกมา ซูหมิงยืนอยู่ใต้รูปปั้นหินสามรูป ยกมือขวาชี้ตรงระหว่างคิ้วตัวเอง ทันใดนั้นตรงระหว่างคิ้วมีหมอกดำหมุนวน เผยเป็นใบหน้าผีร้าย จากนั้นรูปปั้นรูปที่สามก็ลืมตาขึ้นมองเขา

ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ซูหมิงก็มาอยู่ข้างรูปปั้นรูปที่สี่ ยกมือซ้ายขึ้น ตรงมือซ้ายมีแสงสีขาววนรอบ จากนั้นมือในแสงสีขาวก็แห้งเหี่ยวปานโครงกระดูก ให้ความรู้สึกถึงประกายพิลึกชั่วร้าย

“รูปปั้นหินสี่รูป เผ่าหมาน เผ่าเซียน เผ่าวิญญาณชั่วร้าย เผ่าหมีซื่อ ข้าเข้าใจการฝึกฝนในก้าวแรกของสี่เผ่าพันธุ์นี้แล้ว ชั้นแปดหอคอยรกร้างบูรพา จงเปิด!” ซูหมิงสะบัดมือซ้ายไป รูปปั้นหินสี่รูปเลือนรางในทันใด ตอนที่ทุกอย่างชัดเจนอีกครั้ง ซูหมิงก็มายืนอยู่ตรงใจกลางชั้นเก้าของหอคอยรกร้างบูรพาแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version