Skip to content

สู่วิถีอสุรา 714

ตอนที่ 714 ไม่ให้เหลือ

สำนักซ่อนมังกร

หนึ่งในสามสำนักเซียนยิ่งใหญ่ของเผ่าเซียน ครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่กลางฟ้ากระจ่างดาวของแดนเซียน มีความลับในสำนักเกินหยั่งถึงอย่างยิ่ง มีดาราแท้จริงจำนวนมาก และยังมีชื่อเสียงโด่งดังในหมู่เซียน

สำนักซ่อนมังกรบนแผ่นดินหมานเป็นเพียงสาขาย่อยเท่านั้น ทว่าถึงจะเป็นสาขาย่อย แต่ด้วยความที่ลงหลักปักฐานที่นี่มานานปีเหมือนกับสำนักเทียนหลัน จึงครอบครองพื้นที่หลายจุดที่มีพลังวิญญาณเข้มข้นที่สุดบนแผ่นดินรกร้างบูรพา

ภายในพื้นที่ระยะเกือบหนึ่งแสนลี้ ดูเหมือนเป็นที่ราบรกร้างแห่งหนึ่งซึ่งไม่เตะตาแม้แต่น้อย ไม่ว่าใครผ่านมาทางนี้จะรู้สึกเหมือนข้ามผ่านแดนร้าง

ต่อให้รู้ว่าที่นี่คือสำนักซ่อนมังกร กลับมองไม่เห็น สัมผัสไม่ได้ หาร่างศิษย์สำนักซ่อนมังกรไม่พบเจอ ไม่ว่าจะมองอย่างไร ที่นี่ก็เป็นเพียงที่ราบธรรมดาเท่านั้น

เบื้องบน ชาวเผ่าหมานสามหมื่นกว่าคนยึดครองทั้งผืนฟ้า กลิ่นอายชั่วร้ายจากตัวพวกเขาทำให้ฟ้ามัวหมอง แผ่นดินเต็มไปด้วยความเงียบเหงา

ซูหมิงมองพื้นดินด้วยสีหน้าสงบนิ่ง ดูไม่ออกว่ามีอารมณ์เป็นอย่างไร

“ท่านเทพหมาน ทะ….ที่นี่คือซุ้มประตูทางเข้าของสำนักซ่อนมังกร…”

คนสำนักเทียนหลันผู้ยอมเปลี่ยนสายเลือดยืนอยู่ข้างๆ ชายชรานามหยาหมานจากเผ่าเขี้ยวหมานเดินมาอยู่ข้างซูหมิง แล้วกล่าวอย่างระมัดระวัง

บุคคลผู้นี้เป็นชายวัยกลางคน ใบหน้าซีดขาว ไม่เพียงเสียงสั่น แต่จิตใจยังหวาดกลัวด้วย เขาเห็นสำนักเทียนหลันพินาศลงกับตา เห็นสหายร่วมสำนักแทบทุกคนตายตก ตอนนี้เผชิญหน้ากับเผ่าหมานซึ่งผงาดขึ้น ย่อมต้องหวาดกลัวจนตัวสั่นอยู่แล้ว

โดยเฉพาะตอนเขาเพิ่งเอ่ยออกไป ชายชรานามหยาหมานข้างๆ ส่งเสียงหัวเราะเย็นเยียบมา เสียงหัวเราะนั้นทำให้ศิษย์สำนักเทียนหลันคนนี้ขนหัวลุก

“เมื่อหลายปีก่อนข้าน้อยเคยติดตามผู้อาวุโสในสำนักมายังสำนักซ่อนมังกรครั้งหนึ่ง ตอนนั้นที่นี่ไม่ใช่แบบนี้ ข้าจำได้ว่ามีวิหารลอยฟ้าอยู่เต็มไปหมด มีกลิ่นอายพลังแก่กล้ายากจะลืมเลือน” ศิษย์สำนักเทียนหลันก้มหน้าลงแล้วรีบกล่าว

“ท่านเทพหมาน ข้าเคยมาเยือนสำนักซ่อนมังกรหลายครั้ง สำนักนี้เชี่ยวชาญการอำพราง จากคำว่าซ่อนมังกรก็เห็นได้ถึงวิชาประจำสำนักแล้ว

นอกจากนี้ ทรัพยากรของสำนักซ่อนมังกรยังมีมากมาย กล่าวได้ว่าเป็นสำนักที่ร่ำรวยที่สุดในบรรดาสำนักเซียนบนแดนหมาน” หยาหมานเลียริมฝีปาก มองที่ราบด้านล่างพลางเอ่ยกับซูหมิง

“หลังจากทำลายสำนักนี้แล้ว ที่นี่เป็นของชนเผ่าเจ้าหยาหมาน จงสร้างที่นี่ให้แกร่งขึ้นเพื่อชนเผ่าเจ้า” ซูหมิงละสายตาจากที่ราบแล้วกล่าวช้าๆ

หยาหมานได้ยินดังนั้น ดวงตาจึงเปล่งประกายเด่นชัด ผู้แข็งแกร่งที่สุดในชนเผ่าและมีขั้นพลังวิญญาณหมานสมบูรณ์อย่างเขาปรารถนาจะให้ชนเผ่าตนแกร่งขึ้นมาโดยตลอด และที่นี่เป็นของสำนักซ่อนมังกร แน่นอนว่าต้องเป็นที่ตั้งชนเผ่าที่เหมาะสมอย่างยิ่ง

เมื่อครู่นี้เขายังนึกอิจฉาชื่อเหลยเทียนที่ได้พาชาวเผ่าเข้ายึดครองสำนักเทียนหลัน ยามนี้พอได้ยินซูหมิงกล่าว เขาเลียริมฝีปากแล้วยิ้มทันที ภายในรอยยิ้มเผยให้เห็นเขี้ยวสีขาว ใบหน้าจึงดูชั่วร้ายขึ้นมา

เทียนฉี่ อู๋ซวง และเสวี่ยซาสามชายชราด้านหลังหยาหมานมีสีหน้าเช่นปกติ ทว่าในใจกลับเต็มไปด้วยการเฝ้ารอคอย พวกเขาอ่านความคิดซูหมิงออก หลังจากทำลายเผ่าเซียนทั้งหมดบนแดนรกร้างบูรพาแล้ว สำนักเหล่านี้จะเป็นที่ตั้งเผ่าใหญ่ของพวกเขา

“สำนักวิญญาณอสูรมอบให้เทียนฉี่ สำนักกระหายอสูรเป็นของอู๋ซวง ส่วนสำนักเซียนอสูรเป็นของเสวี่ยซา พวกเจ้าจงพัฒนาที่เหล่านี้ให้แกร่งขึ้น” ซูหมิงหันไปมองชายชราหลายคนในขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ หรือกระทั่งก้าวสู่ขอบเขตการสร้างชะตาเล็กน้อยทางด้านหลัง

นามของชายชราเหล่านี้ ซูหมิงรู้เมื่อหนึ่งปีก่อนตอนพวกเขามาคารวะตนพร้อมกันจากทุกสารทิศ ขณะเดียวกันก็เข้าใจตามที่รู้มาก่อนหน้านี้ว่า คนเหล่านี้เป็นห้าขุมอำนาจที่แกร่งที่สุดของเผ่าหมานบนแดนรกร้างบูรพา

“ขอบพระคุณเทพหมาน!” เทียนฉี่ตื่นตะลึง รีบประสานมือคารวะซูหมิง

ชายชราสองคนอย่างเสวี่ยซาและอู๋ซวงก็เผยรอยยิ้มพร้อมกันพลางคารวะซูหมิง การผงาดขึ้นของเผ่าหมานคือเรื่องหนึ่ง แต่การผงาดขึ้นที่ว่านี้ ความจริงแล้วยังต้องทำให้ทุกชนเผ่าแข็งแกร่งขึ้นด้วยถึงจะสำเร็จ

ฉะนั้นสำหรับพวกเขาแล้ว การมอบรางวัลให้นี้จึงจริงใจเหนือสิ่งอื่นใด

“ส่วนสำนักชุมนุมเซียน…” นัยน์ตาซูหมิงมีความเย็นชาวาบผ่าน

“หนานกงเหิน!” ตอนที่ซูหมิงเอ่ย พลันมีร่างเงาคนเข้ามาใกล้ทางด้านหลังทันที ก่อนเผยตัวเป็นหนานกงเหินแห่งเผ่าชะตาชีวิต

เขามีสีหน้าเคารพนบน้อม ไม่ใช่เพียงประสานมือคารวะ แต่คุกเข่าลงข้างหนึ่ง คารวะซูหมิงด้วยความอ่อนน้อมของเผ่าชะตาชีวิต มีเพียงเขากับเผ่าชะตาชีวิตเท่านั้นที่ไม่ได้คารวะเทพหมาน แต่คารวะซูหมิงหรือท่านโม่ของพวกเขา

ต่อให้ซูหมิงไม่ใช่เทพหมาน เผ่าชะตาชีวิตก็ยังจะฮึกเหิมแบบนี้

“เผ่าชะตาชีวิตเป็นชนเผ่าครอบครัวเดียวกับข้า จากนี้ไปจะเป็นสายเลือดข้าซูหมิงบนแผ่นดินหมาน…สำนักชุมนุมเซียนคือที่ตั้งส่วนหนึ่งของเผ่าชะตาชีวิตบนแผ่นดินรกร้างบูรพา” ซูหมิงมองหนานกงเหินพลางกล่าวเรียบนิ่ง

หนานกงเหินพยักหน้าโดยไม่มีสีหน้าตื่นเต้น เขาไม่ได้เอ่ยขอบคุณ เพราะความเคารพและฮึกเหิมทางสีหน้าเหนือเกินกว่าการทำความเคารพของชาวเผ่าหมานต่อซูหมิง และเข้ามาแทนที่ทุกอย่างแล้ว

ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้คารวะเทพหมาน แต่คารวะซูหมิง

ขณะเดียวกัน คำพูดของซูหมิงยังดึงดูดสายตาของพวกเทียนฉี่ พวกเขาพากันใจสั่นไหว มองยังซูหมิงพร้อมกัน

“สายเลือดดั้งเดิมของเทพหมานย่อมต้องประจำการอยู่บนแผ่นดินรกร้างบูรพา ทว่าความหมายของท่านเทพหมานเมื่อครู่คือ…” เสวี่ยซากะพริบตาปริบๆ ลังเลชั่วครู่แล้วจึงถามเสียงต่ำ

“แผ่นดินอรุณใต้แตกออกเป็นหมู่เกาะแล้ว หมู่เกาะอรุณใต้ทั้งหมดมีเผ่าชะตาชีวิตอยู่ ส่วนบนแผ่นดินพันธมิตรตะวันตกกับแผ่นดินทวีปเหนือจะต้องมีเผ่าเซียน รวมถึงเผ่าอื่นๆ ที่เผ่าเซียนประคับประคองราวกับหุ่นเชิดอย่างแน่นอน หลังจากจัดการเซียนบนแดนรกร้างบูรพาแล้ว พวกเจ้าจะติดตามข้าไปแผ่นดินอื่นๆ เพื่อสร้างรากฐานชนเผ่าของพวกเจ้าหรือไม่?” ซูหมิงมองพวกเสวี่ยซาสามคน จากนั้นมองหยาหมานที่รอบดวงตาแดงน้อยๆ

สี่คนนี้มองหน้ากันและกัน ลมหายใจกระชั้นขึ้นมาโดยพลัน ก่อนคารวะซูหมิงอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่ใช่ประสานมือคารวะ แต่คุกเข่าลงข้างหนึ่งคารวะเหมือนกับหนานกงเหิน

“พวกข้ายินยอมติดตามเทพหมานบุกแดนพันธมิตรตะวันตก กวาดล้างแดนทวีปเหนือ สังหารคนนอกเผ่าให้สิ้นซาก และทวงคืนแผ่นดินหมาน ยอมทุกอย่างเพื่อความรุ่งเรืองของเผ่าหมาน!”

ซูหมิงไม่กล่าวอันใด แต่ทอดมองออกไปไกล ตรงนั้นเป็นทิศตะวันตก เป็นหนทางไปสู่แดนพันธมิตรตะวันตก

“วิญญาณข้าอยู่เผ่าหมาน คงทำได้เพียงให้เผ่าหมานกลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง…มีแต่ทำแบบนี้เท่านั้น ข้าถึงจะพาเผ่าหมานออกจากแดนมรณะหยินไปยังโลกเซียนได้…และมองสีของฤดูใบไม้ร่วงอบอวลอยู่บนแดนเซียน” ซูหมิงพึมพำเสียงเบาที่มีเพียงตนได้ยิน

เขาโดดเดี่ยว ไม่สมบูรณ์ เงียบเงา และสับสน

นัยน์ตามักจะมีประกายความสับสนกับชัดเจนตัดสลับกัน เขาไม่รู้ว่าอนาคตตนอยู่ที่ใด เขารู้เพียงว่าจากฤดูหนาวไปสู่ฤดูใบไม้ผลิต้องการสีแดงของฤดูใบไม้ร่วงด้วย

‘ข้า…ใกล้จะไม่ใช่ข้าแล้ว…ทว่าข้าก็ยังไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร’ ซูหมิงสูดลมหายใจเข้าลึก ทุกอย่างในแววตามีความเย็นเยียบเข้ามาแทนที่ วินาทีที่มองแผ่นดินอย่างเย็นชา เขาก็ก้าวเดินไปทางพื้นดินหนึ่งก้าว

ทันทีที่ก้าวเดินไป พลังจุดสูงสุดของขั้นรูปแบบชะตาตอนต้นปะทุมาจากในร่าง ขั้นพลังนี้แข็งแกร่งที่สุดบนแผ่นดินหมานแล้ว เป็นจุดสูงสุดซึ่งไร้คู่ต่อสู้ของโลกหมาน

ไม่มีผู้ใดมีขั้นพลังเหนือกว่าซูหมิงบนแดนหมานอีก ต่อให้มีก็จะต้องถูกระงับเอาไว้ หรือบางทีอาจไม่ใช่มนุษย์ที่มีขั้นพลังเหนือกว่าซูหมิง

ทว่าในหมู่มนุษย์ด้วยกัน ซูหมิงไร้คู่ต่อสู้

หลังจากก้าวเท้าลง ซูหมิงพลันสะบัดมือไปบนฟ้า ทันใดนั้นไอหนาวเยือกอบอวลกลางฟ้าดิน ไอหนาวเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ พริบตาเดียวก็กลายเป็นหิมะ

เกล็ดหิมะนับไม่ถ้วนโอบล้อมรอบซูหมิงแล้วแผ่กระจายออกเป็นวงกว้าง ชั่วประเดี๋ยวเดียวรอบๆ ในระยะหลายแสนลี้ก็กลายเป็นฤดูหนาว!

หิมะไร้ขีดจำกัดแผ่กระจายความหนาวเยือกที่สามารถแช่แข็งได้ทุกสิ่งอย่าง ทั้งยังมีกลิ่นอายพลังน่าสะพรึงกลัว ในทุกๆ เกล็ดหิมะล้วนมีพลังสังหารที่ไม่ด้อยไปกว่าขั้นวิญญาณหมาน

นี่…ก็คือความทรงพลังของจุดสูงสุดขั้นรูปแบบชะตาตอนต้น มันเหนือกว่าขั้นวิญญาณหมานสมบูรณ์ไปไกลมาก เป็นจุดสูงสุดที่ไร้พ่าย.ไม่อาจเปรียบกันได้เลย

เกล็ดหิมะนั้นเหมือนหิมะก็จริง แต่ความจริงมันไม่ใช่หิมะ

แต่คือชะตาชีวิตของซูหมิงเอง! มันคือชะตาชีวิตแห่งความตาย เป็นอภินิหารเฉพาะของผู้ฝึกรูปแบบชะตาที่ใช้กลิ่นอายมรณะผสานรวมกับรูปแบบชะตา แล้วระเบิดพลังออกมา

อภินิหารนี้ทุกคนจะมีต่างกันไป ทุกคนที่ก้าวสู่ขอบเขตการสร้างชะตาจะมีรูปแบบชะตาต่างกัน ความเข้าใจต่างกัน ไม่มีสิ่งใดคล้ายกันอย่างสมบูรณ์

นี่เป็นครั้งแรกที่ซูหมิงใช้พลังรูปแบบชะตาทั้งหมด ปลดปล่อยเกล็ดหิมะเบ่งบานบนแผ่นดินรกร้างบูรพา!

หลังจากแผ่กระจายพลัง และมีลมหนาวพัดครืนๆ พร้อมกับเกล็ดหิมะโปรยปรายแล้วนั้น พวกเสวี่ยซาพากันสูดลมหายใจเข้าก่อนมองซูหมิงในทันที พวกเขาได้รู้ถึงความแกร่งของซูหมิงกับพลานุภาพของเทพหมานอย่างแท้จริงแล้ว มิหนำซ้ำตอนนี้ ในความคิดพวกเขายังปรากฏภาพการต่อสู้สะเทือนฟ้าดินระหว่างซูหมิงกับเซียนเมื่อหนึ่งปีก่อนขึ้นมา ภาพเหล่านี้กลายเป็นเมล็ดพันธุ์ไร้รูปที่ฝังลึกลงในใจพวกเขา เมล็ดพันธุ์นี้เรียกว่าความเคารพยำเกรง

ความเคารพยำเกรงจะคงอยู่คู่พวกเขาไปชั่วชีวิต

ซูหมิงมีสีหน้าปกติ มองเกล็ดหิมะรอบๆ พลางกดมือขวาไปยังแผ่นดินข้างล่างเบาๆ

ทันทีที่กดฝ่ามือลง พบว่าเกล็ดหิมะทั้งหมดในระยะหนึ่งแสนกว่าลี้พลันหยุดชะงักในชั่ววินาที จากนั้นรวมเข้ามายังพื้นดินตรงจุดที่เขากดมือ

เสี้ยววินาทีเดียวก็มีเสียงระเบิดสนั่นฟ้าสะเทือนดินมาจากพื้นด้านล่างอย่างบ้าคลั่ง หิมะนับไม่ถ้วนบุกโจมตีพร้อมกัน หลังจากพลิกตลบขึ้นราวกับฉีกภาพม้วนหนึ่ง แผ่นดินก็ส่งเสียงครึกโครม การอำพรางด้วยมายาทุกอย่างคล้ายถูกฉีกออก และเผยให้เห็นเป็น….

สำนักซ่อนมังกรที่ซ่อนอยู่ในความว่างเปล่า!

วิหารใหญ่โออ่าจำนวนมากลอยอยู่กลางฟ้าดิน ภายในวิหารเหล่านี้ ตอนนี้ศิษย์สำนักซ่อนมังกรล้วนหน้าซีดขาว แลดูหวาดกลัว

“ฆ่าพวกมันไม่ให้เหลือ” ซูหมิงกล่าวเสียงราบเรียบ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version