ตอนที่ 728 สำนักดาราสัจธรรม
สุดท้ายหู่จื่อก็ยังเอาเนื้อหาในตำราหนังสัตว์เล่มนั้นมาแสดงกับกระเรียนขนร่วงให้ซูหมิงดูไม่ได้ เขากำลังกลัดกลุ้ม มองซูหมิงตาปริบๆ และยังตบหน้าผากตัวเอง เขาคิดว่าตนช่างสมกับเป็นคนที่ฉลาดที่สุดบนยอดเขาลำดับเก้าจริงๆ อย่างน้อยก็ฉลาดกว่าศิษย์น้องเล็ก มิเช่นนั้นแล้ว เหตุใดเรื่องที่ศิษย์น้องเล็กไม่เข้าใจตนกลับเข้าใจ กระทั่งยังเคยใช้งานมาแล้วในความฝัน…
ฉะนั้น เขาเลยนำหนังสัตว์สองสามแผ่นที่ซ่อนไว้หลังจากที่ศิษย์พี่รองเอาตัวเล่มไปก่อนหน้านี้มาให้ซูหมิงดู
เมื่อเป็นแบบนี้ กระเรียนขนร่วงรีบมาอยู่ข้างซูหมิง และยังมีอวี่เซวียนอีกคน นางเบิกตากว้างมองอย่างตั้งใจ นางไม่ยอมแพ้ นางคิดว่าต่อให้เป็นวิชาอภินิหารลึกซึ้งกว่านี้อีก ตนก็คงจะมองเห็นเงื่อนงำอะไรบ้าง
ซูหมิงมีสีหน้าจริงจังเช่นกัน รับตำราหนังสัตว์มาแล้วก็เปิดดู ทว่าตอนที่มองไปแวบแรกเขากลับผงะ จากนั้นขมวดคิ้ว ตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ก็เริ่มมีสีหน้าประหลาดใจ
กระเรียนขนร่วงตะลึงค้าง ผ่านไปพักใหญ่ก็ถอนหายใจยาว ทว่านัยน์ตาเปล่งประกาย จ้องภาพบนตำราหนังสัตว์เขม็ง กระทั่งลมหายใจยังกระชั้นขึ้น
อวี่เซวียนมองอยู่นานก็เริ่มขมวดคิ้วเช่นกัน แต่สีหน้ายังคงไม่เข้าใจเป็นส่วนใหญ่ เลยแย่งแผ่นหนังสัตว์จากมือซูหมิงมาศึกษาอย่างละเอียด
ซูหมิงกระแอมไอทีหนึ่ง สายตาเบนไปมองหู่จื่อ หู่จื่อมีสีหน้าคับอกคับใจทันที ตอนที่ซูหมิงมองศิษย์พี่รอง ศิษย์พี่รองก็รีบหยิบเหยือกสุราขึ้นมาแสร้งดื่ม
“เจ้าทึ่มซู วิชาอภินิหารนี้ง่ายมาก เหตุใดถึงมองไม่ออก เพียงแต่ทำไมตอนฝึกฝนพวกเขาถึงต้องเปลื้องผ้า…” อวี่เซวียนเท้าคางด้วยมือซ้าย พลิกหนังสัตว์ดูอย่างไม่เข้าใจ
ดูจากสีหน้าแล้วไม่เหมือนล้อเล่น แต่ไม่เข้าใจมากจริงๆ
“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน” ซูหมิงรีบหยิบแก้วสุราขึ้นมาดื่มเช่นกัน และพยายามเลี่ยงข้อสนทนานี้ เขาพอจะเข้าใจเล็กน้อย ทว่ายิ่งเป็นแบบนี้ก็ยิ่งบ่งบอกถึงความบริสุทธิ์ของอวี่เซวียน
ในตอนนี้ซูหมิงก็เพิ่งเห็นถึงความน่ารักของอวี่เซวียนเป็นครั้งแรก…
“ไม่ถูกต้อง สีหน้าเจ้ามันไม่ใช่ เจ้าจะต้องรู้อะไรแน่ บอกข้ามา ถ้าไม่อยากนั้นพวกเรามาลองฝึกกันดูดีหรือไม่? แต่ไม่เปลื้องผ้านะ” อวี่เซวียนพลิกอีกหลายหน้า สายตามองซูหมิงแกมขอร้อง
ซูหมิงแทบจะพ่นสุราออกมา หลังจากแย่งหนังสัตว์หนาเหล่านั้นมาจากอวี่เซวียน ก็โยนให้ศิษย์พี่รองก่อนกระแอมไอ เขาจำไม่ได้แล้วว่าตนไม่ได้เขินอายแบบนี้มานานเท่าไร
ไป๋ซู่ก็ปิดปากหัวเราะเสียงเบา เห็นอวี่เซวียนยังคงตรึกตรองอย่างหนักเกี่ยวกับความลี้ลับในหนังสัตว์ นางก็หัวเราะจนตัวสั่น พอเห็นความเขินอายอย่างเห็นได้ยากจากซูหมิง นางยิ่งเบิกบานใจเข้าไปใหญ่
“เอาละ เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง อวี่เซวียน ไป๋ซู่ พวกเจ้าไปพักก่อน พวกข้าศิษย์พี่ศิษย์น้องมีเรื่องต้องปรึกษากัน” ศิษย์พี่รองเก็บหนังสัตว์เหล่านั้นเข้าไปในอกเสื้อ กระแอมไอหลายทีแล้วกล่าวช้าๆ
ไป๋ซู่ยืนขึ้นอย่างว่าง่าย อวี่เซียนยังคงขบคิดอยู่ตลอด ครั้นเห็นสุนัขแยกเขี้ยวมีท่าทีลำพองใจ นางก็ตรงเข้าไปเตะมันจนร้องทีหนึ่ง แล้วดึงหนังตรงคอหิ้วตามไป๋ซู่ไป
เดิมทีนางไม่ยอมไปง่ายๆ ทว่าตอนนี้อวี่เซวียนรู้สึกว่าสิ่งที่สำคัญกว่าคือต้องตรึกตรองถึงภาพบนหนังสัตว์ว่ามีความลับอะไรกันแน่ นางเลยหิ้วสุนัขที่กำลังดีใจอย่างยิ่งกลายเป็นสายรุ้งยาวบินไป
ส่วนทางกระเรียนขนร่วงกับเฉียนเฉิน ไม่รู้ว่ากระเรียนขนร่วงเกิดความคิดอะไรขึ้น มันมองเฉียนเฉินอย่างมีความหมายลึกซึ้ง กระทั่งมองจนน่าขนลุก จากนั้นก็ขึ้นมาขี่เฉียนเฉินแล้วจากไป
ตอนนี้บนยอดเขาลำดับเก้าเหลือเพียงศิษย์พี่ศิษย์น้อง ซูหมิงดื่มสุราไปทีละอึก จนกระทั่งดื่มถึงแก้วที่แปดแล้วถึงเงยหน้าขึ้นมองหู่จื่อกับศิษย์พี่รองแวบหนึ่ง
ศิษย์พี่รองมีสีหน้าเช่นปกติ ยังคงยิ้มบางพลางพยักหน้าให้ซูหมิง จิบสุราไปหนึ่งอึก
ทว่าหู่จื่อกลับมีสีหน้ากลัดกลุ้ม ตอนที่ซูหมิงมองมาก็รีบกล่าวขึ้นทันที
“ศิษย์น้องเล็ก หนังสัตว์พวกนั้นล้วนเป็นของศิษย์พี่รอง…”
“พูดจาเหลวไหล นั่นมันของอาจารย์!”
“แต่ว่าในนั้นมีกลิ่นอายพลังของท่านอยู่…..”
“สมควรตาย อาจารย์เลียนแบบกลิ่นอายพลังข้า นั่นมันของอาจารย์จริงๆ!”
ศิษย์พี่รองรักษารอยยิ้มดุจดั่งสายลมอ่อนไม่ไหวแล้ว เขาถลึงตามองพลางกล่าวขึ้น
ซูหมิงมองหู่จื่อกับศิษย์พี่รองกำลังเถียงกันว่าใครเป็นเจ้าของหนังสัตว์นั้นกันแน่อยู่ข้างๆ เขายิ้มฝืดเฝื่อนพลางส่ายศีรษะ แล้วหยิบเหยือกสุราขึ้นมาดื่มไปอึกใหญ่
“บางทีอาจไม่ใช่ของอาจารย์ หรือว่าจะเป็น…..ของศิษย์พี่ใหญ่?” หู่จื่อกะพริบตาทีหนึ่ง
“เฮ้อ ก็เป็นไปได้ อาจเป็นของศิษย์พี่ใหญ่!” ศิษย์พี่รองพลันหัวเราะขึ้น
“จริงๆ แล้วข้าว่าศิษย์น้องเล็กก็มีความเป็นไปได้เหมือนกัน…” หู่จื่อชำเลืองตามองซูหมิงแวบหนึ่ง
ยังไม่ทันที่ศิษย์พี่รองจะพูดสนับสนุน ซูหมิงก็รีบวางเหยือกสุรา สีหน้าดูจริงจังอย่างมาก
“หนังสัตว์นั่นเป็นของอาจารย์!” ซูหมิงกล่าวอย่างจริงจัง
“ไม่ผิด แม้แต่ศิษย์น้องเล็กก็ยังคิดแบบนี้ ดูท่าคงจะเป็นของอาจารย์จริงๆ ไม่ก็ศิษย์พี่ใหญ่ ในเมื่อท่านไม่พูด ข้าจะถือว่าท่านส่ายหน้า ศิษย์พี่ใหญ่เป็นคนไม่พูดโกหก เช่นนั้นจะต้องเป็นของอาจารย์อย่างแน่นอน” ศิษย์พี่รองก็จริงจังขึ้นมาเช่นกัน หลังจากพยักหน้าแล้วก็กล่าวกับหู่จื่อ
หู่จื่อหน้ากระตุก แอบคิดในใจว่าศิษย์พี่ใหญ่ไม่มีหัวยังส่ายหน้าได้อีก ก่อนหน้านี้ซูหมิงกับศิษย์พี่รองบอกกับหู่จื่อเรื่องศิษย์พี่ใหญ่แล้ว พอได้ยินสาเหตุว่าศิษย์พี่ใหญ่ไม่มีหัวและยังมีชีวิตอยู่ เขาจึงมีใจอยากถกเถียงปัญหาเรื่องเจ้าของเดิมของหนังสัตว์
“เอาละ มันเป็นของอาจารย์ ถึงอย่างไรอาจารย์เป็นพวกตาแก่ตัณหากลับ ชอบมายืมวงแหวนอาคมข้าไปถ้ำมองอยู่บ่อยๆ…เขาซ่อนของพวกนี้ไว้ก็ถือว่าสมเหตุสมผล” หู่จื่อ ศิษย์พี่รอง และซูหมิงลงความเห็นแบบเดียวกัน
ทว่าคุยไปคุยมา หู่จื่อกลับเงียบลง ความสุขที่อบอวลอยู่ระหว่างพวกเขาก่อนหน้านี้ค่อยๆ จางหาย ถูกสายลมทะเลพัดพาไป
ภายใต้สีจากยามค่ำคืน พอหู่จื่อเงียบ ศิษย์พี่รองก็เงียบเช่นกัน แต่มองฟ้าและทะเลไกลๆ ด้วยสีหน้าห่อเหี่ยวเล็กน้อย
ซูหมิงดื่มสุราอย่างเงียบๆ ไปทีละอึก
“ข้าคิดถึงอาจารย์…” หู่จื่อกล่าวเสียงเบา
“พอข้าถึงแผ่นดินรกร้างบูรพาแล้วก็ออกตามหาไปทั่วทุกที่ เจอเพียงเบาะแสเล็กน้อยเท่านั้น เหมือนว่าอาจารย์ออกจากเผ่าหมานแล้ว ออกจากแดนมรณะหยิน…จนกระทั่งข้าถูกสำนักเซียนล่าสังหาร สุดท้ายตี้เทียนก็ลงมือและพันธนาการข้าไว้ใต้สำนักชุมนุมเซียน….
จากนั้นหลายปี ข้ารู้สึกถึงกลิ่นอายพลังของศิษย์พี่ใหญ่…” ศิษย์พี่รองยกเหยือกสุราขึ้นมาดื่มอึกใหญ่ สีหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าเสียใจ
“ข้าสังหารร่างแยกตี้เทียนทั้งหมดตรงจุดมาเยือนของเซียนแล้ว สุดท้ายก็ทำลายร่างอาคมมัน ตี้เทียนที่เป็นหนึ่งในห้าจักรพรรดิสามราชันของเซียน ไม่น่าจะมาเผ่าหมานอีกในเร็วๆ นี้แน่
ตอนนั้นศิษย์พี่ใหญ่ถูกตี้เทียนจับไป อยากจะหลอมเขาให้เป็นร่างแยก ทว่าสุดท้ายศิษย์พี่ใหญ่กลับอาศัยการช่วยเหลือจากตี้เทียนวิวัฒนาการด้วยการตัดหัวตัวเอง ถือขวานสงคราม และขนานนามว่าสิงกาน…” ซูหมิงมองรูปปั้นศิษย์พี่ใหญ่พลางกล่าวเสียงเบา
“ที่ข้ารู้ว่าศิษย์พี่รองอยู่สำนักชุมนุมเซียนก็เพราะศิษย์พี่ใหญ่บอก ศิษย์พี่ใหญ่เคยบอกว่าบนเผ่าหมานไม่มีกลิ่นอายพลังของอาจารย์ ทว่าอาจารย์น่าจะยังไม่ตาย เช่นนั้นก็มีเพียงคำอธิบายเดียว…นั่นคืออาจารย์ไปจากเผ่าหมานแล้วตามที่ศิษย์พี่รองบอก “ ซูหมิงเงียบอยู่ชั่วครู่ ดื่มสุราพร้อมกับกล่าวเสียงต่ำ
“เช่นนั้นพวกเราก็มั่นใจได้แล้วว่าอาจารย์ไปจากเผ่าหมานแล้ว” นัยน์ตาศิษย์พี่รองมีแสงหม่นวูบวาบขณะกล่าวเสียงเบา
“ถ้าอย่างนั้นเพราะเหตุใดกันอาจารย์ถึงต้องรีบร้อนออกจากเผ่าหมาน ถึงขั้นไม่มีเวลามาบอกพวกเราเลย?”
“เว้นแต่…อาจารย์จะไม่ยินยอม แต่เพราะเกิดเหตุไม่คาดคิดบางอย่าง หรือไม่ก็เจอศัตรูแข็งแกร่งเข้า!”
“หรือว่าจะเป็นสำนักดาราสัจธรรม?” หู่จื่อพลันเงยหน้าขึ้นมองศิษย์พี่รอง
ศิษย์พี่รองเงียบไปครู่หนึ่งถึงพยักหน้า
ซูหมิงมองพวกเขา เขารู้สึกรางๆ ว่าหู่จื่อกับศิษย์พี่รองรู้ความลับอะไรบางอย่างที่เขาไม่รู้
หู่จื่อเงียบ ศิษย์พี่รองยกยิ้มมุมปาก ทว่ารอยยิ้มกลับมีจิตสังหารเย็นเยียบ ซูหมิงมีสีหน้าสงบนิ่ง เพียงแต่ว่ากลิ่นอายชั่วร้ายในความสงบนิ่งกลับเข้มข้นที่สุดในสามคน
“สุนัขของเด็กสาวอวี่เซวียนเป็นมังกรยมโลกข้ามโลกา ที่นางมาแดนหมานได้ก็คงเป็นเพราะมัน บางทีพวกเราอาจใช้มันออกจากเผ่าหมาน ออกจากแดนมรณะหยินไปยังเผ่าเซียนได้” นัยน์ตาศิษย์พี่รองเป็นประกายวาววับ
“เฉียนเฉินก็ไม่ใช่คนเผ่าหมาน เขาเป็นผู้มาเยือนเหมือนกัน ทว่าฐานะเหมือนจะไม่ใช่เซียน วิธีการมาเยือนก็ต่างกับคนอื่น ทว่าข้าเคยทำสัญญากับเขาเอาไว้ เขาจะพาข้าไปยังจุดที่เขามาเยือน” ซูหมิงกล่าวเรียบๆ
“หึ เจ้ากระเรียนขนร่วงเองก็มีความลับ ตอนนั้นข้าเคยพามันเข้าฝันครั้งหนึ่ง มันไม่รู้ว่าข้าเห็นเสี้ยวความทรงจำของมันด้วย เจ้ากระเรียนไม่ใช่สิ่งมีชีวิตของเผ่าหมานและก็ไม่ใช่ของเซียน แต่เหมือนว่าเป็นสำนักดาราสัจธรรมแห่งโลกแท้จริงดาราสัจธรรมอย่างที่อาจารย์บอก ข้าเองก็ยังไม่แน่ใจเหมือนกัน” แววตาหู่จื่อปราดเปรียว เวลานี้เขาดูไม่ซื่ออีก แต่มีเล่ห์เหลี่ยมอยู่เล็กน้อย
“ศิษย์น้องเล็ก เจ้าเข้าสำนักค่อนข้างช้า อยู่ได้ไม่นานก็ออกไปร่วมสงครามหมานเชมัน จากนั้นก็อยู่คนเดียวข้างนอก…มีเรื่องมากมายที่เจ้าไม่รู้ อาจารย์ยังไม่ทันบอกเจ้าเขาก็หายตัวไปแล้ว” ศิษย์พี่รองมองซูหมิง เขามองออกว่าซูหมิงกำลังสงสัย
“อาจารย์เป็นเผ่าหมาน ทว่า…มรดกวิชาของสำนักเขากลับไม่ใช่ของเผ่าหมาน แต่อยู่ในโลกแท้จริงดาราสัจธรรม เป็นสำนักกลางฟ้ากระจ่างดาวกว้างใหญ่อย่างยิ่ง สำนักนี้มีศิษย์นับไม่ถ้วน เป็นสำนักอันดับหนึ่งในโลกแท้จริงดาราสัจธรรม!
กล่าวจริงๆ คือมีสำนักนี้อยู่ ถึงมีโลกแท้จริงดาราสัจธรรมได้!
ทั้งโลกแท้จริงดาราสัจธรรม ต่อให้เป็นสามราชันห้าจักรพรรดิของเซียนก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของสำนักนี้เท่านั้น สำนักนี้ยิ่งใหญ่นัก นามของมันคือสำนักดาราสัจธรรม จริงๆ แล้วโลกแท้จริงดาราสัจธรรม…..ก็คือสำนักนี้นี่เอง!”
นัยน์ตาซูหมิงเพ่งสมาธิ นี่เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
“เรื่องเหล่านี้อาจารย์คิดจะบอกพวกเราในเวลาที่คิดว่าเหมาะสม ตอนแรกเขาจะบอกกับเจ้าหลังจากสงครามหมานเชมันสิ้นสุดลง แต่ว่า…ยังไม่ทันบอก เจ้าก็หายตัวไปแล้ว”