Skip to content

สู่วิถีอสุรา 746

ตอนที่ 746 ความหมายของฤดูใบไม้ร่วง

ช่วงที่แมลงเม่ามายาลอยหายไปบนฟ้า ซูหมิงเงยหน้าขึ้น สิ่งที่เห็นคือน้ำวนกลางฟ้ากระจ่างดาวไร้ที่สิ้นสุด และเรือยาวแต่ละลำซึ่งบินมาจากในฟ้ากระจ่างดาวที่หมุนโคจร เรือยาวเหล่านั้นเป็นสีดำทุกส่วน

บนเรือทุกลำมีคนสวมเสื้อคลุมดาราอยู่หลายคน

เต้าหยวนหัวเราะเสียงดังอย่างโอหังอยู่บนทะเลไกลๆ ตอนนี้เสื้อคลุมดาราศักดิ์สิทธิ์บนตัวเขาเปล่งแสงหม่นพร่างพราว วนเวียนอยู่รอบตัวเขา กลายเป็นการป้องกันแน่นหนา

ซูหมิงละสายตาจากบนฟ้า เขามองไปตรงจุดที่อวี่เซวียนจากไป มองอากาศตรงที่ไป๋ซู่หายไป มองยอดเขาลำดับเก้าอันเงียบเหงา และยังมีเศษซากเนื้อนับไม่ถ้วนลอยอยู่กลางทะเล

“ตายหมดแล้ว…” ซูหมิงพึมพำเสียงเบา ตอนนี้ร่างกายเขาก็ไม่ใช่ของจริง แต่เป็นภาพมายาแทบจะโปร่งใส ใบหน้าดูเศร้าโศก เขาไม่สนใจเต้าหยวนกับเรือยาวจำนวนมากที่กำลังมาเยือนจากบนฟ้ากระจ่างดาวอีก แต่เดินไปทางยอดเขาลำดับเก้าอย่างเนิบช้า ความเหนื่อยล้า ความเสียใจและเศร้าโศก อารมณ์เหล่านี้อบอวลอยู่ในใจ

เขากลับมาถึงยอดเขาลำดับเก้า มายืนอยู่บนยอดเขานอกถ้ำของอาจารย์ จนถึงตอนนี้ ซูหมิงยังคงยืนอยู่ตรงนี้ ใช้ร่างกายเป็นปราการปกป้องยอดเขาลำดับเก้าไว้

กระบี่สังหารอยู่ในมือขวา ด้วยความที่จับมันด้วยร่างมายา กระบี่จึงเอียงไปด้านล่าง ร่างกระบี่มั่นคงยิ่งนัก ทว่าปลายกระบี่กลับสั่นไหวเบาๆ สิ่งที่สั่นไหวคือวิญญาณกระบี่ มันกระหายเลือด กระหายในการสังหาร

ซูหมิงยืนอย่างเงียบๆ เส้นผมเขาคือควันไฟที่ไม่ว่าลมทะเลจะพัดอย่างไรก็ไม่มลายหาย มันกำลังปลดปล่อยวิญญาณของเขา ตอนนี้เหมือนว่าเขากับยอดเขาลำดับเก้าผสานรวมกันเป็นหนึ่งในความหมายที่แท้จริงแล้ว

หนึ่งคน หนึ่งกระบี่ กับภารกิจปกป้อง

ร่างกายเขาเป็นมายา ภายในไม่มีคลื่นพลังใดๆ มีเพียงพลังของวิญญาณเท่านั้น วิญญาณนี้กล่าวได้ว่าคือดวงวิญญาณ คือจิตสัมผัสชนิดหนึ่ง และคือดวงจิตเพียงหนึ่งเดียวในตอนนี้ที่ไม่ดับสูญ

ซูหมิงมองท้องฟ้า มุมปากยกยิ้มทีละน้อย เพียงแต่ในรอยยิ้มไม่มีการหลุดพ้น แต่เต็มไปด้วยความเศร้าโศก

เฉียนเฉินตัวสั่นเทาอย่างเงียบๆ แต่กลับกัดฟันมาอยู่ข้างซูหมิง ก่อนหยิบกริชสีดำเล่มหนึ่งมาจากอกเสื้อ เขาหวาดกลัวมาก กลัวจนตัวสั่นและเหงื่อไหลไม่หยุด ทว่า….ความกล้าที่แท้จริงคือความไม่กลัวเมื่อเผชิญหน้ากับอันตราย เป็นจิตใจแน่วแน่ที่แม้หวาดกลัวแต่ก็ไม่ยอมถอยเช่นกัน สิ่งนี้…เรียกว่าความกล้า

กระเรียนขนร่วงยิ้มเฝื่อน ในที่สุดมันก็ลบความคิดที่จะหนีทิ้งไป ถอนหายใจยาวอยู่ภายใน ก่อนบินมาอยู่ข้างซูหมิง สายตามองฟ้าตาเขม็ง สีหน้าจริงจังและคลุ้มคลั่งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

“ขอโทษ รับปากกับเจ้าแล้วว่าจะพาออกจากแดนหมาน ทว่าข้า…..ทำไม่ทัน”

ซูหมิงมองฟ้าพลางเอ่ยเสียงเบา

เฉียนเฉินตัวสั่นพลางส่ายศีรษะ ไม่ได้กล่าวอะไร

ตอนนี้เอง เรือยาวจำนวนมากบนฟ้ากระจ่างดาวก็เกิดเสียงสนั่นดุเดือด ก่อนมีสายรุ้งยาวสีดำทึบจำนวนมากบินลงมายังพื้นดิน

พริบตาเดียวเรือยาวราวพันลำก็ปรากฏอยู่บนฟ้านอกยอดเขาลำดับเก้า แรงกดดันที่ยากจะใช้คำว่าแก่กล้ามาบรรยายแผ่กระจายมาจากทาสเต๋าผู้สวมเสื้อคลุมบุตรดาราหลายพันคนบนเรือ

แม้ในนั้นไม่มีทาสเต๋าก้าวที่สาม ก็มีก้าวที่สองหลายพันคน บางครั้งอำนาจการทำลายล้างน่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่าก้าวที่สามห้าคนเสียอีก

สายตาเหล่านั้นมองมาด้วยความเย็นชา เต้าหยวนตะโกนอย่างบ้าคลั่งหลังจากกลับมาโอหังอีกครั้ง ส่งผลให้ภัยพิบัติครั้งนี้ทะยานถึงจุดสูงสุด

“ฆ่ามันให้ข้า ทำลายยอดเขานี้ ไม่ต้องให้เหลือแม้แต่พืชหญ้า สมควรตาย มันเกือบจะฆ่าข้าอยู่แล้วเชียว มันเกือบจะฆ่าข้า!” เต้าหยวนตาแดงก่ำ ชั่ววินาทีเมื่อครู่นี้เขาถูกความตายเข้าครอบงำ นั่นคือช่วงเวลาที่อยู่ใกล้กับความตายมากที่สุดในชีวิต จึงทำให้ความหวาดกลัวในใจพุ่งถึงขีดสุด พอตอนนี้กลับมาปลอดภัยอีกครั้ง ความกลัวจึงกลายเป็นความโกรธในระดับเดียวกันแทน

ทาสเต๋าหลายพันคนบนเรือยาวเกือบพันลำ ตอนนี้นัยน์ตาขยับประกายชั่วร้าย ที่นี่ไม่มีการลงมือเพียงลำพัง พวกเขาคือคนสำนักดาราสัจธรรม หากไม่จำเป็นจริงๆ จะไม่ลงมือเพียงผู้เดียว แทบเป็นขณะเดียวกับที่เต้าหยวนเอ่ย คนหลายพันคนต่างบินออกมาพร้อมกัน กลายเป็นสายรุ้งยาวหลายพันสายตรงไปหายอดเขาลำดับเก้า

พลังอำนาจสะเทือนฟ้า มีแรงกดดันมากเกินกว่าทาสเต๋าก้าวที่สามห้าคนก่อนหน้านี้ ทั้งยังทำให้หายใจขัดข้อง เฉียนเฉินตาแดงก่ำ เขาร้องตะโกนพร้อมพุ่งออกไปโดยไม่สนสิ่งใด แต่ทันทีที่เพิ่งยกเท้า ซูหมิงกลับกดมือซ้ายลงบนบ่าเขาเอาไว้ พลังแห่งดวงวิญญาณจากซูหมิงส่งเข้าสู่จิตใจเฉียนเฉิน เฉียนเฉินตัวสั่นสะท้าน มีเสียงอื้ออึงดังในความคิดก่อนจะหมดสติไป

ซูหมิงผลักส่งร่างเขาเบาๆ ให้บินไปทางถ้ำยอดเขาลำดับเก้า

“ตายมามากพอแล้ว จะต้องไม่มีใครตายอีก…” ซูหมิงพึมพำ ระหว่างที่เขาแผ่กระจายดวงวิญญาณ สร้างเป็นแรงปะทะม้วนกระเรียนขนร่วงซึ่งกำลังอึ้งงันเข้าไปในถ้ำ กระเรียนขนร่วงก็เพิ่งจะรู้ตัว มันตัวสั่นพลางอึ้งมองซูหมิง

เหมือนว่าจนถึงตอนนี้มันเพิ่งจะรู้จักซูหมิงจริงๆ มองไปมองมา กระเรียนขนร่วงผู้รู้ตัวว่าไม่ใช่คนดีอะไรก็ตาชื้นขึ้นมา

“ช่วยดูแลศิษย์พี่ข้าด้วย…” ซูหมิงเอ่ยเสียงเบาพร้อมกับเดินขึ้นฟ้า มุ่งหน้าไปหาทาสเต๋าก้าวที่สองหลายพันคนด้วยความแน่วแน่ขณะในมือถือกระบี่สังหาร

ทาสเต๋าหลายพันคนนั้น มีมากกว่าครึ่งที่มีขั้นพลังเหนือกว่าซูหมิง นี่คือการต่อสู้ที่ไม่ต้องกังวลอะไรเลย หนึ่งคนสู้กับหลายพันคน

เสียงครึกโครมดังกึกก้องในพริบตา คนเกือบร้อยคนตรงหน้าสุดยกมือขวาขึ้นพร้อมกันและใช้อภินิหารโจมตีมา กลายเป็นแสงดาราไร้ที่สิ้นสุดปะทะใส่ร่างมายาของซูหมิง

เวลานี้ซูหมิงไม่มีวิญญาณสามตนที่ถูกผนึกไว้ในร่างอีกแล้ว วินาทีที่แสงดาราปะทะใส่ร่าง จึงไม่เกิดเหตุการณ์ร่างมายาคนละช่วงเวลาซ้อนทับเหมือนก่อนหน้านี้อีก แต่คล้ายกับหนามนับไม่ถ้วน ทำให้ร่างมายาของซูหมิงสลายไป กลายเป็นจุดแสงผลึกที่ดับไปมากกว่าครึ่ง เศษที่เหลือก็กระเด็นไปร้อยจั้งแล้วรวมขึ้นใหม่อีกครั้ง

กลายเป็นซูหมิง แต่โปร่งใสยิ่งกว่าเดิม ราวกับว่าเพียงลมพัดก็จะหายไป

ทว่าช่วงก่อนที่ร่างซูหมิงจะสลายไป เขาฟันกระบี่ไปทีหนึ่ง อานุภาพของกระบี่นี้ใช้หลังจากจิตวิญญาณสมบูรณ์แบบ ฉะนั้นภายในกระบี่จึงมีจิตวิญญาณของเขาอยู่ และยังแฝงไว้ด้วยการกระตุ้นให้ตื่นขึ้นแห่งยมโลก

แฝงไว้ด้วย…อภินิหารประจำตัว!

หนึ่งกระบี่ฟันเป็นแนวขวางลากผ่านหลายร้อยคนตรงหน้า ทว่าเหมือนไม่มีพลังทำลายล้างอะไรมากนัก ผ่านไปคล้ายสายลมเย็นสบาย

เพียงแต่ขณะเดียวกับที่ร่างซูหมิงสลายไปแล้วรวมออกมาเป็นร่างมายาซึ่งอ่อนแอยิ่งกว่าเดิม ในหลายร้อยคนตรงหน้าที่ถูกเขาฟันกระบี่ใส่ มีทาสเต๋าเกือบครึ่งร่างกายแก่ชราพร้อมกัน

ประหนึ่งว่ากาลเวลาขยายใหญ่ขึ้นอย่างไร้ขีดจำกัดในตัวพวกเขา และเร่งการโคจรอีกไม่รู้กี่เท่า ใบหน้าคนเกือบร้อยไม่เพียงชราลงในพริบตา แต่ยังมีกลิ่นอายโรยราแผ่กระจายมาจากร่างกาย

เส้นผมพวกเขากลายเป็นสีเทาอมขาว ใบหน้าปรากฏรอยเหี่ยวย่น พลังชีวิตยังถูกความว่างเปล่ากลืนกิน ในพริบตาเดียวก็หายไปมากกว่าครึ่ง

ช่วงที่ร่างกายแก่ชราลง กระทั่งยังมีสิบกว่าคน….กลับกลายเป็นโครงกระดูก เพราะขั้นพลังไม่สูง เพราะอายุขัยไม่มาก แม้แต่จิตแรกยังยากจะหนีออกมาได้ ต้องแห้งเหี่ยวและตายลง

ในเวลาเดียวกัน ครั้นสิบกว่าคนตายลง พลังชีวิตคนเกือบร้อยหายไปอย่างน่าประหลาด ก็มีกลิ่นอายพลังสีขาวลอยมาจากร่างพวกเขาแล้วตรงมาหาซูหมิง หลังจากหลอมรวมอยู่ในร่างเขาด้วยความเร็วระดับพริบตาเดียว ร่างกายอ่อนแอของเขาก็สมจริงขึ้นมาไม่น้อยในทันที

“นี่คืออภินิหารประจำตัวที่ตื่นขึ้นหลังจากวิญญาณข้าสมบูรณ์แบบอย่างนั้นรึ…” ซูหมิงพึมพำเบาๆ เขารู้สึกว่าพอกลิ่นอายพลังสีขาวตรงเข้ามา วิญญาณของเขาก็ขยายใหญ่ขึ้นอย่างบ้าคลั่ง พลังชีวิตที่สูบมาคล้ายกับเป็นสิ่งที่ร่างกายเขาขาดแคลนอย่างยิ่ง เหมือนกับว่าตนในตอนนี้เป็นฟองน้ำเหี่ยวแฟบกำลังสูบกินพลังชีวิตกับอายุขัยของคนอื่นไม่หยุด เพื่อมาเสริมสร้างทุกอย่างของตัวเอง

เพียงแต่ว่าการตื่นขึ้นนี้ช้าไปเล็กน้อยสำหรับเขา เพราะต่อให้กระบี่สูบพลังชีวิตมาจำนวนมาก ก็ยังไม่อาจเติมเต็มความต่างชั้นที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงระหว่างเขากับทาสเต๋าหลายพันคนได้

หลังจากเต้าหยวนคำรามด้วยความดุเดือด ทาสเต๋าหลายพันคนก็ตรงเข้ามาอีกครั้ง ครั้งนี้มีคนเกือบพันใช้วิชาพร้อมกัน เปิดแสงดาวเข้ามาแทนที่แสงสว่างทุกอย่างในบริเวณนี้ แสงสว่างอาบไปรอบๆ ประดุจสัตว์ยักษ์ดาราโบราณตัวหนึ่งกำลังตรงเข้าไปเขมือบซูหมิง

วินาทีที่ถูกเขมือบไป ซูหมิงจึงเข้าใจ เข้าใจว่าอภินิหารประจำตัวของตนนี้…ไม่ใช่ความหมายแห่งฤดูใบไม้ร่วงหรอกหรือ

แม้ไม่ใช่สีของฤดูใบไม้ร่วง ทว่าพลังชีวิตที่สูบมาอยู่ในร่างกายก็เหมือนกับฤดูใบไม้ร่วง เป็นการหลอมรวมกันระหว่างความเป็นและความตาย นั่นคือการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง

“ใบไม้ร่วง…” ช่วงที่ซูหมิงกล่าวเสียงเบา ร่างมายาก็เปล่งแสงสีแดงโดยพลัน นั่นคือสีของฤดูใบไม้ร่วง หนำซ้ำมวลอากาศรอบตัวยังปรากฏเกล็ดหิมะนับไม่ถ้วน พอเกล็ดหิมะนั้นร่วงโรยลงมาก็เหี่ยวเฉาคล้ายกับใบไม้ในสารทฤดู ทำให้มองเห็นแวบแรกคือหิมะ แต่พอมองรอบที่สองกลับเป็นใบไม้ร่วง

ขณะเดียวกัน พอได้เข้าใจถ่องแท้ ขั้นพลังซูหมิงก็ปะทุขึ้น จากรูปแบบชะตาตอนต้นทะยานสู่รูปแบบชะตาตอนกลาง อีกทั้งเมื่อเกิดปรากฏการณ์เกล็ดหิมะโดยรอบกับใบไม้ร่วงตัดสลับกันแล้ว สีใบไม้ร่วงทั่วร่างเขาก็เข้มเข้นขึ้นเรื่อยๆ ชั่วขณะที่แสงดาราจากคนเกือบพันในระลอกที่สองเข้าเขมือบซูหมิง นัยน์ตาเขาฉายแววบรรลุ ในวินาทีนี้ ขั้นพลังก็ทะลวงจากรูปแบบชะตาตอนกลางเข้าสู่รูปแบบชะตาตอนปลาย!

อีกเพียงก้าวเดียวก็จะบรรลุถึงขั้นพลังที่สองในขอบเขตการสร้างชะตา…ขั้นขาดชะตา!

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version