Skip to content

สู่วิถีอสุรา 763

ตอนที่ 763 หนึ่งชีวิตหนึ่งชาติภพ

นางเข่นฆ่ามาทั้งชีวิต แต่ก็ไม่เคยเจอศัตรูที่ไม่สนใจอาการบาดเจ็บของตัวเองแม้แต่น้อยแบบซูหมิงมาก่อน แม้จะหักร่างฉีกแขนก็ยังไม่สนใจ กระทั่งยังไม่ส่งผลถึงขั้นพลัง ภายใต้การต่อสู้อันเฉยชาต่อบาดแผลตัวเองนี้ ทุกครั้งที่ปะทะกันนางจะถูกสูบเลือดเนื้อจำนวนมาก อีกทั้งระหว่างการต่อสู้อีกฝ่ายยังฟื้นฟูพลังด้วยวิญญาณอีก

นี่…..จึงสู้ไม่ได้เลย แม้นางจะมีพลังเจ้าปกครองโลก แต่หากไม่มีหงส์งูเพลิงยังพอว่า ทว่าตอนนี้……ซูหมิงสร้างภาพจำอันลึกซึ้งอย่างยิ่งให้กับเหมยหลันแล้ว

‘เขายังมีกลอุบายอีกมากที่ยังไม่ใช้ อย่างเช่นวิชาควบคุมเวลา……บุคคลนี้ยังไม่เอาจริง!’

ซูหมิงมีโลหิตอาบทั่วร่าง ตรงหน้าอกยังเป็นแผลเหวอะ ทุกจุดของร่างกายเห็นเป็นกระดูกขาว ทว่าสีหน้ายังคงสงบนิ่ง หลังจากอุดเลือดทีละจุดแล้ว ก็มองหญิงชราด้วยความเย็นชา

หงส์งูเพลิงมีแววตาดุร้าย มันมาปรากฏอยู่ใต้เท้าซูหมิง จ้องหญิงชราพลางคำรามซึ่งแฝงไว้ด้วยความน่าเกรงขาม

นอกจากนี้บนร่างหนังหุ้มกระดูกของซูหมิงยังมีอะไรบางอย่างยึกยืออยู่อย่างน่าประหลาด พริบตาเดียวบาดแผลทั้งหมดก็ฟื้นฟูกลับมา แม้แต่แขนซ้ายที่ขาดไปตอนนี้มีกระดูกขาวกับเลือดเนื้องอกออกมาภายใต้สายตาตื่นกลัวของหญิงชรา ชั่วพริบตาเดียวก็รวมเป็นแขนใหม่

หลังจากซูหมิงฟื้นกลับมาแล้ว ร่างกายใหม่ก็ให้ความรู้สึกที่แกร่งกว่าเมื่อครู่นี้อย่างชัดเจน ซึ่งนั่นเกิดจากการขัดเกลาหลังจากสูบเลือดเนื้อหญิงชรามา

“เดิมทีไม่อยากลงมือหรอก แต่เจ้าคุกคามข้าเสียเหลือเกิน ข้ารู้สึกถึงเค้าลางผนึกจากในตัวเจ้า แม้กลิ่นอายพลังจะเป็นเจ้าปกครองโลก ทว่าที่เผยออกมากลับเป็นเพียงระดับฟ้า เปิดผนึกเสีย เจ้ากับข้ามาสู้กัน!” ซูหมิงขยับอุ่นเครื่องแขนซ้ายพลางกล่าวเรียบๆ ภายในแขนซ้ายปรากฏหินผลึกแปดสี

ขั้นพลังเจ้าปกครองโลกมีผนึกแก่กล้าอยู่ระหว่างสามระดับฟ้าดินมนุษย์ ทว่าตอนนี้ซูหมิงแกร่งกว่าตอนอยู่แดนมรณะหยินยิ่งนัก และที่สำคัญคือในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิตเขามีกายหยาบ มีหินวิญญาณมากพอ มีหงส์งูเพลิง เทียบกับหญิงชราแล้ว นางอยู่ที่นี่มานานปี รู้ถึงความยากลำบากของที่นี่ ฉะนั้นจึงผนึกขั้นพลังตัวเอง หากโคจรพลังเจ้าปกครองโลกเช่นนั้นคงยากจะฟื้นฟูกลับมา

ตอนนี้มาเผชิญหน้ากับซูหมิงจึงเหมือนกับขี่อยู่บนหลังเสือ กลืนไม่เข้าคายไม่ออก

และที่สำคัญคือนางคาดเดาขั้นพลังซูหมิงไม่ออกเล็กน้อย แม้จะไม่รู้สึกถึงผนึกในตัวซูหมิง แต่ความเหี้ยมโหดต่อร่างกายตัวเอง และยังมีกลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้น กล่าวได้ว่าบุคคลนี้ไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน

นอกจากนี้ยังมีหงส์งูเพลิง มันทำให้หญิงชราปวดหัว หากเถียนหลินลงมือนางจะวางมือจากการต่อสู้ครั้งนี้ ทว่าในมุมมองนาง เถียนหลินมีความคิดอื่นๆ อยู่ ฉะนั้นนางจึงตกอยู่ในสถานการณ์นี้

ซูหมิงเองก็เดิมพันเช่นกัน เขาเดิมพันว่าหญิงชราจะหวาดกลัวและไม่กล้าลงมืออย่างสุดกำลัง

“สองท่านฟังแซ่เถียนก่อน ในเมื่อพวกเราสามคนมาพบกันบนดาวแดงเพลิงก็ถือว่าเป็นโชคชะตา หยุดสู้กันจะได้หรือไม่” เถียนหลินเดินเข้ามาพลางยิ้มเฝื่อน

หญิงชราแค่นเสียงหึเย็นชา ทว่ากลับไม่เอ่ยปฏิเสธ

“ในเมื่อสหายเถียนว่าเตือน แซ่ซูจะไม่สู้ก็ได้ แต่ภาคเหนือของดาวแดงเพลิง จากนี้ไปสหายเหมยหลันห้ามเข้าไปแม้เพียงครึ่งก้าว!” ซูหมิงเดินมายืนอยู่บนศีรษะหงส์งูเพลิงแล้วกล่าวเย็นชา

หญิงชราจ้องซูหมิง ครู่ต่อมาก็ไม่กล่าวอะไร นางหมุนตัวกลายเป็นสายรุ้งยาวห้อเหยียดไป พริบตาเดียวก็หายไปกับอากาศ

เถียนหลินยิ้มเจื่อนพลางมองซูหมิง ส่ายศีรษะแล้วกล่าวขึ้น

“สหายซู สหายเหมยหลันไม่มีเจตนาร้าย เรื่องนี้……ภายภาคหน้าแซ่เถียนจะเตือนนางเอง ทางเหนือดาวแดงเพลิงเป็นของสหายซูขอให้วางใจ ตอนนั้นที่สหายคูจู๋อยู่ก็มีกฏห้ามรุกรานกันอยู่

แซ่เถียนขอเตือนไว้ก่อน……” เถียนหลินสูดลมหายใจเข้า ครั้นประสานมือคารวะซูหมิงแล้วก็ขยับวูบไหวตัวตามเหมยหลันไป

กระทั่งเขาจากไปแล้ว ผู้ฝึกฌานหลายร้อยคนต่างเงียบเป็นเป่าสาก สายตามองซูหมิงด้วยความหวาดกลัว

“จากไปนี้ทางเหนือของดาวแดงเพลิงแซ่ซูเป็นเจ้าปกครอง ในช่วงที่แซ่ซูนั่งฌานฝึกฝน เรื่องจิปาถะทุกอย่างขอให้ปฏิบัติตามเยวี่ยหงปัง” ซูหมิงกวาดสายตามองพื้นดิน แล้วเอ่ยเสียงเย็นชาแผ่ซ่านอยู่ในใจของทุกคน

“ขอรับ!” หลายร้อยคนประสานมือคารวะซูหมิงพร้อมกันอย่างไม่ลังเล

พวกเขาเข้าใจแล้วว่าหลังจากหงส์งูเพลิงทำลายผนึกออกมา ฉีเป่ยซานตายด้วยวิธีพิลึกและการต่อสู้สั้นๆ ทว่าดุเดือดระหว่างซูหมิงกับเจ้าปกครองโลกเหมยหลัน จากนี้ไปทางเหนือของดาวแดงเพลิงจะเป็นอาณานิคมของซูหมิง

จากนี้ไปที่นี่จะมีเพียงคำสั่งเดียว นั่นคือคำสั่งของซูหมิง ผู้ใดฝ่าฝืนต้องถูกสังหาร

หลายร้อยคนคารวะพร้อมกัน เสียงจากเยวี่ยหงปังดังชัดเจนที่สุด ตอนนี้เขามีสีหน้าฮึกเหิม ฐานะและตำแหน่งนี้ ตั้งแต่บรรพบุรุษของเขาถูกรักษาการณ์แท้จริงสังหารก็ไม่เคยได้รับสิ่งนี้อีก ยามนี้ได้รับมาอีกครั้งจึงทำให้เขาตื่นเต้น สายตาที่มองซูหมิงมีความเคารพเลื่อมใสอย่างแรงกล้า

“สหายทุกท่าน แซ่เยวี่ยเป็นคนอย่างไรทุกคนรู้ดี จากนี้ไป หวังว่าทุกท่านจะช่วยเหลือเกื้อกูลกัน และทำให้เขตทางเหนือของเรากลับมาแกร่งอีกครั้ง!

วันนี้แซ่เยวี่ยจะพูดเพียงเรื่องเดียวคือ ทุกคนจงไปรวบรวม…หินสีครามมา ยิ่งมากเท่าไรยิ่งดี!” เยวี่ยหงปังมองซูหมิง ก่อนกล่าวกับคนหลายร้อยคน

ซูหมิงไม่สนใจเรื่องนี้อีก เขาหมุนตัวเดินลงมายังพื้นดิน จนมาถึงนอกถ้ำพังทลายของฉีเป่ยซาน เมื่อนั่งขัดสมาธิลงแล้ว หงส์งูเพลิงตัวใหญ่ก็นอนหมอบอยู่ข้างๆ สายตามองไปรอบๆ อย่างตื่นตัว อีกทั้งยังมองฟ้าเป็นบางครั้งด้วยสีหน้าสับสนเล็กน้อย

กระเรียนขนร่วงตาเป็นประกายวาววับ มันบินมาอยู่ข้างเยวี่ยหงปังและกระซิบอะไรบางอย่าง เยวี่ยหงปังรีบขานรับด้วยความนอบน้อม เขามองออกว่าฐานะกระเรียนขนร่วงเวลาอยู่กับซูหมิงจะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ทั้งยังเห็นอีกฝ่ายเปิดผนึกด้วยตาตัวเอง และยิ่งไปกว่านั้นคือรางวัลที่กระเรียนขนร่วงนำออกมาก่อนหน้านี้ ทำให้เขาไม่มีทางล่วงเกินกระเรียนขนร่วงจริงๆ จากก้นบึ้งหัวใจ

ซูหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่พลางหยิบหินสีครามมาก้อนหนึ่ง หลับตาลงก่อนค่อยๆ สูบมัน หินก้อนนี้กลายเป็นเถ้าธุลีหายไปอย่างเร็วรี่ ทว่าหินสีครามที่นี่มีเยอะ เขาตรึกตรองอยู่ชั่วครู่ ก่อนตัดสินใจว่าจะฝึกฝนอยู่ที่นี่สักระยะ

เวลาผ่านไปหนึ่งเดือน ก้อนหินสีครามรอบตัวเขากองเยอะขึ้นเรื่อยๆ สิ่งเหล่านี้คือคนในเขตทางเหนือหลายร้อยคนกระทั่งมากกว่าส่งมาให้ตามคำสั่งเยวี่ยหงปัง เขาจึงมีสูบกินได้สักระยะ

หลังจากสูบกินมา พลังแห่งเลือดเนื้อก็แกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งกลางดึกของวันนี้ ซูหมิงลืมตาจากสมาธิ เขามองแสงจันทร์สีแดงบนฟ้า แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่รู้ว่าแสงจันทร์ของดาวแดงเพลิงเป็นสีแดง ทว่าทุกครั้งที่มองเขาจะมองอย่างเงียบๆ

ทว่ากลางดึกคืนนี้ อีกด้านหนึ่งของฟ้ายามกลางคืนมีแสงดาราสว่างไสวดวงหนึ่งเปล่งแสงเทียบเท่าแสงจันทร์ มันชัดเจนและอ่อนนุ่มยิ่งนัก ส่องสว่างคู่กับแสงจันทร์

เขาไม่รู้ว่านี่คือวันที่ดาราสว่างโชติช่วงเป็นพิเศษ มันคือวันพิเศษที่หนึ่งปีจะมีครั้งเดียวบนดาวแดงเพลิง และเป็นประเพณีของชาวดาวแดงเพลิงตั้งแต่เมื่อไรไม่รู้ เป็นวันที่ชายหญิงจะผูกสัมพันธ์เป็นคู่ชีวิตกัน เพราะว่าหนึ่งดาราและหนึ่งจันทราสว่างพร่างพราวกลางฟ้ายามค่ำคืนนี้ เรียกอีกอย่างว่าหนึ่งชีวิตหนึ่งชาติภพ

“ไม่มีความรู้สึก ทว่าข้ายังมีคนที่คิดถึง…..” โดยรอบเงียบสงบ หงส์งูเพลิงหลับตาพักผ่อนอยู่ กระเรียนขนร่วงไปที่ใดไม่รู้

ซูหมิงเอ่ยเสียงพึมพำดังกังวานในความเงียบสงบ

“ไม่มีความเจ็บปวด ทว่าเหตุใดข้าถึงมีหัวใจ…….มันเจ็บปวดตอนคิดถึง…..” ซูหมิงลูบหน้าอกพลางมองหนึ่งดาราและหนึ่งจันทราบนฟ้า ก่อนกล่าวเสียงเบาด้วยความขมขื่นซึ่งไม่มีใครรู้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version