Skip to content

สู่วิถีอสุรา 764

ตอนที่ 764 หนึ่งดารา หนึ่งจันทรา หนึ่งตะวัน

ความรู้สึกที่หัวใจเจ็บปวดต่างกับร่างกายเจ็บปวด

ซูหมิงกุมตรงหน้าอกตัวเอง หลังจากมีกายเนื้อจริงๆ แล้ว ความเจ็บปวดจากหัวใจ จนกระทั่งความรู้สึกที่คล้ายหัวใจพัวพันกัน ทำให้เขานับดาวบนฟ้าอย่างเงียบๆ กลางค่ำคืนเงียบสงัด

“เจ้าตัดขาดความเจ็บปวดของร่างกาย ทว่า…ไม่ได้ตัดความเจ็บปวดจากหัวใจข้า…”

ซูหมิงพึมพำเสียงเบา เขาไม่รู้เลยว่าโลกนี้ยังมีความเจ็บปวดอย่างหนึ่งที่เหนือกว่าร่างกาย เหนือกว่าอารมณ์ในใจ มันคือความเจ็บปวดจากจิตวิญญาณ

วิญญาณเจ็บปวด

ไม่รู้ว่าซูหมิงหลับตาไปเมื่อไร เขานำความเจ็บปวดฝังไว้ในก้นบึ้งหัวใจ แล้วจดจำความรู้สึกนี้เอาไว้อย่างลึกซึ้ง เขาเข้าใจแล้ว บางทีนี่อาจเป็นความทรงจำในอดีตที่เหลืออยู่เพียงสิ่งเดียว

ภายในความเจ็บปวดของหัวใจมีอวี่เซวียนที่กำลังหลับใหล ทว่าตนกลับคว้ามือนางเอาไว้ไม่ได้ มีไป๋ซู่ที่หันกลับมายิ้มให้ตนแล้วก็กลายเป็นเส้นใยสีขาว เขาได้แต่มองมันลอยไกลออกไป

ที่นั่นยังมีศิษย์พี่ใหญ่ซึ่งตื่นขึ้น รอยยิ้มของศิษย์พี่รอง หู่จื่อกำลังเกาศีรษะ ยังมีอาจารย์ที่ชอบเปลี่ยนสีเสื้อคลุมและอีกมากมาย

ดวงจันทร์ค่อนข้างสว่าง จนกระทั่งผ่านไปหนึ่งคืน เส้นผมซูหมิงไม่ใช่สีม่วงกับสีดำอีก แต่กลายเป็นสีเทา ราวกับว่าหลังจากรับความเจ็บปวดใจมาตลอดคืนแล้ว มันก็ส่งผลไปถึงวิญญาณและร่างกายจนกลายเป็นเช่นนี้เองตามธรรมชาติ

เส้นผมสีเทาทั้งศีรษะ อาภรณ์ขาวทั้งตัว เขานั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น เงยหน้าขึ้นในช่วงที่ดวงจันทร์ปรากฏตรงขอบฟ้า

ท้องฟ้าในเวลานี้มีความแปลกพิลึกดั่งภาพวาด มีตะวันแรกโผล่ขึ้นมาอยู่ไกลๆ อีกด้านหนึ่งเป็นดวงจันทร์ที่ค่อยๆ อ่อนแสงลง รวมถึงดวงดาวพร่างพราวเลือนหายทีละน้อย

หนึ่งดารา หนึ่งจันทรา หนึ่งตะวัน

ตะวัน จันทรา และดาราปรากฏขึ้นพร้อมกันบนฟ้าในวินาทีนี้ หนึ่งปีบนดาวแดงเพลิงจะเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว และครั้งหนึ่งจะอยู่ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม

มีเพียงช่วงเวลาที่ตะวันกับจันทราสลับกัน หรือยามค่ำคืนกับกลางวันสับเปลี่ยนกันเท่านั้น ถึงจะเกิดปรากฏการณ์ประหลาดเช่นนี้ขึ้น และก็มีวันแห่งหนึ่งชีวิตหนึ่งภพชาติเท่านั้นถึงจะมีดาราสว่างพร่างพรายปรากฏ ทำให้ผู้มองถูกดึงดูดไปโดยไม่รู้ตัว

ซูหมิงเหม่อมองอยู่อย่างนั้น ปรากฏการณ์พิลึกนี้ทำให้เขาคล้ายเข้าใจอะไรบางอย่าง สิ่งแรกที่นึกถึงคือพัดในถุงเก็บวัตถุที่ได้มาจากซือหม่าซิ่น มันมีอภินิหารเปลี่ยนตะวันจันทราและดาราที่เทพหมานรุ่นสองผนึกเอาไว้อยู่ภายใน

อภินิหารวิชาของเทพหมานรุ่นสองทรงพลังอย่างยิ่ง เขาแกะสลักมันไว้ในตัวพัด เมื่อก่อนซูหมิงก็ใช้มันผ่านพัดนี้ แต่ตัวเขาเองไม่ได้เข้าใจในวิชา

ทว่าตอนนี้ ครั้นเห็นหนึ่งดาราหนึ่งจันทราและหนึ่งตะวันพิลึกบนฟ้าแล้ว เขาเหมือนเข้าใจการใช้ประโยชน์ที่เมื่อก่อนยังไม่เข้าใจอีกเล็กน้อยโดยพลัน

เพียงแต่ว่าความเข้าใจนี้หายไปในความคิดอย่างรวดเร็ว เขามองตะวันจันทราและดาราบนฟ้า พร้อมกันนั้นในความคิดปรากฏก็ภาพอีกครั้งหนึ่ง มันคือภาพตอนที่เขายังเป็นเด็กกำลังอ่านตำราหนังสัตว์บนภูเขาทมิฬ ท่องประโยคหนึ่งด้วยความคาดหวังและความฝัน

‘เผ่าหมานมีบรรพบุรุษ เบิกสวรรค์สร้างสายเลือด ตกทอดกันมาหมื่นยุคสมัยจนถึงปัจจุบัน…ผู้ปกปักเผ่าหมานถูกเรียกขานว่านักรบแห่งหมาน บุกเบิกดินแดน เคลื่อนภูเขาพลิกมหาสมุทร…มีลายเส้นหมานติดต่อกับสวรรค์ สามารถเด็ดดวงดารา จันทรา และสุริยา….’

“สามารถเด็ดดวงดารา จันทรา และสุริยา….” ซูหมิงพึมพำเสียงเบาพลางเหม่อมองฟ้า

เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ ปรากฏการณ์ฟ้าดินหนึ่งครั้งต่อหนึ่งปีจะคงอยู่เพียงครึ่งชั่วยามเท่านั้น มันค่อยๆ เดินทางมาถึงช่วงปลาย หลังจากดาวพร่างพราวบนฟ้าเหลือเพียงเงาเลือนราง ซูหมิงสั่นสะท้านไปทั้งตัว แม้แต่ประโยคจากในตำราหนังสัตว์ยังหายไปจากในหัว ตอนนี้ความคิดขาวโพลน ทว่ากลับเหมือนมีความเข้าใจในระดับสูงขึ้นกำลังผุดขึ้นมาช้าๆ นี่คือการตระหนักรู้ครั้งที่สามหลังจากมองตะวันจันทราและดารา

เพียงแต่การตระหนักรู้ครั้งที่สามเบาบางยิ่งนัก ไม่ชัดเจนเลย

จนกระทั่งดวงจันทร์อ่อนแสงลงจนเหลือเพียงร่างเงา ความเข้าใจรางๆ ในความคิดซูหมิงลึกซึ้งขึ้นมาอีกเล็กน้อย แต่ก็ยังคลำหาอะไรไม่เจอ

เขามองดวงดาวหายไป มองดวงจันทร์หายไป มองตะวันที่อยู่ห่างไกลลอยขึ้นฟ้ามาช้าๆ พอปรากฏการณ์ที่หนึ่งปีมีครั้งหายไปแล้ว เขาก็ตะลึงงันอยู่ตรงนั้นไปพักใหญ่

เขารู้สึกชัดเจนว่าหากการตระหนักรู้ครั้งที่สามในความคิดชัดเจนขึ้น เขาจะได้รับบางสิ่งอันน่าทึ่งมา

กระทั่งเยวี่ยหงปังกลับมาและนั่งคุกเข่าตรงหน้า เขาก็ยังไม่สังเกตเห็น เขามองตรงจุดที่เคยปรากฏดวงดาวและดวงจันทร์บนฟ้า รู้ว่าตนพลาดการตระหนักรู้อย่างลึกซึ้งไปแล้ว

การตระหนักรู้ครั้งนี้ เขาไม่รู้ว่าตนจะเข้าใจอะไรบ้าง บางทีอาจเป็นอภินิหารวิชา อาจเป็นสภาพจิตใจ อาจเป็นขั้นพลัง ทว่าตอนนี้ก็พลาดไปแล้ว

บางทีอาจไม่ใช่พลาด แต่ปรากฏการณ์ฟ้าดินเลือนหายเร็วเกินไป

ซูหมิงถอนหายใจ แล้วละสายตากลับจากฟ้า

เยวี่ยหงปังคุกเข่าข้างเดียวอยู่ตรงหน้าซูหมิงอย่างเงียบๆ ก้มหน้าลงไม่เอ่ยอะไร ก่อนหน้านี้เขามองออกว่าซูหมิงเหมือนกำลังทำความเข้าใจปรากฏการณ์บนฟ้า รู้ว่าเวลานี้ห้ามรบกวนเด็ดขาด จนกระทั่งได้ยินซูหมิงถอนหายใจจึงค่อยเงยหน้าขึ้น

“ปรากฏการณ์ประหลาดที่ตะวันจันทราและดาราปรากฏพร้อมกันนี้หนึ่งปีจะมีหนึ่งครั้ง ทุกครั้งจะอยู่ไม่ถึงครึ่งชั่วยาม…หากผู้อาวุโสสนใจ ตอนนี้ของทุกปีจะเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น”

“นั่นคือดาวอะไร?” ซูหมิงเงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วถามเสียงเบา

เยวี่ยหงปังมึนงงอยู่ชั่วครู่ เขาเข้าใจว่าดาวที่ซูหมิงถามจะต้องเป็นดาราสว่างพร่างพราวเมื่อคืนวานอย่างแน่นอน มันเป็นดาวที่จะส่องสว่างเทียบเคียงกับแสงตะวันและจันทราหนึ่งครั้งต่อหนึ่งปี

“ไม่มีใครรู้ว่ามันคือดาวอะไร เคยมีผู้แข็งแกร่งจำนวนหนึ่งบนดาวแดงเพลิงอยากไปค้นหา แต่กลับไม่มีคำตอบ…เนิ่นนานมาแล้ว บนดาวแดงเพลิงมีอยู่ตำนานหนึ่ง ผู้คนเปรียบดาวสว่างไสวที่ปรากฏหนึ่งครั้งต่อหนึ่งปีว่าเป็นคู่ชีวิตที่รักกันมาก”

เยวี่ยหงปังกล่าวเสียงเบา

ซูหมิงมองฟ้าอยู่นานถึงส่ายศีรษะ เขาไม่พูดอะไร แต่คงท่าทางแบบนี้ไว้ แม้บนฟ้าจะไม่มีดาราจันทราแล้วและเหลือเพียงดวงตะวันก็ตาม

เยวี่ยหงปังเงียบอยู่ครู่หนึ่งจึงกล่าวลาออกไป เขามองซูหมิงอยู่ไกลๆ ครั้นตรึกตรองอยู่สักครู่แล้วก็นั่งขัดสมาธิลง คอยคุ้มกันอย่างเงียบๆ ห้ามไม่ให้ใครเข้ามา ต่อให้เป็นคนของทางเหนือที่มาส่งหินสีครามก็จะถูกเขาขวางเอาไว้แล้วให้เอาหินวางไว้ข้างๆ ไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้ซูหมิง

ซูหมิงมองฟ้าอยู่ตลอด มองฟ้าสีครามค่อยๆ มืดลง มองดวงจันทร์ปรากฏขึ้น ผ่านไปวันแล้ววันเล่า…

ซูหมิงไม่รู้ว่าตนเพ่งมองฟ้าอีกนานเท่าไร เขาลืมเวลา กระทั่งลืมสูบกลืนหินสีคราม นั่งขัดสมาธิมองฟ้าอยู่แบบนี้

หงส์งูเพลิงอยู่ข้างๆ ตลอด สำหรับมันเวลาผ่านไปเพียงพริบตาเดียว มันชินกับความเงียบแบบนี้แล้ว กระเรียนขนร่วงกลับมาเป็นบางครั้ง ทว่านิสัยมันไม่ชอบอยู่นิ่ง กลับมาไม่นานก็ออกไปข้างนอกอีก ไม่รู้ว่าไปทำอะไรกันแน่

เยวี่ยหงปังคอยเฝ้าอยู่ไกลๆ โดยตลอด เขามองออกว่าซูหมิงในยามนี้น่าจะตกอยู่ในห้วงสภาวะพิลึกบางอย่าง สภาวะแบบนี้สำหรับผู้ฝึกฌานคือโอกาสที่ไม่ได้มาง่ายๆ

กระทั่งตอนนี้ซูหมิงยังไม่รู้ว่าตนอยู่ในสภาวะนี้ ขั้นพลังแทบจะหยุดนิ่ง มันค่อยๆ หดตัวอยู่ในร่างกายคล้ายหลับใหล มีเพียงเสียงหัวใจเต้นตึกๆ อย่างเนิบช้า และมีเพียงจิตวิญญาณที่ผสานรวมกับดวงตาแล้วมองฟ้า

สิ่งที่เขาไม่รู้คือตอนที่หัวใจกำลังเต้นและวิญญาณกำลังมองฟ้าอยู่นี้ จิตใจเปลี่ยนครั้งที่สามก็มาเยือนโดยไม่รู้ตัว

เวลาผ่านไปอีกหนึ่งปี

ในหนึ่งปีมานี้ สิ่งที่คนทางเหนือส่วนใหญ่รู้คือผู้นำของพวกเขาปิดด่านฝึกฌานอยู่นอกถ้ำเก่าของฉีเป่ยซาน ทุกคนถูกห้ามเข้าไปในระยะร้อยลี้ ห้ามเข้าไปแม้แต่ก้าวเดียว

จนกระทั่งกลางดึกวันนี้หลังจากผ่านมาหนึ่งปี นอกจากดวงจันทร์สว่างไสวบนฟ้าแล้ว อีกด้านหนึ่งยังมีดาวที่เคยปรากฏเมื่อหนึ่งปีก่อนด้วย พอมันปรากฏแสงพร่างพรายแล้ว ซูหมิงที่ไม่ขยับตัวมาหนึ่งปีพลันสั่นสะท้าน เขามองดาวดวงนั้น ตลอดหนึ่งปีมานี้รวดเร็วมากสำหรับเขา เหมือนกับการตรึกตรองครั้งหนึ่งและตระหนักรู้ในเวลาสั้นๆ

ยามนี้เขามองดวงดารา ความเข้าใจเมื่อหนึ่งปีก่อนผุดขึ้นอีกครั้งในความคิด ก่อนจะลึกซึ้งขึ้นเรื่อยๆ ช่วงที่ยามค่ำคืนหายไปทีละน้อยฟ้าเริ่มขมุกขมัวและปรากฏตะวันแรก ในที่สุดเขาก็เห็นปรากฏการณ์ประหลาดที่ตะวันจันทราและดาราปรากฏขึ้นพร้อมกัน

ซูหมิงมองฟ้า ในความคิดมีเสียงครึกโครม เขาตัวสั่นและมีน้ำตารินไหลอย่างแท้จริง เขาเข้าใจแล้ว

เขาเข้าใจว่าเหตุใดตนถึงยึดมั่นต่อดาวดวงนี้นัก เหตุใดถึงเกิดการตระหนักรู้กับปรากฏการณ์ตะวันจันทราและดาราขึ้นฟ้าพร้อมกัน

“แสงตะวันที่เกิดขึ้นทุกวันคือความจริงอันโหดร้าย คอยเตือนข้าว่าที่นี่คือแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต ที่นี่คือโลกอันโหดร้าย ทำให้ข้าได้เห็นจุดที่ส่องแสงสว่างและความแปลกตาของมัน…

ดวงจันทร์ในทุกค่ำคืนคือความฝันมายา ชวนให้คนลืมความแปลกตารอบตัว ลืมว่าตนอยู่ที่ใด ความมืดจึงเข้ามาหลอกข้าจนเกิดการแสวงหาและความหวัง

ทว่าดาราพร่างพราวที่จะปรากฏบนฟ้าหนึ่งครั้งต่อหนึ่งปี…คือ…บ้านเกิด” ซูหมิงเอ่ยเสียงเบากับตัวเอง

“ดวงตะวันแห่งความจริง ดวงจันทร์แห่งความหวัง ดาราอันเป็นตัวแทนบ้านเกิด นี่ต่างหากคือ…ความยึดมั่นในใจของผู้พเนจรไกลบ้าน…”

ซูหมิงมองตะวันจันทราและดาราบนฟ้า วินาทีนี้เขาเหมือนเห็นแสงสว่างจ้าจากทั้งสามอย่าง แสงนี้มารวมอยู่ที่ตัวเขา ขณะในความคิดเกิดเสียงสนั่นก็มีความเจ็บปวดอย่างรุนแรงแล่นมาจากในหัวใจ นั่นคือความเจ็บที่เกิดจากความคิดถึงบ้านเกิด

ตะวันจันทราและดาราบนฟ้าในสายตาของคนอื่นๆ บนดาวแดงเพลิงไม่ได้เปล่งแสงสว่างเหมือนกับที่ซูหมิงเห็น พวกมันยังคงส่องสว่างและมอดดับไป ทุกอย่างคล้ายกับเป็นจินตนาการของซูหมิง

ทว่าในสายตาเขา วินาทีนี้ในดวงตาซ้ายค่อยๆ ปรากฏรูปร่างดวงตะวัน ในดวงตาขวาก็สะท้อนเป็นดวงจันทร์

ตรงกลางหัวใจอันเจ็บปวด ในเวลานี้ประหนึ่งแฝงไว้ด้วยดวงดารา

นี่คือการตระหนักรู้ของซูหมิง เพราะความเข้าใจนี้ ไม่ว่าตะวันจันทราและดาราจะหายไปหรือส่องสว่าง พวกมันก็ใช้ความทรงจำเป็นกระดานภาพ ใช้ความเข้าใจเป็นมีดแกะสลัก แล้วสลักลึกลงในความคิดเขา

“จิตใจเปลี่ยนครั้งที่สามหรือ…” ซูหมิงกุมตรงหัวใจ เขารู้สึกถึงตอนจิตใจเปลี่ยนครั้งแรกในปีนั้น มันคือการเปลี่ยนของสภาพจิตใจที่พิเศษเฉพาะอย่างหนึ่ง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version