ตอนที่ 816 แดนประหลาด
หลายวันต่อมา โลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ก็กระจายข่าวเกี่ยวกับผู้ถูกประกาศจับโม่ซูเข้าไปในแดนประหลาด ผู้ฝึกฌานที่ล่าสังหารซูหมิงนับไม่ถ้วนรู้เข้า การล่าสังหารที่ดำเนินมาถึงตอนนี้ก็จบลง
ไม่ว่าจะเป็นผู้ฝึกฌานในเขตดาราวงแหวนบูรพาหรือผู้มาเยือนจากเขตดาราอื่นๆ เมื่อรู้ข่าวนี้แล้วก็ล้วนเกิดความซับซ้อนในใจเล็กน้อย ในพวกเขามีหลายคนมาถึงนอกแดนประหลาด มองแดนแห่งนี้ก่อนจากไปอย่างเงียบๆ
เป็นเพราะรู้ถึงความน่ากลัวของแดนประหลาด ถึงพวกเขาจะล่าสังหารซูหมิงเพราะรางวัล ทว่าส่วนลึกในใจตอนนี้กลับเกิดความเคารพเลื่อมใสต่อผู้ฝึกฌานนามโม่ซูคนนี้ขึ้นมา
ทำให้โลกแท้จริงหยินศักดิ์สิทธิ์ในสี่มหาโลกแท้จริงเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ เพิ่มรางวัล หนำซ้ำยังปล่อยสัตว์ร้ายบนดาวแท้จริงจำนวนมาก เปิดผนึกหลายต่อหลายจุด กระทั่งบีบให้สี่มหาโลกปิดวงแหวนอาคมผนึกจิต ผู้รักษาการณ์หยินศักดิ์สิทธิ์เคลื่อนไหวกันทั้งหมด และยังมีดาวอินหนึ่งดวงออกจากเขตประจำการของสี่มหาโลกเพื่อบุคคลผู้นี้
ทุกอย่างกล่าวมาเหมือนง่าย ทว่าคนที่ทำได้ถึงขนาดนี้จริงๆ เมื่อไม่รู้กี่ปีมาแล้ว นอกจากการเปลี่ยนแปลงของดาวทมิฬ ก็มีเพียงโม่ซูคนนี้
ขณะถูกล่าสังหาร คนผู้นี้ไม่เพียงรอดชีวิต แต่ยังสังหารผู้ล่าไปมากมาย แม้เจ้าปกครองโลกตอนต้นจะต่างกับผู้ฝึกฌานระดับฟ้าไม่มากนัก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเจ้าปกครองโลก ทว่าเมื่อเจ้าปกครองโลกตอนต้นเจอกับโม่ซู แทบทุกคนต้องตาย!
มีเพียงเจ้าปกครองโลกตอนกลางเท่านั้นที่เขาจะหลีกเลี่ยง ทว่าระหว่างการล่าสังหารที่ยาวนานนี้ กระทั่งดาวสมบัติสวรรค์ยังระเบิดเป็นเสี่ยงๆ เพราะเขา บรรพบุรุษตระกูลจ้าวจับเขาไม่ได้ ชื่อเสียงหลายต่อหลายครั้งกลายเป็นเรื่องที่ในเขตดาราวงแหวนบูรพาแทบจะไม่มีใครไม่รู้
คนแบบนี้คู่ควรแก่การเคารพ ดังนั้นผู้ล่าสังหารเพื่อรางวัลส่วนใหญ่จะมาอยู่นอกแดนประหลาดเงียบๆ
ผ่านไปอีกหลายวัน นอกแดนประหลาดที่กลับมาเงียบสงบอีกครั้ง มีเสียงถอนหายใจแว่วมาจากฟ้ากระจ่างดาว ชายชราอาภรณ์ขาดวิ่นผู้หนึ่งโซเซเดินออกมาจากความว่างเปล่า ในมือถือเหยือกสุรา พอเดินออกมาแล้วก็ดื่มสุราไปอึกหนึ่ง พลางมองแดนประหลาดอย่างเงียบๆ ด้วยสีหน้าชื่นชมเล็กน้อย
“มิน่าถึงถูกสี่มหาโลกแท้จริงประกาศจับ มิน่าถึงทำให้วงแหวนบูรพาเกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ กล้าหาญเช่นนี้เอง กล้าเข้าไปในแดนประหลาดเพื่อเดิมพันชีวิต หากเด็กคนนี้ไม่ตาย ภายภาคหน้าจะต้องเป็นโอรสสวรรค์แน่” ชายชราดื่มสุราเงียบๆ ผ่านไปครู่หนึ่งก็ส่ายศีรษะแล้วหมุนตัวจากไป
“โม่ซู ข้าจำชื่อนี้เอาไว้แล้ว หากวันหนึ่งเจ้าออกมาได้ ข้าจะเชิญเจ้าดื่มสุราด้วยกัน”
ชายชราคนนี้จากไปไม่นาน มวลอากาศอีกด้านหนึ่งก็ปรากฏเศษหินนับไม่ถ้วน เศษหินเพิ่งปรากฏก็รวมเข้าด้วยกันเป็นมนุษย์หินยักษ์ ดวงตามนุษย์หินเย็นชา จ้องแดนประหลาดเงียบๆ ผ่านไปครู่หนึ่งก็แค่นเสียงเย็นชาแล้วหายไปในฟ้ากระจ่างดาว
เวลาผ่านไปอีกเจ็ดวัน นอดแดนประหลาดอันเงียบสงัดมีชายหนุ่มเสื้อคลุมขาวมาเยือน เขามีสีหน้าเย็นชา ทว่าภายในแววตากลับเปล่าเปลี่ยว เขามองแดนประหลาดเงียบๆ อยู่เนิ่นนาน
‘ซูหมิง เจ้าจะตายที่นี่ไม่ได้ คนที่มีคุณสมบัติสังหารเจ้ามีเพียงข้าคนเดียว มีเพียงข้าเยี่ยวั่งคนเดียว! หากเจ้าตายที่นี่ ข้าก็จะไม่มีคู่ต่อสู้…’ ชายหนุ่มคนนี้ก็คือเยี่ยวั่ง เขายืนอยู่ตรงนี้หลายชั่วยาม แล้วจึงหมุนตัวจากไปด้วยความโดดเดี่ยว
เวลาผ่านไปอีกหนึ่งเดือนอย่างเร็วรี่
หากไม่มีการประกาศใหม่จากสี่มหาโลกแท้จริง เรื่องของโม่ซูก็คงจบลง และจะติดอยู่ในใจของผู้คน บางทีอาจตลอดไป บางทีพันปีจากนี้อาจเลือนหาย
ทว่าเมื่อมีประกาศนี้ออกไป กลับทำให้เขตดาราวงแหวนบูรพากับอีกสามเขตดาราใหญ่เกิดความตื่นตกใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ต่อให้เป็นความตื่นตะลึงตอนเพิ่มรางวัลเป็นสมบัติภัยพิบัติก่อนหน้านี้ ก็ยังยากจะเทียบกับตอนนี้ราวฟ้ากับเหว
คนจำนวนมากต่างลังเลใจ กระทั่งคนที่เลือกจากไปเหล่านั้นยังตัวสั่นกับประกาศนี้ นัยน์ตาฉายแววบ้าคลั่ง และยังมีการดิ้นรนอย่างแรงกล้า
พวกตาแก่ยอดฝีมือที่เคลื่อนไหวเพราะสมบัติภัยพิบัติยังตะลึงกับประกาศจากสี่มหาโลกแท้จริง พวกเขาไม่อยากจะเชื่อ กระทั่งหาสาเหตุไม่พบว่าเหตุใดสี่มหาโลกแท้จริงถึงได้สนใจคนชื่อโม่ซูขนาดนี้ กระทั่งระดับความสนใจยังมากกว่าตอนการเปลี่ยนแปลงของดาวทมิฬ
ไม่เพียงแค่พวกเขาที่เหลือเชื่อ กระทั่งรักษาการณ์สี่มหาโลกแท้จริงยังตะลึงกับเนื้อหาประกาศนี้ จนถึงขั้น…หวาดกลัว
นี่เป็นประกาศระดับสิบเก้าจากในฐานทัพใหญ่ ประกาศระดับนี้เป็นตัวแทนของแม่ทัพผู้แข็งแกร่งสิบเก้าคนในฐานทัพใหญ่ พวกเขาลงมติร่วมกัน กระทั่งในประกาศยังมีความประสงค์ของเทพแท้จริงสองคน มิเช่นนั้นแล้วต่อให้เป็นแม่ทัพทั้งสิบเก้าก็ยังไม่อาจประกาศรางวัลเช่นนี้
กล่าวได้ว่า ประกาศนี้เป็นตัวแทนความประสงค์ของฐานทัพใหญ่ เป็นตัวแทนขุมอำนาจรักษาการณ์สี่มหาโลกแท้จริง ถึงขั้น…เป็นตัวแทนเจตนารมณ์ของสี่ยอดบรรพชนในตำนานจากสี่มหาโลกที่ละทางโลกไปแล้ว
“บุกแดนประหลาดวงแหวนบูรพา จับเป็นโม่ซู…รางวัลคืออภัยโทษทุกอย่าง กลับสี่มหาโลกแท้จริงได้อีกครั้ง และ…ได้รับอิสระ!”
เนื้อหาประกาศนี้ไม่มีหินโลก ไม่มีดาวแท้จริง ไม่มีสมบัติภัยพิบัติ แต่มีคำว่าอิสระ ในแดนรกร้างต้นกำเนิดจิต ผู้ฝึกฌานจำนวนมากไม่ว่าขั้นพลังใด ในใจล้วนกระหายในอิสระมากที่สุด พวกเขายอมทุกอย่างได้เพื่ออิสระ
เทียบกับคำว่าอิสระแล้ว สมบัติล้ำค่าทุกอย่างล้วนไม่มีความหมาย นี่เป็นครั้งแรกที่สี่มหาโลกแท้จริงประกาศจับคนคนหนึ่งโดยใช้อิสระเป็นรางวัล
ประกาศนี้ก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่จนยากจะบรรยาย ต่อให้เป็นตาแก่พวกนั้นที่ปิดด่านฝึกฌานตลอดปีในสี่เขตดาราใหญ่ก็ตื่นตะลึงกับเนื้อหาประกาศ ยอดผู้ฝึกฌานระดับภัยพิบัติจันทราหลายคนยังตื่นตกใจ อิสระคือความฝันที่พวกเขาเฝ้าใฝ่หา
ด้วยรางวัลแบบนี้ ในที่สุดก็มีคนเข้าไปในแดนประหลาดวงแหวนบูรพา กลายเป็นคนต่อจากซูหมิง หลังจากคนที่สองบุกเข้าไป ก็มีคนทยอยกันเข้าแดนประหลาด ใช้ชีวิตเดิมพันเพื่ออิสระในครั้งนี้
ดวงจันทร์บนฟ้าส่องแสงสว่างเรืองรองในความนุ่มนวล สาดส่องหิมะบนพื้น สะท้อนออกมาเป็นแสงเงิน หิมะปลิวว่อนไม่มีสิ้นสุด วนเวียนเหมือนกับบทเพลงไพเราะภายใต้แสงจันทร์
แผ่นดินเต็มไปด้วยหิมะหนา แม้ลมจะไม่แรงแต่กลับหนาวยิ่งนัก ที่นี่มีต้นไม้อยู่จำนวนหนึ่ง ในฤดูหนาวเหน็บนี้ไม่มีใบไม้ เหลือเพียงกิ่งไม้แห้งจำนวนมาก
ไกลออกไปมีหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ในค่ำคืนแสงจันทร์นี้ มีแสงไฟจุดๆ ถูกกระดานปิดช่องหน้าต่างบังเอาไว้ เผยออกมาเป็นแสงไฟอ่อนขมุกขมัว หมู่บ้านนี้มีคนหลายร้อยคน ในยามค่ำคืนให้ความรู้สึกเงียบสงบ บางทีอาจเป็นเพราะความหนาวเหน็บ ขนาดสุนัขเลี้ยงเหล่านั้นยังหดตัวอยู่ในมุม ถึงมีคนแปลกหน้าเข้ามาก็จะไม่ยอมเห่า
บางครั้งจะมีเสียงร้องไห้ของเด็กทารก จากนั้นก็มีเสียงปลอบเบาๆ จากมารดา เสียงร้องไห้จึงค่อยๆ หายไป
นี่คือภาพที่ซูหมิงเห็นโดยรอบชัดเจนหลังจากเข้ามาในแดนประหลาด ในใจเขาตื่นตัว ขั้นพลังในร่างกายหมุนโคจร อยู่ในสภาพพร้อมจะใช้การโจมตีที่ทรงอานุภาพที่สุดตลอดเวลา
ความเงียบสงบ ความนุ่มนวล ความธรรมดา เสียงร้องไห้ของเด็กทารกกับเสียงพึมพำเบาๆ ของมารดา รวมถึงหมู่บ้านแห่งนี้ ทำให้เขาอึ้งงัน
เขายืนอยู่บนพื้นหิมะ บนตัวมีหิมะจำนวนมาก สายตามองหมู่บ้านไกลๆ ความสงบของที่นี่ทำให้เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าคือแดนประหลาด
ที่นี่ใช่แดนประหลาดที่เต็มไปด้วยอันตรายที่ไหนกัน ใช่แดนที่ผู้คนเข้ามาเกือบทุกคนต้องตาย คนที่รอดชีวิตกลับไปมีน้อยมาก กระทั่งต่อให้ออกไปได้ก็จะเงียบไม่เอ่ยถึงเสียที่ไหน…
ที่นี่เงียบสงบราวกับโลกในอุดมคติ ยามซูหมิงขยายจิตสัมผัสไป เขายังไม่รู้สึกถึงร่องรอยอันตรายใกล้ๆ แม้แต่น้อย และยังไม่มีระลอกคลื่นพลังด้วย ทุกอย่างทำให้เขาต้องเชื่อว่าที่นี่ไม่มีผู้ฝึกฌาน ไม่มีอันตราย ที่นี่…มีเพียงหมู่บ้านธรรมดาแห่งหนึ่ง
“เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้” ซูหมิงพึมพำเสียงเบา ทุกอย่างกับแดนประหลาดในจินตนาการต่างกันอย่างใหญ่หลวง ความจริงแล้วต่อให้เข้ามาเจอกับแดนที่เต็มไปด้วยอันตรายไม่มีสิ้นสุด มีสัตว์ร้ายนับไม่ถ้วนกำลังโจมตีตน เขาจะไม่สับสนอย่างเช่นตอนนี้เลย
กลับกัน ความธรรมดาอันเงียบสงบนี้ทำให้เขารู้สึกกลัวจนตัวสั่น
เขาไม่ลดความตื่นตัวลง แต่กลับระวังมากขึ้นอีก สายตามองไปรอบๆ สุดท้ายตอนที่ไปหยุดอยู่ตรงหมู่บ้านอีกครั้ง เขาค่อยๆ นั่งขัดสมาธิลง ไม่ได้เดินหน้าต่อ แต่มองอย่างเงียบๆ ข้างกายมีต้นไม้ใหญ้แห้งเหี่ยวต้นหนึ่ง
‘แดนประหลาด…’ ซูหมิงหยิบหิมะบนพื้นขึ้นมาอย่างเงียบๆ มองหิมะในมือพลางสูบความอบอุ่นเข้ามาละลาย มันทีละน้อย สายตามองหิมะละลายไหลมาตามมือและหยดลงหลุมหิมะเล็กๆ บนพื้นพลางขมวดคิ้ว
‘หรือว่าจะเป็นภาพมายา?’ นัยน์ตาซูหมิงขยับประกาย ดวงตาซ้ายค่อยๆ ปรากฏดวงจันทร์ ดวงตาขวาปรากฏดวงตะวัน ในใจตอนนี้กลายเป็นดวงดาว
ภาพมายาตะวันจันทราและดาราคืออภินิหารวิชามายาที่เขาตระหนักรู้ด้วยตัวเอง ต่อให้เป็นคนที่มีขั้นพลังสูงกว่า ก็จะถูกเขามองทะลุความคิดด้วยวิชามายานี้ เขาในเวลานี้โคจรวิชามายาสุดกำลัง สายตามองหมู่บ้านไกลๆ
แต่ไม่ว่าจะใช้วิชามายาอย่างไร ภาพในสายตาก็ยังไม่เปลี่ยนไป หมู่บ้านก็ยังเป็นหมู่บ้าน หิมะยังโปรยปราย ทุกอย่างสมจริงจนเขาหายใจกระชั้นเล็กน้อย
‘ไม่ถูกต้อง แดนประหลาดไม่มีทางเป็นแบบนี้’ ซูหมิงพลันหลับตาลง เมื่อปิดดวงตะวันและดวงจันทร์แล้วก็โคจรขั้นพลังในร่างกาย ครู่ต่อมาจึงลืมตาขึ้น มองหมู่บ้านอีกครั้งด้วยแววตาประหลาดใจ
ยังคงเป็นแบบเดิม
ซูหมิงเงียบงัน เขารู้สึกว่าโดยรอบเต็มไปด้วยความพิลึก แต่เขาก็ยังไม่ลุกจากไป เลือกนั่งขัดสมาธิอยู่นิ่งๆ จนกระทั่งฟ้าไม่มืดมิดอีก แสงตะวันส่องพื้นดิน วันใหม่มาถึง เขาก็ยังคงมองหมู่บ้านนี้
เวลาผ่านไปทีละวัน เขานั่งอยู่ตรงนี้จนครึ่งเดือนต่อมาก็ยังหาพิรุธใดไม่เจอ เขาแทบจะใจจดใจจ่อตรวจสอบหลายร้อยคนในหมู่บ้าน บุรุษสตรีคนชราและผู้เยาว์ล้วนเป็นคนธรรมดา
จนกระทั่งวันหนึ่งหลังผ่านไปครึ่งเดือน ซูหมิงที่นั่งขัดสมาธิอยู่หน้าเปลี่ยนสีโดยพลัน ครั้นมองทอดไกลแล้วก็ละสายตากลับ
จนถึงยามเที่ยงคืนก็มีเสียงฝีเท้าของม้าแว่วมาจากไกลๆ หิมะกระเซ็นไปรอบๆ ตอนที่มีเสียงหัวเราะดังเข้ามา เขาเห็นกองทหารม้าราวเกือบร้อยคนที่ตนสังเกตเห็นเมื่อหลายชั่วยามก่อน
คนเกือบร้อยคนนี้ล้วนมีสีหน้าเหี้ยมโหด หัวเราะเสียงดังพร้อมกับมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้าน ซ้ำยังหยิบดาบโค้งและขวานศึกออกมา เห็นได้ชัดเลยว่ากำลังจะเข่นฆ่าและปล้นชิง