Skip to content

สู่วิถีอสุรา 824

ตอนที่ 824 ปรารถนาจะแข็งแกร่งที่สุด

“ที่แท้หลังจากมีขั้นพลังเจ้าปกครองโลกแล้ว เหตุการณ์ที่ข้าสิ้นหวังในตอนนั้นมันช่างน่าขันเช่นนี้เอง!” ซูหมิงหัวเราะเสียงดัง เพียงแต่เสียงหัวเราะแฝงการเย้ยเยาะไว้อย่างชัดเจน เขาไม่ได้เย้ยเยาะใคร แต่เป็นโลกนี้ เป็นตัวเขาเอง

ในใจเขาไม่มีความรู้สึกสบายใจ ไม่มีความดีใจที่ได้ล้างแค้น มีเพียงการเยาะหยัน

ผู้คนที่สละชีพเพราะมหันตภัยในตอนนั้น ซูหมิงสู้สุดใจจนตัวตายก็ยังเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้ สุดท้ายจึงได้แต่ยอมทำตามอย่างฝืนใจ มาเวลานี้พอมองไปแล้วช่างน่าหัวเราะ ผู้แข็งแกร่ง ผู้อ่อนแอ ในตอนนี้เขาเข้าใจมันอย่างแจ่มชัดแล้ว

ก็เหมือนกับคำพูดประโยคหนึ่งว่า ‘ย่อมได้’ จากในน้ำวนมรณะหยินตอนนั้น

เพียงคำว่า ‘ย่อมได้’ จากปากผู้แข็งแกร่งก็ลบล้างเคราะห์ภัยนี้ไปได้

เหมือนกับซูหมิงตอนนี้ ขอแค่อยากสังหาร เต้าหยวนกับทาสเต๋าทั้งหมดจะเป็นเพียงมดปลวกในสายตา ช่างน่าขันเสียนี่กระไร และก็น่าเศร้าใจเหลือเกิน

‘แข็งแกร่งขึ้น ข้าไม่อยากเป็นผู้อ่อนแออีก ข้าอยากเป็นผู้แข็งแกร่ง อยากกุมชีวิตของตัวเอง ข้าไม่อยากให้คนรอบข้างต้องตายเพื่อปกป้องข้าอีก ไม่อยากให้คนข้างกายหายไป แต่ข้า…ต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยวน่าสงสารในฟ้าดินกว้างใหญ่’

‘ข้าไม่อยาก!’ ซูหมิงไม่เคยเข้าใจในผู้แข็งแกร่งและอ่อนแออย่างลึกซึ้งเช่นนี้มาก่อน แม้ว่าจะเป็นตอนที่ดวงจิตจากในน้ำวนมรณะหยินลงมือ เขาเพียงแค่ตื่นตะลึง เพียงแค่ขมขื่น ขั้นพลังยิ่งใหญ่ของอีกฝ่ายทำให้จิตใจเขาสั่นไหวเกิดความกระหายอย่างแรงกล้า

มันทำให้เขาคลุ้มคลั่งและอยากแข็งแกร่งขึ้น จนถึงตอนนี้ได้ย้อนกลับมาด้วยพลังของแผ่นศิลา เขาได้ล้างแค้นในความทรงจำจุดนี้แล้ว เขาครอบครองพลังที่ตนปรารถนาในตอนนั้นแล้ว เพียงแต่ว่า…เขาไม่มีความสุข

เพราะว่าเขาในตอนนี้ยังแกร่งไม่พอ ตอนนี้ยังไม่ถือว่าเป็นผู้แข็งแกร่ง บางทีเขาอาจสังหารเต้าหยวนกับทาสเต๋าทั้งหมดได้ ทว่าต่อให้ยามนี้ล้างแค้นสำเร็จ ถึงอย่างไรเวลาก็ผ่านมานานมากแล้ว

อีกอย่างหากเจอกับศัตรูที่กระทั่งเขายังสู้ไม่ได้ เช่นนั้นก็จะเป็นเหมือนเดิม ยังคงต้องใช้วิธีเดิมอีกครั้ง อย่างเช่นที่เขาเข้ามายังแดนประหลาดก็เพราะถูกล่าสังหารโดยไม่อาจขัดขืนได้

เขาไม่อยากให้ทุกครั้งที่ภัยพิบัติมาถึง ขั้นพลังตนไม่มากพอ และทำได้เพียงย้อนเวลากลับไปหัวเราะเสียงดัง ไปหลั่งน้ำตา ไปรู้สึกถึงโชคชะตาที่เต็มไปด้วยการเย้ยเยาะ หลังจากเรื่องผ่านมานานแล้วในสักวันหนึ่ง

เขาอยากเดินอยู่หน้าโชคชะตา ชี้นำโชคชะตาว่าควรจะเดินไปอย่างไร ไม่ใช่ถูกชักจูงโดยโชคชะตาราวกับหุ่นเชิด เขาต้องแกร่งขึ้นกว่านี้อีก!

“แข็งแกร่งกับอ่อนแอ หลักการง่ายๆ วันนี้ข้าซูหมิงเพิ่งได้เข้าใจอย่างแท้จริง” ซูหมิงเงยหน้าหัวเราะเสียงดัง น้ำตาไหลมากขึ้น เขามองสีโลหิตบนฟ้า มองโลหิตสดในน้ำทะเล นี่คือสีของฤดูใบไม้ร่วง

น้ำตาที่หลั่งไหลออกมาบดบังดวงตาสองข้าง ทำให้โลกในสายตาขมุกขมัว ท่ามกลางความขมุกขมัว เขามองไม่เห็นฟ้า มองไม่เห็นทะเล ทุกอย่างล้วนเป็นสีแดงไม่มีสิ้นสุด

ความหมายแห่งฤดูใบไม้ร่วงเกิดขึ้นในจิตสำนึกเขาโดยไม่รู้ตัว ปรากฏอยู่กลางความคิด วินาทีที่เกิดความหมายแห่งฤดูใบไม้ร่วง เขาที่ยืนอยู่กลางอากาศ ขั้นพลังเกิดการหมุนโคจรในร่างกาย

ฤดูหนาว ใบไม้ร่วง ร้อน ใบไม้ผลิ!

นี่คือรูปแบบชะตาของเขา เป็นเส้นทางที่ตนต้องเดินในอนาคต เหมือนกับเดินจากความตายสู่ความเป็น ตอนที่อยู่แดนมรณะหยิน รูปแบบชะตาของเขาคือฤดูหนาว นั่นคือการดับสูญอย่างเปล่าเปลี่ยวของความตาย จนกระทั่งในหอคอยรกร้างบูรพา เขาตระหนักรู้สีของความหมายฤดูใบไม้ร่วง กระหายจะให้ฟ้าดินกลายเป็นสีแดง สีแดงของใบไม้ร่วงนี้จะทำให้เขารู้สึกถึงการไหลผ่านของความตายจากในฤดูหนาว

‘ความหมายของฤดูใบไม้ร่วง…อยู่ระหว่างความเป็นกับความตาย นี่คือฤดูใบไม้ร่วง!’

‘เพราะฤดูใบไม้ร่วงคือการตัดสลับกันของความหนาวและอบอุ่น เพราะฤดูใบไม้ร่วงคือจุดเปลี่ยนของฤดูหนาวกับฤดูร้อน เพราะฤดูใบไม้ร่วง…คือเส้นทางของทุกสรรพสิ่งจากอุดมสมบูรณ์สู่แห้งเหี่ยว

ฤดูใบไม้ร่วง เดิมทีควรเป็นสีแดงฉาน อยู่กลางการเข่นฆ่าไม่มีสิ้นสุด ปรับเปลี่ยนความเป็นความตายของทุกคน และทำให้ข้าบรรลุการตระหนักรู้ นี่คือฤดูใบไม้ร่วงสังหาร!’

ขั้นพลังในร่างกายซูหมิงโคจรเร็วขึ้นเรื่อยๆ หลังจากตระหนักรู้ โลกตรงหน้าเป็นสีแดงในความขมุกขมัว เขาหัวเราะเยาะตัวเอง อีกทั้งพลังยังเกิดเสียงเปรี้ยงปร้างราวฟ้าผ่า

‘รูปแบบชะตาของข้าคือฤดูหนาว ใบไม้ร่วง ร้อน และใบไม้ผลิ สิ่งที่ขาดหายในดวงชะตาไม่ใช่วิญญาณ ไม่ใช่ร่างกาย แต่เป็นชีวิตของข้า ข้าขาดชีวิต เพราะเดิมทีข้าเป็นศพเด็กทารกในอ้อมกอดมารดา!’

‘ข้ามีจิตสำนึก นี่คือความพิเศษของเผ่ายมโลก ร่างกายข้าเติบโตได้ในแดนเซียน ใครกันที่บอกว่าคนตายแล้วเติบโตไม่ได้!

ความเป็นกับความตาย แข็งแกร่งกับอ่อนแอ ง่ายดายเช่นนี้เอง!’ ซูหมิงหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ขั้นพลังเขาคือขาดชะตาตอนต้น หรือก็คือระดับดินแล้ว

ทว่าวินาทีนี้เอง หลังโคจรขั้นพลังและเข้าใจชีวิตที่ตนขาดไป ขั้นพลังก็ปะทุขึ้น ฟ้าดินเปลี่ยนสี ท้องนภาร้องคำราม มวลอากาศรอบๆ สั่นสะเทือนพร้อมกัน ขั้นพลังทะยานขึ้นจากขาดชะตาตอนต้นก้าวสู่ขาดชะตาตอนกลาง

“ข้าต้องเป็นผู้แข็งแกร่ง ข้าต้องเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในโลกหล้า!” ซูหมิงเงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า นี่เป็นครั้งแรกที่เปล่งเสียงเช่นนี้ ในอดีตเขาเพียงอยากแกร่งขึ้น แต่ไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน ทว่าตอนนี้ วินาทีนี้ เสียงคำรามสะเทือนฟ้าดินเป็นตัวแทนความปรารถนาในใจ เป็นตัวแทนความยึดมั่นอย่างแรงกล้า

แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้า ทั้งในและนอกฟ้า!

“ข้าจะทำให้คนที่เคยดูถูกข้า บีบข้า สังหารข้า และควบคุมข้า ต้องตายกลายเป็นฝุ่นธุลีบนฟ้า ข้าจะทำให้คนที่เคยมีบุญคุณกับข้า ช่วยเหลือข้าและปกป้องข้า ต่อให้เขาก่อกรรมชั่วมามาก ข้าก็จะให้พวกเขาคงอยู่ไปนิจนิรันดร์ ไม่มีใครกล้าทำอันตรายใดๆ! ข้าจะแข็งแกร่งที่สุด แข็งแกร่งที่สุด!”

ช่วงที่เสียงซูหมิงดังกึกก้อง สีแดงทั้งหมดรอบๆ สั่นไหว ก่อนม้วนตลบตรงมาหา พวกทาสเต๋าที่ตายไปแล้วกับความหมายของฤดูใบไม้ร่วงสีแดงโลหิตล้วนหลั่งทะลักเข้าสู่ร่างกายเขาในพริบตา หลังจากหลั่งไหลผ่านรูขุมขนทั้งหมดทั่วร่างโดยไม่หยุดหย่อนแล้ว เขาก็เงยหน้าคำรามขึ้นฟ้า

เส้นผมเขาปลิวไสว ขั้นพลังทะยานขึ้นอีกครั้งในเสี้ยววินาทีนี้ จากขาดชะตาตอนกลางสู่ขาดชะตาตอนปลาย อีกก้าวเดียวก็จะบรรลุถึงระดับสมบูรณ์ หากทะลวงต่อหลังระดับสมบูรณ์ เขาจะอยู่ขั้นบรรลุชะตา หรือก็คือระดับฟ้า!

ขณะเดียวกับที่ซูหมิงบรรลุถึงจุดสูงสุดระดับดิน ห่างจากระดับฟ้าเพียงก้าวเดียวนั้น มวลอากาศรอบๆ ตัวเขากลายเป็นน้ำวนใหญ่ยักษ์ น้ำวนหมุนโคจรและส่งเสียงดังสนั่น ก่อนจะมีดวงตายักษ์ข้างหนึ่งโผล่ออกมา

พร้อมกันกับที่ปรากฏดวงตาข้างนี้ ร่างซูหมิงเลือนรางและค่อยๆ หายไป ก่อนหน้าที่จะหายไป เขาหันหน้ากลับไปมอง แววตาไม่คลุ้มคลั่งอีกแล้ว แต่อาลัยอาวรณ์

ตอนเขาอยู่ในมิติแผ่นศิลา ก็รู้สึกแต่แรกแล้วว่าพลังที่ผนึกอารมณ์ความรู้สึกกับความเจ็บปวดหายไปแล้ว ราวกับว่าเมื่ออยู่ที่นี่ พลังดังกล่าวจะถูกระงับไปเองโดยธรรมชาติ

เขามองคนยอดเขาลำดับเก้ารอบๆ มองใบหน้าคุ้นตาและผู้คนที่คงอยู่นิรันดร์ในความทรงจำทีละคน ถึงพวกเขาจะตายแล้ว ทว่าพวกเขามีชีวิตอยู่ในใจซูหมิงตลอด

“ข้าจะ…ทำให้พวกเขาฟื้นคืนชีพ สักวันหนึ่ง…” ซูหมิงพึมพำเสียงเบา เขานึกไปถึงวิชาอภินิหารเผ่ายมโลกที่ชื่อหั่วโหวเอ่ยถึง จากนั้นร่างกายก็ค่อยๆ หายลับไปจากโลกนี้

……………

สี่มหาโลกแท้จริง

โลกแท้จริงดาราสัจธรรม ดาวหอมหมื่นลี้

เหตุที่มันมีนามเช่นนี้ ก็เพราะว่าในดาวเต็มไปด้วยหอมหมื่นลี้ อบอวลไปด้วยกลิ่นหอมจางๆ ฟุ้งกระจายอยู่กลางสายลม ทางตะวันออกเฉียงใต้ของดาวดวงนี้ ระหว่างเทือกเขาแห่งหนึ่งมีหออาศัยงดงามอยู่นับไม่ถ้วน มีผู้ฝึกฌานอยู่ที่นี่จำนวนมาก

ภายในหอหนึ่งในนั้น มีเสียงเพลงพิณโบราณกังวานรอบๆ อยู่นานไม่เลือนหาย ตรงกลางหอมีหญิงสาวอาภรณ์ขาวนั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง เส้นผมนางยาวพาดบ่า ใบหน้างดงามอย่างยิ่ง หากซูหมิงเห็นจะต้องจำได้แน่ นางเป็นหญิงสาวที่ปรากฏในเงาสะท้อนมายาจากวิชาของหนึ่งในสามวิญญาณตอนอยู่แดนมรณะหยิน และนางก็คือ…ร่างจริงของไป๋ซู่

“รู้สึกแปลกมาก…ข้ารู้สึกรางๆ ว่าบทเพลิงนี้ราวกับความฝัน” หญิงสาวอาภรณ์ขาวมีสีหน้าสับสน พึมพำเสียงเบากลางเสียงพิณโบราณดังกังวาน ภายในบทเพลงนี้ เหมือนแฝงไว้ด้วยเสียงหัวเราะเยาะของซูหมิง ทั้งยังมีการหลั่งน้ำตาด้วยความเศร้า

ขณะเดียวกัน ในโลกแท้จริงดาราสัจธรรม บนดาวธรรมดาดวงหนึ่ง กลางถ้ำมีผู้ฝึกฌานนั่งขัดสมาธิอยู่คนหนึ่ง ผู้ฝึกฌานคนนี้มีหน้าตาธรรมดา กระทั่งยังดูชั่วร้าย ทว่าขณะนั่งฌานอยู่นี้กลับน้ำตาไหลริน ผ่านไปพักใหญ่ตอนที่ลืมตาขึ้น นัยน์ตาเขาฉายแววคะนึงคิด

“ลืมเผ่าหมานไม่ได้ ลืมยอดเขาลำดับเก้าไม่ได้ ลืมช่วงเวลาแห่งความสุขบนเผ่าหมานไม่ได้ แล้วก็…ซูหมิง” ผู้ฝึกฌานคนนี้มีขั้นพลังไม่สูง เขาพึมพำเสียงเบาพลางหลับตาลงอีกครั้ง

โลกแท้จริงดาราสัจธรรม เขตแดนเซียน ในน้ำวนมรณะหยิน…..บนแผ่นดินหมาน ณ ยอดเขาลำดับเก้าในความทรงจำซูหมิง มีบุรุษราวกับดอกไม้ยืนอยู่คนหนึ่ง เขาสวมอาภรณ์ขาว สายลมทะเลพัดอาภรณ์ปลิวไสว พัดเส้นผมยาวพลิ้วสะบัด เผยให้เห็นใบหน้าหล่อเหลาอบอุ่น

เขาไม่เอียงศีรษะให้แสงตะวันส่องแถบใบหน้าอีก ไม่ยิ้มแบบอบอุ่นอีก รอยยิ้มหายไปนานมากแล้ว เขายืนอยู่ตรงนั้น มองไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ

“ศิษย์น้องเล็ก ข้าฝันถึงเจ้า…ฝันว่าเจ้าสังหารเต้าหยวน ฆ่าล้างทาสเต๋าทั้งหมด ฝันว่าเจ้า…กลายเป็นผู้แข็งแกร่ง นี่ใช่ความฝันหรือ…” ศิษย์พี่รองกล่าวเสียงเบา

ภายในถ้ำด้านหลัง หู่จื่อลืมตาจากความฝันพร้อมน้ำตา ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยหนวดเครา เขาไม่ยอมโกนมัน รูปลักษณ์ดูมอมแมม มือหยิบเหยือกสุราข้างๆ ขึ้นมาแล้วดื่มไปอึกใหญ่หลายอึก

สุราไหลจากมุมปาก นั่นไม่ใช่น้ำตา ทว่าหู่จื่อดื่มไปดื่มมา น้ำตาก็ไหลไม่หยุด เขากำลังร้องไห้อย่างเงียบๆ

“ศิษย์น้องเล็ก ข้าฝันถึงเจ้าอีกแล้ว ข้าคิดถึงเจ้า….”

บริเวณก้นยอดเขาลำดับเก้าในทะเล ศิษย์พี่ใหญ่อยู่ในจุดนั่งฌานของเขา เขาไม่มีศีรษะ ทว่ากลับมีความรู้สึกคลุ้มคลั่งแผ่มาจากร่างกาย เขากำลังฝึกฝนไม่หยุดหย่อน มีแต่แบบนี้เท่านั้นถึงจะไม่เจ็บปวดและไม่โทษตัวเองอีก

“ศิษย์น้องเล็ก…ศิษย์พี่ใหญ่ขอโทษ หากไม่ใช่เพราะช่วยข้า…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version