ตอนที่ 826 ดาวสีทอง
ดวงตาซูหมิงวาววับอยู่ในทะเลสีทอง สายตาเพ่งมองดาวแท้จริงที่อยู่ไกลออกไป รู้สึกว่าแรงกดดันจากดาวดวงนี้แฝงไว้ด้วยความฉุนเฉียวและคลุ้มคลั่ง ทั้งยังมีจิตสังหารที่คนนอกต้องหยุดชะงักให้
“ไสหัวไป!” ช่วงที่ซูหมิงยังไม่ทันเข้าใกล้ดาวแท้จริงดวงนี้ ก็มีเสียงตะโกนต่ำราวสายฟ้าแว่วมาจากข้างใน
หลังเสียงนี้ดังกึกก้อง ทะเลสีทองที่อบอวลอยู่รอบตัวซูหมิงพลันไหลเชี่ยวกราก ก่อขึ้นเป็นแรงต่อต้านอย่างรุนแรง มิหนำซ้ำจิตสังหารจากในเสียงนั้นยังมากพอจะทำให้ทุกคนจิตใจสั่นสะท้าน ประหนึ่งเจอกับศัตรูทางธรรมชาติ
ซูหมิงหยุดชะงักโดยพลันก่อนหรี่ตาลง ตอนนี้จิตใจถูกกระเทือน ในความคิดยังมีเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว เสียงนี้แฝงไว้ด้วยดวงจิตหนึ่ง คล้ายกับว่าหากไม่ปฏิบัติตามคำพูดของดวงจิตนี้ก็จะต้องดับสูญไป
‘นี่คือการทดสอบให้แผ่นศิลาสูงถึงแสนจั้งอย่างนั้นหรือ?’ ซูหมิงมีสีหน้าจริงจังอย่างยิ่ง สายตาจ้องดาวแท้จริงไกลๆ ผ่านไปครู่หนึ่งเขาก็ขยับวูบไหวตัวอีกครั้ง พุ่งทะลวงผ่านแรงกดดันไปดุจดั่งดาวตก
ซูหมิงเคลื่อนตัวไม่เร็วนักในทะเลสีทอง แต่ถึงอย่างไรแรงกดดันก็เหมือนกับของจริง ทำให้ขณะเดินหน้าอยู่เกิดร่องรอยจะปริแตก ประหนึ่งว่าต่อให้ร่างกายเขาแกร่งกว่านี้ก็ยังไม่อาจรับแรงกดดันนี้ไหว
‘บนดาวแท้จริงตรงหน้ามีใครอยู่กันแน่ ใช้เพียงแรงกดดันก็ทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ได้แล้ว ขั้นพลังของเขา…’ ซูหมิงพลันเข้าใจแล้วว่าเหตุใดคอขวดนี้ถึงมีคนล้มเหลวมากขนาดนั้น
เวลาผ่านไป ซูหมิงช้าลงเรื่อยๆ ร่างกายเกิดเสียงดังปุดๆ เหมือนรับไม่ไหวแล้ว ผิวหนังปริแตกเป็นวงกว้างขึ้น อวัยวะภายในถูกแรงกดดันบีบอัดจนแทบจะแหลกสลาย นี่ยังเป็นเพราะร่างกายเขาแข็งแกร่งอย่างยิ่ง หากเป็นคนอื่นก็เกรงว่าคงจะรับไม่ไหวนานแล้ว แต่ขณะเดียวกัน…ก็เป็นเพราะขั้นพลังซูหมิงยังไม่มากพอ หากขั้นพลังมากพอจะโคจรพลังปกป้องได้ทั่วร่าง เมื่อใช้คู่กับร่างกายแล้ว เขายังไปได้ไกลอีกเล็กน้อย
ครู่ต่อมาซูหมิงจำต้องหยุดลง มุมปากมีโลหิตไหล ดวงตากลายเป็นสีแดงก่ำ สายตาจ้องดาวแท้จริงดวงนั้นเขม็ง
ตอนนี้เขาห่างจากดาวแท้จริงดวงนั้นราวหลายล้านจั้ง ดูเหมือนไกลมาก ทว่าความจริงสำหรับฟ้ากระจ่างดาวแล้วถือว่าใกล้นัก
‘ถึงขีดจำกัดแล้ว ด้วยขั้นพลังและร่างกายข้าถึงขีดจำกัดตรงนี้แล้ว หากไม่มีวิธีการพิเศษข้าต้องหยุดอยู่ที่นี่ และยิ่งไม่ต้องพูดการทดสอบของแผ่นศิลาแสนจั้งเลย’ ซูหมิงก้มหน้ามองร่างศพสภาพย่ำแย่ที่มีคราบโลหิตอยู่เต็มรอยปริแตก ตอนที่เขาเงยหน้าขึ้น อักขระซ้อนทับในดวงตาขวาพลันขยับแสงวิบวับ
หลังอักขระขยับแสง ซูหมิงก็ใช้มือซ้ายกดบนดวงตาขวา
นี่คือวิธีการใช้อักขระดวงตาขวาที่เขาตระหนักรู้เองในช่วงหกสิบปีนี้ หลังกดลงไปและยกมือซ้ายขึ้นนั้น อักขระในดวงตาขวาก็ปะทุออกมาในพริบตา
อักขระหลายร้อยเกือบพันตัวพุ่งออกมา ขยับแสงวิบวับล้อมรอบเขา ภายใต้การโคจรอย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดพายุคลั่งอักขระรอบตัว ระหว่างที่อักขระวนเวียนอยู่นี้ แรงกดดันที่ซูหมิงต้องรับก็ลดลงไปเล็กน้อย
เขาเดินหน้าไปอย่างไม่ลังเลโดยให้อักขระอยู่ข้างนอก ผ่านไปราวหนึ่งก้านธูป เขาก็เข้าใกล้ดาวแท้จริงดวงนี้มากขึ้นเรื่อยๆ กระทั่งเห็นแผ่นดินกับทะเลบนดาว รวมถึงเทือกเขากับธารน้ำบนแผ่นดิน
ในเวลาเดียวกัน อักขระรอบตัวสั่นไหวอย่างรุนแรง ในนั้นมีไม่น้อยสลายไปในพริบตา ดีที่อักขระที่สลายไปนั้นไม่ได้หายไปเสียทีเดียว แต่กลายเป็นจุดแสงผลึกก่อนถูกอักขระตัวอื่นสูบไปโดยพลัน ทำให้อักขระที่เหลือส่องสว่างมากขึ้น
ซูหมิงคำรามเสียงต่ำ เขายังคงห้อเหยียดไปด้วยความเร็วทั้งหมด เขาลืมเวลา ตอนนี้มีเพียงความคิดเดียวคือไปให้ถึงดาวแท้จริง จะต้องขึ้นไปบนดาวดวงนั้น ในการทดสอบครั้งนี้ หากกระทั่งขึ้นดาวยังทำไม่ได้ เขาจะไม่ยอมอย่างเด็ดขาด
‘ไม่เคยมีคนตายระหว่างการทะลวงแผ่นศิลาแสนจั้งมาก่อน เช่นนั้นก็หมายความว่าที่นี่เหมือนจะมีอันตราย แต่ไม่น่าตายจริงๆ ถ้าอย่างนั้น…ก็ต้องสู้สุดชีวิต!’
ซูหมิงเงยหน้าคำราม เร่งความเร็วเพิ่มขึ้นอีก อักขระนอกร่างถูกทำลายมากขึ้นเรื่อยๆ อักขระที่เหลือก็น้อยลง ทว่ากลับสว่างขึ้นแทบจะเรียกได้ว่าสว่างพร่างพราว
แต่ร่างกายเขาก็ฉีกขาดเช่นกัน กระทั่งแขนสองข้างยังมีหลายจุดเลือดเนื้อแหลกละเอียด โผล่เป็นกระดูกออกมา แม้แต่กระดูกยังเกิดรอยร้าวภายใต้แรงกดดัน
เขาไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดตอนโลกภายนอก ทว่าพอมาอยู่ที่นี่กลับรู้สึกอย่างชัดเจนยิ่ง ความเจ็บปวดจู่โจมจิตใจ แต่กลับไม่อาจยับยั้งความบ้าคลั่งของเขา
ซูหมิงมีนิสัยยึดมั่นอย่างที่คนอื่นยากจะจินตนาการ หากไม่ใช่เพราะความยึดมั่นนี้เขาจะมีรูปแบบชะตาเป็นฤดูหนาว ใบไม้ร่วง ร้อนและใบไม้ผลิได้อย่างไร จะเดินจากความตายสู่ความเป็นได้อย่างไร จะเดินสวนทางได้อย่างไร จะรู้ว่าทุกอย่างในเผ่าหมานเป็นแผนการของตี้เทียนและเดิมทีตนเป็นคนตาย แต่ก็ยังมีความมุ่งมั่นในการต่อสู้อย่างเอ่อล้นได้อย่างไร
ทุกอย่างมาจากนิสัยยึดมั่น กระทั่งพูดได้ว่าดื้อรั้น!
โครม!
ตอนนี้อักขระรอบตัวซูหมิงเหลือเพียงเก้าตัว ทุกตัวมีขนาดร้อยจั้ง มันวนเวียนรอบตัวเขาอย่างรวดเร็ว ขาสองข้างหายไปแล้ว เลือดเนื้อ กระดูกก็หายไปเช่นกัน แขนสองข้างเหลือเพียงกระดูก กระทั่งร่างกายยังเน่าเปื่อยไปมากกว่าครึ่งราวกับเพิ่งคลานออกมาจากหลุมศพ ทั้งตัวเขาดูน่าสยดสยองอย่างยิ่ง ทว่าความบ้าคลั่งและยึดมั่นในแววตาเปล่งแสงสว่าง มันมากพอจะให้ผู้พบเห็นต้องตื่นตะลึง
ตูม!
อักขระเหลือแปดตัว!
โครม!
อักขระเหลือเพียงเจ็ดตัว!
เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทุกครั้งจะหมายถึงอักขระระเบิด จนกระทั่งผ่านไปหลายเสียง รอบตัวเขาเหลืออักขระเพียงสามตัว
อักขระสามตัวนี้มีขนาดหลายร้อยจั้ง มันวนเวียนไปรอบๆ ภายใต้การยืนหยัดของซูหมิง มันยังคงคุ้มกันให้เขาเดินหน้าไป เลือดเนื้อตรงศีรษะหายไป เขาในตอนนี้มีกระดูกมากกว่าเลือดเนื้อ ราวกับโครงกระดูกยังคงยึดมั่น แสงสว่างในแววตาสว่างขึ้นเรื่อยๆ นั่นคือเพลิงแห่งความบ้าคลั่ง
เสียงครึกโครมดังแว่วมาอีกครั้ง ครั้งนี้อักขระสองตัวระเบิดพร้อมกัน ทำให้อักขระรอบๆ เหลือเพียงตัวเดียว มันมีขนาดพันจั้ง หมุนโคจรอยู่ใต้เท้าอย่างเร็วรี่
ตอนนี้เอง หลังจากผ่านการทดสอบมายาวนาน ในที่สุดซูหมิงก็มาถึงดาวแท้จริงที่มีทะเลสีทองอยู่ตรงใจกลาง!
เมื่อเข้าไปใกล้อย่างยิ่งแล้ว ซูหมิงจึงเห็นแผ่นดินบนดาวแท้จริงดวงนี้ เห็นร่างเงาคนลอยอยู่กลางอากาศบนพื้นดินจำนวนหนึ่ง เขารู้จักร่างเงาคนเหล่านั้น ในนั้นมีเทียนเสียจื่อ มีศิษย์พี่ใหญ่ มีศิษย์พี่รอง มีหู่จื่อ มีทั้งศัตรูและมิตร เขาเห็นทุกคนที่เคยเจอในนั้น
ใบหน้าในความทรงจำทุกคนล้วนกำลังมองเขากลางฟ้าบนดาวแท้จริง
เว้นแต่…ตี้เทียน!
ตี้เทียนไม่อยู่!
เวลานี้ซูหมิงเข้าไปใกล้ดาวอย่างต่อเนื่อง ระหว่างนั้นตรงขอบอักขระตัวสุดท้ายใต้เท้าเกิดเค้ารางพังทลายลง มิหนำซ้ำร่างกายยังถูกบีบอัดอีกครั้งจนเกิดการสูญสลาย
ซูหมิงรู้ว่าครั้งนี้ตนล้มเหลว เพราะเขาพยายามหมดทุกทางแล้วก็มาได้เพียงดาวเท่านั้น ยังไปไม่ถึงชั้นบรรยากาศของดาวเลย ได้เพียงแต่มอง
‘ถึงจะล้มเหลว แต่ข้าก็ต้องเห็นว่าบนดาวดวงนี้นอกจากใบหน้าในความทรงจำเหล่านี้แล้วยังมีอะไรอีก’ ซูหมิงตาแดงก่ำ ปล่อยให้อักขระใต้เท้าพังทลายลง ร่างกายที่เหลือไม่มากกลายเป็นดาวตกเผาไหม้พุ่งไปยังชั้นบรรยากาศของดาวนี้
ใกล้เข้าไปเรื่อยๆ
เสียงโครมดังขึ้น ร่างกายเขาชนเข้ากับชั้นบรรยากาศ อักขระใต้เท้าแตกสลายเป็นวงกว้าง พายุคลั่งในชั้นบรรยากาศร้องคำราม ปกปิดดวงตาซูหมิง บดขยี้อักขระใต้เท้า และยังทำลายร่างกายเขาไม่หยุดหย่อน
จนกระทั่งวินาทีที่อักขระใต้เท้าแหลกสลายทั้งหมด ร่างกายทั่วแหลกละเอียด เขาพุ่งผ่านชั้นบรรยากาศ และขึ้นมาอยู่บนฟ้าดาวแท้จริงดวงนี้จริงๆ
เขาเห็นใบหน้าคุ้นตาเหล่านั้นกลางอากาศ และยังเห็นว่า….ด้านหลังร่างเงาคนคุ้นตาทุกคนมีกิ่งไม้อยู่ และมี…ต้นไม้ใหญ่สีทองที่ใช้พื้นดินเป็นรากฐาน กินพื้นที่ไปมากกว่าครึ่งดาวแท้จริง!
ต้นไม้มีกิ่งไม้นับไม่ถ้วน ร่างเงาบนกิ่งไม้ทุกอันเหมือนกับดอกจากต้นไม้ ต่างเชื่อมเข้าด้วยกัน ใบหน้าคุ้นเคยเหล่านั้นยิ้มให้ซูหมิงเหมือนกำลังเรียกเข้าไป
ซูหมิงใจสั่นสะท้าน เขาเหม่อมองต้นไม้ใหญ่ยักษ์ไม่อาจบรรยายต้นนั้น และยังเห็นกิ่งไม้แกว่งไกวอันหนึ่งตรงมายังร่างกายแหลกสลายของตน
พลังแห่งกาลเวลาที่ซูหมิงคุ้นเคยพลันรวมอยู่ทั่วร่างเขา เขาเห็นว่าเลือดเนื้อที่กำลังแหลกสลายไปของตนย้อนเวลากลับมา พริบตาเดียวก็เข้าไปสู่ชั้นบรรยากาศแล้วพุ่งออกไป มาปรากฏตัวอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาวนอกดาวแท้จริง อักขระใต้เท้าปรากฏอีกครั้งคล้ายกับย้อนเวลา ร่างเขาถอยไปไม่หยุดเหมือนอยู่ในห้วงย้อนเวลาเมื่อครู่ หลังจากถอยไปอย่างต่อเนื่องแล้ว อักขระที่สลายไปก่อนหน้านี้ก็โผล่ขึ้นมาทีละตัว
ร่างกายก็ฟื้นฟูกลับมา จนกระทั่งถูกส่งออกไปนอกทะเลสีทอง ตอนที่ดาวแท้จริงอยู่ไกลออกไปในสายตา ร่างกายเขาฟื้นกลับมาอย่างสมบูรณ์ กระทั่งอักขระเหล่านั้นยังหวนคืนเข้าไปในดวงตาขวา
ขณะเดียวกันมีเสียงครึกโครมดังข้างหูซูหมิง สายตาเขาพร่ามัว ตอนที่ชัดเจนอีกครั้ง เขาเหม่อมองแผ่นศิลาตรงหน้า เขา…..กลับมาอยู่ตรงจุดที่มีแผ่นศิลาแสนอัน
แผ่นศิลาของเขาจากเก้าหมื่นเก้าพันจั้งเหลือสองพันหนึ่งร้อยจั้ง
“ล้มเหลว!” เสียงซุ่ยเฉินจื่อดังกังวานในใจเขา เพียงแต่ว่าพอฟังแล้วเขารู้สึกว่ามันเย็นชา
“เฮอะๆ ผู้ใช้ห้าระดับแห่งมายาเข้าแผ่นศิลาก็ล้มเหลวเหมือนกันรึ”
“ล้มเหลวครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นคนใหม่ของที่นี่ ยินดีต้อนรับเจ้าเข้าสู่วัฏจักรไม่มีที่สิ้นสุดของพวกเรา” มีเสียงแว่วมาข้างหูซูหมิง นั่นคือเสียงผู้คนรอบๆ หลังจากเห็นแผ่นศิลาของซูหมิงลดเหลือสองพันจั้งแล้วก็เอ่ยขึ้น
“นี่แค่ล้มเหลวครั้งแรกเท่านั้น ทำต่อไป แล้วเจ้าจะรู้ว่าอะไรคือความสิ้นหวัง…..” เสียงรอบๆ ดังกังวาน ซูหมิงหลับตาลง ผ่านไปพักใหญ่ตอนที่ลืมตาขึ้น นัยน์ตาเขามีประกายแสงอ่อนวูบผ่าน
“บางที….อาจจะผ่านได้ด้วยวิธีนี้” ซูหมิงพึมพำเสียงเบา ตรงส่วนลึกในแววตามีแสงอ่อนเด่นชัด