Skip to content

สู่วิถีอสุรา 846

ตอนที่ 846 ข่งหวน

ณ แดนรกร้างคนบาป

กลางสี่เขตดาราใหญ่ ตรงใจกลางเขตดาราวงแหวนบูรพา นอกแดนประหลาดวงแหวนบูรพา

รอยแยกมวลอากาศพังทลายซึ่งเต็มไปด้วยทะเลดาราไม่มีที่สิ้นสุด ที่นี่เงียบสงบ ห่างจากเขตแดนประหลาดไม่ไกล มีกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์ใหญ่เล่มหนึ่งลอยอยู่ กระบี่เล่มนี้มีขนาดสามพันกว่าจั้ง แน่นิ่งอยู่กลางฟ้ากระจ่างดาว

บนปลายกระบี่มีคนนั่งอยู่สามคน สามคนนั้นมีชายชราคนหนึ่ง ชายวัยกลางคน และยังมีเด็กหนุ่มอีกคน สามคนนี้เพียงนั่งอยู่ที่นี่ก็ทำให้ฟ้ารอบๆ เกิดการบิดเบี้ยว จะเห็นได้ว่าขั้นพลังสามคนไม่ธรรมดา

พวกเขาล้วนเป็นเจ้าปกครองโลกตอนกลาง เป็นรักษาการณ์ของขุมอำนาจสี่มหาโลกแท้จริง

ด้านหลังสามคนนี้ บนตัวกระบี่โบราณยักษ์มีคนสวมเกราะดำสามร้อยคนนั่งฌานอย่างเงียบๆ ร่างกายแผ่กลิ่นอายดับสูญราวกับคนตาย

“ผ่านไปหลายปีขนาดนี้แล้ว ท่านรองแท่ทัพก็อาจจะทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ไปหน่อยกระมัง การผลัดเปลี่ยนมาเฝ้าดูแดนประหลาดทุกสองร้อยปีไม่มีความหมายอะไรเลย” ท่ามกลางความเงียบ ชายวัยกลางคนหนึ่งในสามคนตรงปลายกระบี่มีสีหน้าไม่พอใจเล็กน้อยพลางกล่าวเนิบๆ

“ท่านรองแม่ทัพทำเช่นนี้จะต้องมีความหมายแฝงอื่นๆ แน่นอน ถึงอย่างไรตอนนั้นโม่ซูก็สร้างวีรกรรมเอาไว้ไม่น้อย” คนที่ตอบชายวัยกลางคนคือชายชราข้างๆ ชายชราคนนี้สวมเสื้อคลุมขาว สีหน้าราบเรียบ เส้นผมขาวพาดบ่า กล่าวเนิบช้า

“จะมีความหมายแฝงอะไรอีก โม่ซูนั่นเป็นเพียงผู้ฝึกฌานเจ้าปกครองโลกตอนต้นคนหนึ่งเท่านั้น เหตุที่สังหารยากก็เพราะตามหาร่องรอยยาก หากไม่ใช่เพราะแบบนั้นแล้ว แค่ข้าคนเดียวก็สังหารเขาได้ทุกเมื่อ

เขาหนีเข้าไปในแดนประหลาดแล้วจะต้องตายอย่างแน่นอน กลัวแค่พวกเราต้องรออย่างลำบากอยู่ที่นี่ ตอนนี้เหลืออีกห้าสิบปีถึงจะมีคนมาเปลี่ยน” ชายวัยกลางคนส่ายศีรษะ สายตามองเด็กหนุ่มหน้าสุดหนึ่งในสามคน

“ข่งหวน เจ้าคือองครักษ์กระบี่ลำดับสามของท่านรองแม่ทัพ เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”

“เจ้าเสียงดังน่ารำคาญมาก” เด็กหนุ่มนามข่งหวนกำลังหลับตาอยู่ บนเข่าสองข้างวางกระบี่สีดำเล่มหนึ่ง สองมือกดบนกระบี่ น้ำเสียงกล่าวด้วยความเย็นชา

ชายร่างกำยำไม่โกรธ แต่ขณะหัวเราะเสียงดัง ส่วนลึกในแววตากลับมีการเย้ยเยาะวูบผ่าน ท่านรองแม่ทัพมียอดองครักษ์กระบี่เก้าคน ทว่าพันปีมานี้มีแค่ข่งหวนคนเดียวที่ต้องมาเฝ้าตรวจการอยู่ที่นี่ ไม่เห็นคนอื่นเลย ทุกครั้งที่เปลี่ยนก็จะเปลี่ยนเพียงผู้รักษาการณ์คนอื่นๆ มีแต่ข่งหวนที่อยู่ที่นี่ระยะยาว

ในมุมมองเขา นี่คือองครักษ์ที่ไม่ได้รับความสนใจจากรองแม่ทัพ เลยถูกเนรเทศกลายๆ มา

ถึงอย่างไรที่นี่ก็กันดาร ยากจะฝึกฝนก้าวหน้า สู้ฝึกฝนอยู่ในขุมอำนาจผู้รักษาการณ์จะดีกว่า พันปีก็ทำให้ขั้นพลังสูงขึ้นมาแล้ว

ขณะที่สามคนนี้กำลังสนทนากันอย่างไร้รสชาติ พวกเขาต่างไม่สังเกตเห็นเลยว่าตรงหน้าพวกเขา กลางแดนประหลาดที่มีรอยแยกอยู่นับไม่ถ้วน ตอนนี้ยังมีอีกคนยืนอยู่

คนนี้ในสายตาสามคนเหมือนไม่มีอยู่ราวกับโปร่งใส

“พันปีผ่านไปเร็วเช่นนี้เชียวหรือ…..เดิมทีข้าคิดว่าเวลาในแดนประหลาดจะต่างกับโลกภายนอก ทว่าจากความทรงจำบรรพบุรุษตระกูลจ้าวก็รู้ได้ว่าเวลาเท่ากัน”

ซูหมิงพึมพำเบาๆ ผู้รักษาการณ์สามคนนั้นมองไม่เห็นเขา เขากลับเห็นสามคนนี้ กระทั่งยังรู้นานแล้วว่านอกแดนประหลาดมีคนเฝ้าอยู่ จุดนี้รู้ได้ชัดเจนจากความทรงจำบรรพบุรุษตระกูลจ้าว

เพียงแต่ว่าซูหมิงมองข้ามสามคนนี้รวมถึงสามร้อยคนด้านหลังไป นัยน์ตาเขามีภาพที่เกิดขึ้นหลังจากถูกบีบเข้าไปแดนประหลาดเมื่อพันปีก่อนวูบผ่าน จากนั้นก็ค่อยๆ เงียบลง

เวลาพันปีกลายเป็นแสงดาวผ่านตา ทว่าดวงดาวยังอยู่ ยังคงพร่างพราว ตอนที่มองไปยังสว่างเหมือนกับเมื่อวาน ทำให้แยกเวลาไม่ออก

เส้นผมเหมือนของคนปลิวไสว ตัดสลับกันออกมาเป็นภาพคล้ายกัน แต่ต่างกันเรื่องของเวลา

ซูหมิงมองฟ้ากระจ่างดาว เขาไม่ได้สนใจเวลาเลย แต่พอหวนคิดถึงพันปีในแดนประหลาด ก็เกิดความรู้สึกปลงอนิจจัง อดนึกถึงกาลเวลาที่ผ่านไปนานมิได้

เวลาหนึ่งพันปีนี้กล่าวได้ว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับเขา เป็นหนึ่งในโชควาสนาที่ใหญ่ที่สุดในชีวิต เขาหลุดพ้นจากการควบคุมของดวงจิตแห่งแดนมรณะหยิน ลบผนึกของตี้เทียน ได้รับร่างแยกเอ้อชางมา ขั้นพลังบรรลุถึงระดับฟ้าสมบูรณ์ ห่างจากเจ้าปกครองโลกอีกเสี้ยวเดียว

กระทั่งหากไม่ใช่เพราะตอนนี้ยังไม่มีร่างแยกขั้นพลัง มิเช่นนั้นแล้ว หากมีร่างแยกขั้นพลัง เขาก็จะปิดด่านฝึกฝนทะลวงเจ้าปกครองโลกทันที

ร่างแยกกลืนนภาก็ได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่เช่นกัน จากเจ้าปกครองโลกตอนต้นบรรลุถึงเกือบจุดสูงสุดเจ้าปกครองโลกตอนกลาง นอกจากนี้แล้วเขายังได้รับต้นกำเนิดจิต

ในดวงตาขวาขยับวูบวาบเป็นอักขระซ้อนทับบ่อยครั้ง หากคนอื่นเห็นจะต้องตื่นตกใจและเกิดความรู้สึกประหลาดใจแน่นอน

แดนประหลาดวงแหวนบูรพา พื้นที่นี้มีรอยแยกอยู่นับไม่ถ้วน ดูแล้วเป็นดินแดนเสียหายซึ่งไม่ต่างอะไรกับในอดีตเลย หากไม่ใช่เพราะรู้เวลา เกรงว่าตอนที่เพิ่งออกมา ซูหมิงคงแยกเวลาไม่ออกว่าผ่านไปนานเท่าไรแล้ว

โดยรอบเงียบสงบ ไม่เห็นแสงดาวมากนัก ไม่เห็นร่างเงาผู้ฝึกฌาน ประหนึ่งว่าที่นี่กลายเป็นน้ำทะเลเกือบมืดมิด

“ข้า ออกมาแล้ว” ซูหมิงเงยหน้ามองฟ้ากระจ่างดาวกว้างใหญ่ไร้ขอบเขตด้านบนพลางกล่าวเรียบๆ ขณะเดียวกันก็เป็นครั้งแรกที่เขามองกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์ที่อยู่ไม่ไกล และมองไม่เห็นเขา

ซูหมิงละสายตากลับ เอาสองมือไพล่หลังแล้วเดินหน้า ออกจากแดนประหลาด เดินเข้าไปใกล้กระบี่โบราณ….แล้วเดินผ่านไปด้วยสีหน้าเฉยชา

ซูหมิงยังไม่อยากสังหารสามคนนี้ ถึงอย่างไรหากเกิดการตายขึ้นก็จะทำให้ขุมอำนาจสี่มหาโลกแท้จริงตื่นตัว ฉะนั้นเขาจึงปล่อยไปก่อน

ทว่าช่วงที่เขาเดินผ่านกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์ กระบี่สีดำธรรมดาซึ่งวางอยู่ตรงหัวเข่าเด็กหนุ่มข่งหวนที่นั่งฌานอยู่พลันเกิดเสียงดังขึ้นจากปลายกระบี่

กระบี่ส่งเสียงเบาๆ ราวกับกำลังตัวสั่น วินาทีที่มันส่งเสียง ข่งหวนพลันลืมตาขึ้น ผู้รักษาการณ์สองคนด้านหลังก็ตะลึงงันตาม แล้วมองกระบี่ของข่งหวนพร้อมกัน

พวกเขารักษาการณ์อยู่ที่นี่มาหนึ่งร้อยกว่าปี นี่เป็นครั้งแรกที่ได้ยินเสียงกระบี่ร้อง และก็เป็นครั้งแรกที่ข่งหวนได้ยินเสียงกระบี่ร้องในหนึ่งพันปีที่รักษาการณ์มาเช่นกัน

ข่งหวนหน้าเปลี่ยนสีทันที เขาแทบจะลุกขึ้นในพริบตาแล้วมองไปรอบๆ ในความคิดลอยขึ้นมาเป็นภาพเมื่อพันปีก่อน ตอนที่ท่านรองแม่ทัพมอบกระบี่เล่มนี้ให้ตนก็เคยพูดไว้ประโยคหนึ่งว่า

“กระบี่เล่มนี้มีนามว่าเพลิงดำ เจ้าถือมันไว้ ตอนที่กระบี่เล่มนี้ส่งเสียงร้องนั่นคือวันที่คนนั้นที่เราต้องการปรากฏตัว ขอมอบมันให้เจ้าใช้รักษาการณ์อยู่ที่แดนประหลาด หากกระบี่ส่งเสียงร้องให้ปล่อยมือทันที!”

เป็นคำพูดนี้เองที่ทำให้ข่งหวนมาที่นี่ นั่งฌานอยู่พันปี และใช้สองมือกดบนตัวกระบี่ไม่เคยปล่อยมาตลอด

ตอนนี้ผ่านไปพันปี วินาทีที่กระบี่ส่งเสียงร้องและข่งหวนมองไปรอบๆ นั้น เขาก็ปล่อยมือจากกระบี่ที่ถือมาพันปีอย่างไม่ลังเล

ทันทีที่ปล่อยมือ บนตัวกระบี่สีดำปรากฏเปลวเพลิงสีดำขึ้นโดยพลัน ก่อนเกิดเสียงครึกโครม จากนั้นกระบี่ก็กลายเป็นสายรุ้งยาวสีดำพุ่งไปยังอากาศข้างหน้า ซึ่งเป็นจุดที่ซูหมิงอยู่

ซูหมิงหมุนตัวกลับ สายตามองสายรุ้งสีดำตรงเข้ามา ปราณกระบี่พลันตรงไปยังเอวเขา ซูหมิงจึงหัวเราะเงียบๆ

‘กระบี่ที่ปราดเปรียวเช่นนี้นับว่าไม่เจอบ่อยนัก ดูจากท่าทางของมันแล้ว เหมือนจะไม่เห็นข้า แต่….’ ซูหมิงก้มหน้าลงมองเอวตัวเองแวบหนึ่ง ตรงนั้น…มีถุงเก็บวัตถุใบหนึ่ง

ซูหมิงส่ายศีรษะ ทันทีที่สายรุ้งดำเข้ามาใกล้ เขายกมือขวาขึ้นชี้ไปข้างหน้า ระหว่างนั้นดวงตาขวาพลันปรากฏเงาอักขระขึ้น ก่อนจะรวมไปยังนิ้วมือ จังหวะเดียวกันเขาก็ชี้ปลายนิ้วไปบนสายรุ้งสีดำ

โครม!

เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหว กระบี่ดำสั่นไหวและกระเด็นถอยไป ตัวกระบี่ยังหลอมละลายกลายเป็นเส้นสีดำสองสาย หนึ่งตรงไปยังระหว่างคิ้วข่งหวน อีกหนึ่งตรงไปยังอากาศด้วยความเร็วที่ไม่อาจบรรยาย คล้ายกำลังจะหนี

ภาพนี้ทำให้ทุกคนบนกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์ต่างเบิกตากว้าง หน้าเปลี่ยนสี ในสายตาพวกเขา พวกเขาเห็นกระบี่สีดำพุ่งตรงไปยังอากาศ แต่กลับเกิดเสียงระเบิดดังขึ้น จากนั้นกระบี่สีดำก็กระเด็นถอยมา ตอนที่มันละลายกลายเป็นเส้นสีดำสองสาย พวกเขาต่างเห็นว่าอากาศตรงหน้าเกิดระลอกคลื่นราวกับสายน้ำ มีร่างเงาเหยียดตรงเดินออกมาจากระลอกคลื่นนั้น

เป็นชายหนุ่มผมยาวสีเทา เสื้อคลุมสีหม่น ใบหน้าเหล่อเหลา และให้ความรู้สึกผ่านโลกมาอย่างโชกโชน ดวงตาขวามีอักขระขยับวิบวับ เมื่อทุกคนเห็นแล้วต่างเกิดความรู้สึกประหลาด

“โม่ซู!”

“เจ้าคือโม่ซู!” ชายวัยกลางคนกับชายชราจำฐานะซูหมิงได้ทันใด สองคนนี้นัยน์ตาฉายแววตกใจระคนยินดี รู้กันดีว่าตอนนี้รางวัลจับโม่ซูยังอยู่ พวกเขาเป็นผู้รักษาการณ์ย่อมไม่สนใจอิสระอยู่แล้ว ทว่าของวิเศษที่มีเสี้ยวกลิ่นอายพลังภัยพิบัติตะวันกลับทำให้ความปราถนาของพวกเขาถึงขีดสุด

“เดิมทีข้าไม่อยากสร้างความลำบากให้พวกเจ้าหรอก” ซูหมิงเงยหน้ามองความว่างเปล่าบนฟ้า ขณะอักขระในดวงตาขวาขยับวูบวาบ พลันมีอักขระหมื่นตัวปรากฏขึ้นแล้วแผ่กระจายออก มันวนเวียนไปรอบๆ อักขระทุกตัวล้วนขยับแสง ทำให้เขตพื้นที่นี้แทบจะแข็งค้างดุจดั่งถูกผนึก

เส้นสีดำที่กำลังจะหนีไปถูกขวางอยู่ในพันธนาการอักขระต้นกำเนิดจิต และกำลังดิ้นรนเพื่อหนีไปให้ไกล…..

“แต่ในเมื่อพวกเจ้าพบข้าแล้ว พวกเจ้า….ก็จงเป็นเครื่องบรรณาการของข้าเสีย” ซูหมิงกล่าวราบเรียบ เขาเดินหน้าไปหนึ่งก้าว ทันทีที่ก้าวเดิน เขามาปรากฏตัวอยู่บนกระบี่โบราณทองสัมฤทธิ์ กำหมัดขวาแล้วชกไป

ตรงหน้าเขาเป็นชายวัยกลางคนเจ้าปกครองโลกตอนกลาง ชายวัยกลางคนผู้นี้ยังไม่ทันตรวจขั้นพลังซูหมิงก็เกิดความรู้สึกถึงอันตรายในใจ เขาคำรามด้วยความโกรธกริ้ว ขณะสองมือประสานสัญลักษณ์ทั่วร่างพลันมีเสื้อเกราะลอยขึ้นมา และยังมีภาพอาคมยักษ์ปรากฏขึ้นตรงหน้า มันหมุนโคจรพร้อมกับตรงไปหาซูหมิง

โครม! ซูหมิงชกหมัดใส่ภาพอาคม ภาพอาคมแตกเป็นเสี่ยงๆ ในทันที ภายใต้ความหวาดกลัวของชายร่างกำยำ เขาถอยไปเพียงไม่กี่จั้ง ซูหมิงก็ชกหมัดใส่หน้าอกเขาแล้ว

ชายร่างกำยำกระอักโลหิต เสื้อเกราะแตกหัก สภาพจิตใจเกิดเสียงดังสนั่น กระดูกทั่วร่างแทบจะป่นปี้ทั้งหมด โลหิตจำนวนมากพุ่งออกจากปากและมีสีหน้าเหลือเชื่อ

“เจ้าปกครองโลกตอนปลาย!” ร่างเขาพลันถูกแรงมหาศาลเหวี่ยงออกไปตกอยู่ในรอยแยกหนึ่งในพื้นที่แดนประหลาด ก่อนถูกดูดหายเข้าไปในแดนประหลาดในพริบตา

“ต่อไปเป็นเจ้า” ซูหมิงมีสีหน้าปกติ ระหว่างหมุนตัวกลับก็อัดฝ่ามือไปทางชายชราที่ตอนนี้มีสีหน้าตื่นกลัวและกำลังถอยไปอย่างรวดเร็ว

เสียงครึกโครมดังกังวาน หมัดที่ผสานรวมกับต้นกำเนิดจิตและระเบิดพลังเจ้าปกครองโลกตอนปลายในเวลาสั้นๆ นี้สามารถกำราบเจ้าปกครองโลกตอนกลางได้สบายๆ เว้นแต่ชายชราจะมีของล้ำค่าภัยพิบัติ มีโชควาสนาอย่างเขา ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว…..ก็ไม่มีทางต่อต้านได้

ชายชรากระอักโลหิต ร่างกายเกิดเสียงดังปุดๆ ไม่หยุด หน้าพลันซีดขาว จากนั้นร่างถูกแรงมหาศาลเหวี่ยงหายเข้าไปในแดนประหลาด

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version